1. การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ จากความข้างต้น ทำให้มองเห็นความหมายของการเขียนว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น นักเรียน ใช้การเขียนบันทึก ความรู้ ทำแบบฝึกหัดและตอบข้อสอบบุคคลทั่วไป ใช้การเขียนจดหมาย ทำสัญญา พินัยกรรมและค้ำประกัน เป็นต้น พ่อค้า ใช้การเขียนเพื่อโฆษณาสินค้า ทำบัญชี ใบสั่งของ ทำใบเสร็จ รับเงิน แพทย์ ใช้บันทึกประวัติคนไข้เขียนใบสั่งยาและอื่นๆ เป็นต้น 2. ลักษณะผู้เขียน ผู้เขียนนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิด ของผู้เขียนเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดการเขียนขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวถึง ลักษณะของผู้เขียน ได้ดังนี้ การเขียน คือการสื่อสารชนิดหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องอาศัยความพยายามและฝึกฝน การเขียนเป็นการแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารสามารถอ่านได้เข้าใจ ได้ทราบความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ แล้วสามารถนำมาบอกบอกต่อกับบุคคลอื่นให้ได้ความรู้ที่ผู้รับสารได้รับ เครื่องมือในการเขียนเช่น ดินสอ ปากกา สี พู่กัน กระดาษ กระดาน ฯลฯ การเขียนจะต้องเขียนเป็นภาษา ซึ่งอาจเขียนเป็นภาษาเดียวหรือหลายภาษาก็ได้ ความหมายและความสำคัญของการเขียน การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพื่อสื่อไปยังผู้รับได้อย่างกว้างไกล นอกจากนั้นการเขียนยังมีคุณค่าในการบันทึกเป็นข้อมูลหลักฐานให้ศึกษาได้ยาวนาน . จุดประสงค์ของการเขียน การเขียนทั่วไปมีจุดประสงค์ดังนี้ 02. เพื่ออธิบายความหรือคำ เช่น การออกกำลังกาย การทำอาหาร คำนิยามต่างๆ ฯลฯ 03. เพื่อโฆษณาจูงใจ เช่น โฆษณาสินค้า ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ 04. เพื่อปลุกใจ เช่น บทความ สารคดี เพลงปลุกใจ ฯลฯ 05. เพื่อแสดงความคิดเห็น 06. เพื่อสร้างจินตนาการ เช่น เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ฯลฯ 07. เพื่อล้อเลียน เช่น บทความการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ 08. เพื่อประกาศแจ้งให้ทราบ เช่น ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมัครงาน ฯลฯ 09. เพื่อวิเคราะห์ เช่น การเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง วิเคราะห์วรรณกรรม ฯลฯ 10. เพื่อวิจารณ์ เช่น วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์หนังสือ ฯลฯ 11. เพื่อเสนอข่าวสารและเหตุการณ์ที่น่าสนใจ 12. เพื่อกิจธุระต่างๆ เช่น จดหมาย ธนาณัติ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ จุดประสงค์ของการเขียนคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงว่า ในการเขียนงานเขียนแต่ละครั้งนั้นต้องการเขียนเพื่อสื่อเรื่องใด โดยผู้เขียนต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการเขียนประกอบการเขียน เพื่อให้การเขียนเพื่อการสื่อสารนั้นๆบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ . หลักการเขียน เนื่องจากหลักการเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และป้องกันความผิดพลาด ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องใช้หลักในการเขียน ดังต่อไปนี้ 1. มีความถูกต้อง คือ ข้อมูลถูกต้อง ใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. มีความชัดเจน คือ ใช้คำที่มีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคำสำนวน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงตามจุดประสงค์ 3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้ได้ใจความชัดเจน กระชับ ไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย 4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ชวนติดตามให้อ่าน 5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตทั้งสำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน การเขียนจดหมาย ข่าว ประกาศและแจ้งความ การเขียนจดหมายเป็นการสื่อสารโดยตรงระหว่างบุคคลหรือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ช่วย ทำให้ระยะทางไกลเป็นใกล้ เพราะไม่ว่าบุคคลหรือหน่วยงานจะห่างไกลกันแค่ไหนก็สามารถใช้จดหมายส่งข่าว คราวและแจ้งความประสงค์ได้ตามความต้องการ การส่งสารหรือ ข้อความในจดหมายต้องเขียนให้แจ่มแจ้งชัดเจน เพื่อจะได้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย องค์ประกอบและรูปแบบของจดหมาย ผู้เขียนคงเคยเขียนจดหมายหรืออ่านจดหมายมาบ้างแล้ว คงจะสังเกตเห็นว่าจดหมาย นั้นไม่ว่าประเภทใด จะต้องประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ที่อยู่ของผู้เขียน เริ่มกึ่งกลางหน้าระหว่างเส้นคั่นหน้ากับริมของขอบกระดาษ ๒. วัน เดือน ปี ที่เขียนจดหมาย ให้เยื้องมาทางซ้ายของตำแหน่งที่เขียนที่อยู่เล็กน้อย ๓. คำขึ้นต้น ห่างจากขอบกระดาษด้านซ้าย ๑ นิ้ว ๔. เนื้อหา ขึ้นอยู่กับย่อหน้าตามปกติ อาจจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านซ้าย ๒ นิ้ว ๕. คำลงท้ายอยู่แนวเดียวกับที่อยู่ของผู้เขียน ๖. ชื่อผู้เขียน อยู่ใต้คำลงท้าย ล้ำเข้าไปเล็กน้อย ตัวอย่าง รูปแบบการเขียนจดหมายทั่วไป ๒.วัน.... เดือน...... ปี........ ระยะ ๑ นิ้ว ๓. คำขึ้นต้น ประมาณ ๒ นิ้ว ๔. เนื้อหา .................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................................................................... หลักการทั่วไปในการเขียนจดหมาย ๑. หลักการทั่วไปในการเขียนจดหมาย การเขียนจดหมายควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ บุคคลที่ติดต่อ คำขึ้นต้น คำลงท้าย ญาติผู้ใหญ่ เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา กราบเท้า…ที่เคารพอย่างสูง กราบเท้าด้วยความเคารพ ยาย อย่างสูงหรือกราบมาด้วย ความเคารพรักอย่างยิ่ง ญาติลำดับรองลงมา เช่น ลุง ป้า น้า กราบ......ที่เคารพหรือ กราบมาด้วยความเคารพ อา กราบ.....ที่เคารพอย่างสูง ด้วยความเคารพ ด้วยความเคารพอย่างสูง พี่หรือญาติชั้นพี่ พี่......ที่รัก ด้วยความรัก ถึง......ที่รัก หรือ รักหรือคิดถึง .......เพื่อนรัก หรือ หรือรักและคิดถึง ..........น้องรัก ครู อาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา กราบเรียน…ที่เคารพอย่างสูง ด้วยความเคารพอย่างสูง ระดับสูง ผู้บังคับบัญชาระดับใกล้ตัวผู้เขียน เรียน……..ที่เคารพ ด้วยความเคารพ ๒) คำขึ้นต้นและคำลงท้ายหนังสือราชการ การใช้คำขึ้นต้นและคำลงท้าย หนังสือราชการ ต้องเป็นไปตามระเบียบงานสารบรรณของทางราชการ ในที่นี้จะนำเสนอ ดังนี้ ผู้รับหนังสือ คำขึ้นต้น คำลงท้าย ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี และบุคคลทั่วไป พระภิกษุสงฆ์ชั้นพระราชาคณะ นมัสการ ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง ขอแสดงความนับถือ ขอนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง ๑.๑.๒ ใช้ภาษาเขียนให้ถูกกับระดับของจดหมาย โดยทั่วไปแล้วถ้าเขียน ตัวอย่าง ที่เป็นทางการ ที่ไม่เป็นทางการ ๑. เขาขับขี่รถจักรยานยนต์ไปชมภาพยนตร์ ๑. เขาขี่รถเครื่องไปดูหนัง ๑.๑.๓ เขียนโดยใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้รับจดหมายได้ทราบเรื่อง อย่างรวดเร็วและเข้าใจได้ทันทีตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ หากจะต้องปฏิบัติการตาม ความในจดหมายนั้นก็ปฏิบัติได้โดยถูกต้องครบถ้วน ๑.๒ มารยาทในการเขียนจดหมาย ตัวอย่างการเขียนจ่าหน้าซองจดหมาย ชื่อที่อยู่ผู้ฝาก ที่ผนึกตรา นายวิศิษฎ์ ดรุณวัต ไปรษณียากร๗๐๘/๑๒๖ ถนนจรัลสนิทวงศ์ แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐ ชื่อและที่อยู่ของผู้รับ หมายเหตุ การสื่อสารแห่งประเทศไทยมีบริการพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยป้องกันมิให้ จดหมายสูญหาย หรือช่วยให้จดหมายถึงมือผู้รับได้รวดเร็ว ทันเวลา เช่น บริการ EMS เป็นต้น ผู้สนใจจะใช้บริการต่าง ๆ ดังกล่าว จะต้องไปติดต่อที่ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข โดยตรง เพราะจะต้องกรอกแบบรายการบางอย่าง การเขียนข้อความในทำนองที่ว่า “ขอให้ส่งด่วน” ลงบนซองจดหมาย ไม่ทำให้จดหมายถึงเร็วขึ้นแต่อย่างใด |