โหมดสี RGB และ CMYK เป็นโหมดสีในการทำงานพิมพ์ และการออกแบบ ซึ่งทั้งสองโหมดนี้ เมื่อมองผิวเผินอาจดูไม่แตกต่างกัน เพราะเป็นโหมดสีเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงแล้วทั้งสองโหมดสีนี้มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นที่มาของสี ลักษณะของสี และการนำไปใช้งาน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับค่าสีที่แตกต่างกัน ระหว่าง RGB และ CMYK และทั้งสองโหมดสีนี้จะมีผลกับงานพิมพ์อย่างไรบ้าง ไปหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ
โหมดสี RGB ค่าสีที่แตกต่างกันมีผลกับงานพิมพ์อย่างไร
โดยชนิดของไฟล์งาน สำหรับส่งให้โรงพิมพ์ มีดังนี้ สอบถามราคา
หน่วยที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับกราฟิก ประกอบด้วยแผนการสอนทั้ง 3 บท ดังนี้
สี (COLOR) หมายถึง ลักษณะกระทบต่อสายตาให้เห็นเป็นสีมีผลถึงจิตวิทยา คือมีอำนาจให้เกิดความเข้มของแสงที่อารมณ์และความรู้สึกได้ การที่ได้เห็นสีจากสายตาสายตาจะส่งความรู้สึกไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึก ต่างๆตามอิทธิพลของสี สีต่างๆนั้นมีอยู่มากมายแหล่งกำเนิดของสีและวิธีการผสมของสีตลอดจนรู้สึกที่มีต่อสีของมนุษย์แต่ละกลุ่มย่อมไม่เหมือนกัน สีต่างๆที่ปรากฎนั้นย่อมเกิดขึ้นจากแม่สีในลักษณะที่แตกต่างกันตามชนิดและประเภทของสีนั้น โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีที่สร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการมองเห็นสีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปนั้น มีอยู่ด้วยกัน 7 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบสี RGB 2. ระบบสี CMYK 3. ระบบสี HSB 4. ระบบสี LAB 5. ระบบสี Grayscale 6. ระบบสี Bitmap 7. ระบบสี Indexed 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของสี 2. เรียนรู้ระบบสีที่ใช้กับงานกราฟฟิก 3. สามารถเลือกใช้สีที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบได้ 4. ประยุกต์ใช้ระบบสีต่างๆในโปรแกรมกราฟิกได้ แผนที่ 3 ระบบสีในงานกราฟิก 3.1 ความหมายของสี สี (COLOR) หมายถึง ลักษณะกระทบต่อสายตาให้เห็นเป็นสีมีผลถึงจิตวิทยา คือมีอำนาจให้เกิดความเข้มของแสงที่อารมณ์และความรู้สึกได้ การที่ได้เห็นสีจากสายตาสายตาจะส่งความรู้สึกไปยังสมองทำให้เกิดความรู้สึก ต่างๆตามอิทธิพลของสี เช่น สดชื่น ร้อน ตื่นเต้น เศร้า สีมีความหมายอย่างมากเพราะศิลปินต้องการใช้สีเป็นสื่อสร้างความประทับใจในผลงานของศิลปะและสะท้อนความประทับใจนั้นให้บังเกิดแก่ผู้ดูมนุษย์เกี่ยวข้องกับสีต่างๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นล้วนแต่มีสีสันแตกต่างกันมากมาย สีเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเพื่อประโยชน์กับตนเองและ ผู้สร้างงานจิตรกรรมเพราะ เรื่องราวองสีนั้นมีหลักวิชาเป็นวิทยาศาสตร์จึงควรทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์ ของสีจะบรรลุผลสำเร็จในงานมากขึ้น ถ้าไม่เข้าใจเรื่องสีดีพอสมควร ถ้าได้ศึกษาเรื่องสีดีพอแล้ว งานศิลปะก็จะประสบความสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง แม่สี (PRIMARIES) สีต่างๆนั้นมีอยู่มากมายแหล่งกำเนิดของสีและวิธีการผสมของสีตลอดจนรู้สึกที่มีต่อสีของมนุษย์แต่ละกลุ่มย่อมไม่เหมือนกัน สีต่างๆที่ปรากฎนั้นย่อมเกิดขึ้นจากแม่สีในลักษณะที่แตกต่างกันตามชนิดและประเภทของสีนั้น แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม 1. แม่สีของแสง (RGB) เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน อยู่ในรูปของแสงรังสี ซึ่งเป็นพลังงานชนิดเดียวที่มีสี คุณสมบัติของแสงสามารถนำมาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็นต้น
RGB มีแนวคิดมาจากการผสมแสงสีหลัก 3 สีเข้าด้วยกัน คือ แดง (RED) เขียว (GREEN) และน้ำเงิน (BLUE) ซึ่งเมื่อผสมกันจะทำให้เกิดสีจำนวนมากและเมื่อนำมารวมกันที่ความเข้มสูงสุดจะได้สีขาว ส่วนใหญ่การใช้สีลักษณะนี้จะใช้ในอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่นจอภาพ กล้องดิจิตอล เป็นต้น 2. แม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีที่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวน CMYK มีแนวคิดมาจากระบบการพิมพ์ โดยภาพจะถูกแยกออกเป็นแม่พิมพ์ของสีหลักเพียง 4 สี คือ ฟ้า (CYAN) ม่วงแดง (MAGENTA) เหลือง (YELLOW) ดำ (BLACK) ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วจะได้สีดำ
1. วงจรสี (Colour Wheel) วงจรสี คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ เริ่มตั้งแต่ แม่สี 3 สี แล้วเกิดเป็นสีใหม่ขึ้นมา จนครบวงจร จะได้สีทั้งหมด 12 สี ซึ่งแบ่งสีเป็น 3 ขั้นคือ 1.1 สีขั้นที่ 1 (Primary Colours) คือ แม่สี 3สี ได้แก่ สีแดง เหลือง และน้ำเงิน 2. วรรณะของสี (Tone of Colour) วรรณะสี คือ ความแตกต่างของสีแต่ละกลุ่ม ในวงจรสีโดยแบ่งตามความรู้สึกด้านอุณหภูมิ โดยแบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ 2.1 สีวรรณะร้อน (Warm Tone) ประกอบด้วยสีเหลือง,
ส้มเหลือง, ส้ม, ส้มแดง, แดง และม่วงแดง 3. สีตรงข้าม (Comprementary Colour) สีตรงข้าม หมายถึง สีที่อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันในวงจรสี และมีการตัดกันอย่างเด่นชัดซึ่งจะให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน หากนำมาผสมกันจะได้สีกลาง (เทา) ซึ่งมีทั้งหมด 6คู่ ได้แก่ - สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง 4. สีข้างเคียง ( Analogous Colour) สีข้างเคียง หมายถึง สีที่อยู่เคียงข้างกันทั้งซ้ายและขวาในวงจรสี มีความคล้ายคลึงกันหากนำมาจัดอยู่ด้วยกันจะมีความกลมกลืนกัน หากอยู่ห่างกันมากเท่าใดความกลมกลืนก็จะยิ่งน้อยลงความขัดแย้งก็จะมีมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นสี ในวรรณะเดียวกัน (ภาพที่ 6) สีข้างเคียงได้แก่ - สีแดง - ส้มแดง - ส้ม หรือ ม่วงแดง -แดง - ส้มแดง ความรู้สึกเกี่ยวกับสีในเชิงจิตวิทยา
(ที่มา : http://www.vattaka.com/color.htm) 3.2 ระบบสีที่ใช้กับงานกราฟิก โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีที่สร้างขึ้น จะมีรูปแบบการมองเห็นของสีที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบการมองเห็นสีที่ใช้ในงานด้านกราฟิกทั่วไปนั้น มีอยู่ด้วยกัน 7 ระบบ ได้แก่ 5. ระบบสี Grayscale มักใช้แปลงภาพสีเพื่อไปใช้ในงานพิมพ์แบบขาว-ดำ 6. ระบบสี Bitmap ประกอบด้วย 2 สี คือขาวและดำ มักใช้กับภาพวาดที่วาด้วยหมึกดำ ภาพลายเส้น ภาพสเก็ตซ์ เป็นต้น 7. ระบบสี Indexed เป็นระบบจัดเก็บสี โดยกำหนดให้ 1 ภาพ จะมีความละเอียดของสีไม่เกิน 256 สีเท่านั้น 3.2.1 ระบบสี RGB ย่อมาจากคำว่า Red Green Blue เป็นระบบสีที่เกิดจากการรวมกันของแสง สีแดง สีเขียว และ สีน้ำเงิน เมื่อมีการใช้สัดส่วนของ 3 สีนี้ต่างกัน จะทำให้เกิดสีต่าง ๆ ได้อีกมากมายถึง 16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นปกติ โดยสีที่ได้จากการผสมสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี ถ้าหากสีมีความเข้มมากเมื่อนำมาผสมกันจะทำให้เกิดเป็นสีขาว จึงเรียกระบบสีนี้ว่า Additive หรือการผสมสีแบบบวก หลักการแสดงสีของจอคอมพิวเตอร์นั้นจะแสดงสีเป็นระบบ RGBอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกโหมดการทำงานใดก็ตาม ดังแสดงในภาพที่ 1.5
3.2.2 ระบบสี CMYK ย่อมาจากคำว่า Cyan Magenta Yellow Black เป็นระบบสีมาตรฐานที่เหมาะกับงานพิมพ์ พิมพ์ออกทางกระดาษหรือวัสดุผิวเรียบอื่น ๆ โดยทำการแก้ไขจุดบกพร่องของระบบสี RGB ที่เครื่องพิมพ์ ไม่สามารถพิมพ์สีบางสีออกไปได้ ซึ่งประกอบด้วยสีหลัก 4 สี ได้แก่ สีฟ้า สีชมพูม่วง สีเหลือง และสีดำเมื่อนำสีทั้งหมดมาผสมกันจะเกิดเป็นสีดำ จึงเรียกระบบสีนี้ว่า Subtractive Color หลักการเกิดสีของระบบนี้คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนแสงจากสีหนึ่งและสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่าง ๆ ดังแสดงในภาพที่ 1.6
3.2.3 ระบบสี HSB เป็นระบบสีที่เลี่ยนแบบการมองเห็นของสายตามมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
3.2.4 ระบบสี LAB เป็นมาตรฐานสำหรับการวัดค่าแบบครอบคลุมทุกสีในระบบสี RGB และ CMYK
สามารถใช้กับสีที่ เกิดจากอุปกรณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ส่วนประกอบของระบบสีนี้ ได้แก่
ภาพที่ 1.8 ระบบสี LAB 3.2.5 ระบบสี Grayscale ระบบสีแบบ Grayscale จะจัดการแต่ละพิกเซลในแบบ 8 บิต เหมือนเป็นสวิทช์เปิด-ปิด แสดง 8 อัน เพื่อสร้างเป็น 1 สีดำ , 1 สีขาว , และ254 ระดับสีเทา มักใช้กับภาพขาว-ดำ หรือแปลงภาพสีเพื่อไปใช้ในงานพิมพ์แบบขาว-ดำ ซึ่งจะทำให้ขนาดของไฟล์ลดลง 2 ใน 3 ของ RGB ภาพที่ 1.9 ระบบสี Grayscale 3.2.6 ระบบสี Bitmap ระบบสีแบบ Bitmap จะประกอบด้วยสี 2 สี คือ ขาวและดำ บางครั้งเรียกว่า ภาพแบบ 1 บิต ซึ่งแต่ละพิกเซลในภาพจะเป็นได้เพียงขาวหรือดำเท่านั้น มักใช้กับภาพวาดที่วาด้วยหมึกดำ ภาพลายเส้น ภาพสเก็ตซ์ เป็นต้น 3.2.7 ระบบสี Indexed เป็นระบบจัดเก็บสี โดยกำหนดให้ 1 ภาพ จะมีความละเอียดของสีไม่เกิน 256 สีเท่านั้น เป็นโหมดสีที่เหมาะสำหรับการทำภาพบน web โดยที่ทุกครั้งที่แปลงภาพจากโหมดสีอื่นๆ มาเป็น Index โปรแกรมจะทำการสร้างตารางดัชนี ( Indexed Color ) ขึ้นมาจัดเก็บสีในภาพ และจะทำการตรวจสอบรหัสสีที่ได้ โดยถ้าค่าสีใดอยู่นอกเหนือจาก 256 ในตารางดัชนีสี จะถูกแปลงเป็นสีจากสีทั้ง 256 สีที่เก็บเอาไว้ใกล้เคียงให้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นภาพที่ได้จะให้ความสวยงามที่ใกล้เคียงของเดิม และทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงด้วย จุดด้อยของระบบสี Indexed Color คือการมีสีใช้งานเพียง 256 เฉดสี จึงทำให้ไม่สามารถเก็บรายละเอียดของสีเอาไว้ได้ครบถ้วน 3.3 เทคนิคการเลือกใช้สีในการออกแบบ ใบงานที่ 1.3 : ระบบสีในงานกราฟิก
|