นิยายพระเอกเป็นชีค จบแล้ว ไม่ติดเหรียญ

ลาซินสมัครเป็นข้าหลวงเพื่อเข้าไปสืบเรื่องของมารดา ทว่าความน่ารักสดใสกลับสะดุดตาเจ้าชายองค์รัชทายาท ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายแต่หัวใจกลับเต้นแรงเมื่อได้อยู่ใกล้ นั่นทำให้บทพิสูจน์แห่งรักของคนทั้งสองได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการค้นหาความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในพระราชวัง

“เจ้าชายเพคะ อย่าทรงกริ้วพระสนมเลยนะเพคะ พระสนมไม่ใช่คนที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ทราบกฎระเบียบของพวกเราชาวทะเลทรายหรอกเพคะ”

“ไม่ทราบก็ควรจะเรียนรู้”

แล้วเขาก็คว้าข้อมือของหล่อนเอาไว้ พร้อมกับดึงให้เดินตรงไปยังม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่สง่างาม

“จะทรงพาหม่อมฉันไปไหนเพคะ”

“เราจะลงโทษเจ้าด้วยการให้เจ้าขี่ม้าไปกับเรา”

หล่อนหน้าซีดเผือด เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยขี่ม้าตัวเป็นๆ มาก่อนเลย

“เอ่อ หม่อมฉันขอนั่งรถไปกับฮัสซันไม่ได้เหรอเพคะ”

“ตอนแรกน่ะฉันก็ตั้งใจจะให้เธอนั่งรถไปกับคนอื่นๆ แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”

“อ๊ะ… ว้ายยย”

หล่อนกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนหลังม้าแล้วโน้มตัวลงมากระชากหล่อนจนตัวปลิวตามขึ้นไปนั่งไพล่บนหลังของม้าหนุ่มตัวเดียวกัน

“หม่อมฉัน… กลัวเพคะ…”

“กอดฉันไว้สิ ถ้ากลัวตกน่ะ”

เขาหัวเราะหึหึด้วยความขบขัน รอยยิ้มพึงพอใจเกลื่อนใบหน้าหล่อจัด การได้มีร่างนุ่มนิ่มของผู้หญิงตัวหอมอย่างมะลิมาแนบชิดอยู่แบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกสุขใจอย่างประหลาด

“หม่อมฉัน… กอดแล้วเพคะ”

เขาหัวเราะอีกครั้ง และกระชับร่างของหล่อนเอาไว้ด้วยอ้อมแขนทรงหลังข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ดึงสายบังคับม้าเอาไว้ ความเป็นชายแข็งชันเสียดสีกับสีข้างของหล่อนตลอดเวลา

“เพิ่งเคยขี่ม้าครั้งแรกหรือ”

“เพคะ…”

“ดี งั้นเดี๋ยวไปถึงกระโจมกลางทะเลทรายเมื่อไหร่ ฉันจะสอนเธอขี่ฉัน… อ้อ ไม่สิ ขี่ม้า…”

เจ้าชายเซรีมพูดจบก็ใช้เท้ากระแทกตัวม้าหนึ่งครั้ง ม้าหนุ่มปราดเพรียวก็พุ่งทะยานฝ่าสายลมออกไปด้วยความเร็วสูง หล่อนกอดร่างทรงพลังเอาไว้แน่น ทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นไปในคราวเดียวกัน ใบหน้างามซบกับหน้าอกกว้างกำยำแนบแน่น จนได้ยินเสียงหัวใจของเจ้าชายทะเลทรายเต้นอยู่ใต้ใบหู

หล่อนนึกว่าเจ้าชายเซรีมจะไม่มีหัวใจเสียอีก…

รอยยิ้มหวานเกลื่อนดวงหน้า แก้มนวลแดงระเรื่อ หัวใจสาวพองฟูแน่นอก หล่อนอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่ตรงนี้เหลือเกิน

‘หม่อมฉันรักพระองค์เพคะ’

ม้าห้อตะบึงไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ฝุ่นทรายตลบฟุ้งตามติดราวกับเงาร้าย สองแขนเรียวยังคงกอดเจ้าชายทะเลทรายเอาไว้แน่นหนา และฝันเฟื่องว่าจะได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาไปชั่วนิรันดร์

หล่อนกับเจ้าชายเซรีมเดินทางมาถึงยังกระโจมที่พักช้าที่สุด เพราะพอมาถึง เหล่าทหารและนางในที่ติดตามมาด้วยก็จัดการสร้างกระโจมและตั้งแถวรอคอยเรียบร้อยแล้ว

แก้วนวลของหล่อนแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงฉากรักบนหลังม้ากับเจ้าชายเซรีม เขาสอนให้หล่อนขี่ม้าและขี่เขาไปพร้อมๆ กัน หล่อนขัดขืน แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านความเสียวซ่านที่เจ้าชายหนุ่มปลุกเร้าได้ ในที่สุดหล่อนก็เริงร่าบนหลังม้า เสพสมกับเขาอย่างเร่าร้อน แต่นั่นไม่ใช่ครั้งเดียวกับเซ็กซ์กลางทะเลทรายอันร้อนระอุ เพราะหลังจากขึ้นสวรรค์อยู่บนหลังม้าสองครั้งติด เจ้าชายเซรีมก็ช้อนตัวหล่อนลงมาจากหลังอาชาหนุ่ม เขาปูผ้าลงกับพื้นทราย และจัดการเสพสุขกับหล่อนอีกครั้ง หล่อนอ่อนใจกับความหื่นจัดของเจ้าชายทะเลทรายผู้นี้นัก แต่กระนั้นก็รู้สึกพึงพอใจเช่นกัน

“ลงได้แล้ว”

น้ำเสียงเรียบเฉยและเย็นชาของเจ้าชายเซรีมทำให้หล่อนตื่นจากภวังค์หวาน เขาช้อนตัวอุ้มหล่อนลงจากหลังม้า วินาทีแรก สองขาอ่อนแรงจนต้องเกาะร่างทรงพลังเอาไว้ เขาอมยิ้ม และโน้มศีรษะลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“ถึงกับขาอ่อนเลยหรือ จัสมิน”

หล่อนรู้ความหมายของเขาเป็นอย่างดี หน้าตาจึงร้อนวูบวาบ และกัดฟันยืนด้วยขาของตัวเองได้ในที่สุด

“น้ามะลิมาแล้ว…”

ฮัสซันกระโดดดีใจ และวิ่งเข้ามาสวมกอดหล่อนเอาไว้แน่น หล่อนรีบย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า พร้อมกับอ้าแขนกอดรัดร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายตัวน้อยเอาไว้

“ฮัสซันมาถึงนานแล้วเหรอจ๊ะ”

“นานแล้วครับน้ามะลิ” เด็กน้อยดันตัวออกห่าง และเอียงคอมองใบหน้าของหล่อน

“ทำไมผมของน้ามะลิมีเม็ดทรายติดมาด้วยล่ะครับ”

หน้าของมะลิร้อนวาบขึ้นอีกครั้ง หล่อนชะงัก และก็เผยอช้อนตาขึ้นไปสบประสานกับตัวต้นเหตุเข้าโดยบังเอิญ หล่อนเห็นเขาอมยิ้ม และทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้หล่อนหาคำแก้ตัวเอาเอง

‘คนใจดำ’

หล่อนเหน็บแนมเขาในอก ในขณะที่ภายนอกระบายยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้หลานชายจับพิรุธได้

“น้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันจ้ะ แต่คงเป็นเพราะตอนที่ขี่ม้ามามีลมหมุนพัดผ่านมาน่ะ เม็ดทรายก็เลยลอยมาติดผมของน้า”

“ถ้าเป็นลมหมุน หรือพายุทะเลทรายพัดผ่าน ไม่น่าจะมีเม็ดทรายติดไปทั่วพระเกศาของพระสนมแบบนี้นะเพคะ” นัสรินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้น และเดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ ใบหน้าของเจ้าหล่อนมีแต่รอยยิ้มริษยาที่มะลิมองออกได้อย่างชัดเจน “ลักษณะแบบนี้ เหมือนพระสนมลงไปบรรทมเล่นบนพื้นทรายเลยนะเพคะ”

เมื่อถูกคำพูดรู้ทันของนัสรินดังขึ้น ความร้อนจัดบนใบหน้างามของมะลิก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“คุณคงเลยนอนเล่นบนพื้นทรายบ่อยสินะ ถึงได้รู้ละเอียดลออแบบนี้ คุณนัสริน”

นัสรินมองหน้ามะลิอย่างแค้นเคือง นี่ถ้าเจ้าชายเซรีมไม่ได้ยืนอยู่ในรัศมีอันใกล้ด้วย หล่อนคงจะด่ากลับมากกว่านี้

“มีอะไรหรือนัสริน”

เจ้าชายเซรีมที่เพิ่งจะสั่งงานทหารกับองครักษ์เสร็จเดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ ร่างของหล่อน แต่กลับเอ่ยถามผู้หญิงอีกคน มะลิเต็มไปด้วยความน้อยใจ และขยับตัวออกห่าง แต่ก็ถูกมือใหญ่ตวัดรวบเอวคอดเอาไว้

“ไม่มีอะไรหรอกเพคะเจ้าชายเซรีม”

“งั้นเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ เดินทางมาตั้งไกล คงจะเหนื่อยแย่”

“ขอบพระทัยเพคะที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน”

นัสรินฉีกยิ้มกว้าง เดินขยับเข้ามาหยุดใกล้ๆ เจ้าชายเซรีมมากยิ่งขึ้น ไม่สนใจว่าข้างกายของเขาจะมีมะลิยืนอยู่ด้วย

“กระโจมของหม่อมฉันอยู่ถัดไปจากกระโจมของเจ้าชายแค่หลังเดียวนะเพคะ”

เจ้าชายเซรีมอมยิ้มและผงกศีรษะรับทราบ นัสรินระบายยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะเดินนวยนาดจากไป

มะลิกัดฟันแน่นด้วยความโมโหหึง และก็พยายามสะบัดตัวทันทีเมื่อนัสรินเดินจากไปแล้ว

“ปล่อยเพคะ หม่อมฉันจะไปเดินเล่นกับฮัสซัน” หล่อนใช้เด็กน้อยที่ยืนจับมืออยู่ข้างกายเป็นข้ออ้าง

“ฉันไปด้วย”

“พระองค์อย่าทรงมาเสียเวลากับพระสนมที่ไม่โปรดปรานอย่างหม่อมฉันเลยเพคะ เชิญเสด็จไปที่กระโจมของแม่นางนัสรินดีกว่า” หล่อนเกลียดตัวเองนักที่ทำสุ้มเสียงหึงหวงแบบนั้นออกไป แต่หล่อนบังคับตัวเองไม่ได้

หล่อนสะบัดตัวแรงๆ จนมือใหญ่หลุดจากเอวคอด จึงหันไปพูดกับฮัสซัน

“เราไปเดินดูรอบๆ กันเถอะ ฮัสซัน”

“ครับ น้ามะลิ”

แล้วหล่อนก็จูงมือของฮัสซันจากมาทันที ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และไม่คิดจะหันกลับไปมองเจ้าชายเซรีมที่ยืนมองตามมาไม่วางตาแม้แต่นิดเดียว

‘กระโจมของหม่อมฉันอยู่ถัดไปเพียงแค่หลังเดียวเพคะ’

หึ… ถ้าอยากใช้เวลาด้วยกัน ทำไมจะต้องลากหล่อนมารอนแรมเป็นก้างขวางคอด้วยล่ะ ไอ้เจ้าชายบ้า!

มะลิเต็มไปด้วยความโมโห แต่แล้วก็ต้องรีบสลัดความไม่พอใจนั้นออกไป เมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของฮัสซันดังขึ้น

ใช่… หล่อนไม่ควรเอาความรู้สึกงี่เง่าของตัวเองมาทำให้ฮัสซันไม่มีความสุข เพราะเด็กน้อยไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย หล่อนต้องยิ้ม ต้องดูแลฮัสซันให้ดีที่สุด

“นั่นคืออะไรครับน้ามะลิ”

นิ้วป้อมๆ ของเด็กน้อยชี้ไปยังบริเวณแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้และพืชนานาชนิดขึ้นอยู่มากมาย หล่อนอมยิ้มย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“นั่นเรียกว่าโอเอซิสครับฮัสซัน”

“อ๋อ… โอเอซิสเป็นแบบนี้นี่เอง ผมเพิ่งนึกภาพออก”

คำพูดของเด็กน้อยทำให้หล่อนอดที่จะสงสัยไม่ได้ เพราะฮัสซันพูดเหมือนรู้จักมาก่อน

“ฮัสซันเคยเห็นโอเอซิสมาก่อนเหรอจ๊ะ”

เด็กน้อยหน้าตาคมสันส่ายศีรษะเล็กๆ ไปมา ก่อนจะตอบออกมาอย่างไร้เดียงสา

“ผมเพิ่งเคยเห็นโอเอซิสเป็นครั้งแรกครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าชาย เซรีมเล่าเรื่องโอเอซิสให้ผมฟังมาก่อน”

พอได้ยินชื่อของเขาก็อดที่จะหน้าบูดไม่ได้ แต่พอเห็นสายตาแปลกใจของฮัสซันที่มองมา หล่อนก็จำต้องฝืนยิ้มต่อ

“แล้วฮัสซันชอบโอเอซิสไหมจ๊ะ”

“ชอบครับ สวยมากเลย… ผมอยากลงเล่นน้ำจังครับ”

“เอาไว้เราไปขออนุญาตเจ้าชายเซรีมก่อนดีไหมครับ”

สีหน้าของฮัสซันมีความผิดหวัง แต่ไม่นานเด็กชายก็ระบายยิ้มกว้างออกมาด้วยความตื่นเต้น

“นั่นนกอะไรครับน้ามะลิ”

หล่อนแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า และก็เห็นนกตัวใหญ่บินผ่านไป

“น้าไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเหยี่ยว หรือไม่ก็นกที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายจ้ะ”

“งั้นผมไปถามเจ้าชายดีกว่า”

หล่อนฝืนยิ้มออกมา รู้สึกโหวงเหวงในอกไม่น้อย เมื่อรู้ว่าฮัสซันแบ่งหัวใจที่เคยมีแต่หล่อนไปให้เจ้าชายเซรีมอีกคนหนึ่งแล้ว แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เพราะหากวันหนึ่งหล่อนจากไป ฮัสซันจะได้มีความสุข และไม่โดดเดี่ยวยามอยู่ที่ซาเรีย

“งั้นเรากลับไปกระโจมกันเนอะ”

“ครับ น้ามะลิ”

หล่อนจูงมือเล็กของฮัสซันเดินกลับไปตามเดินทางที่เดินผ่านมา ซึ่งมันก็อยู่ในอาณาเขตที่มีทหารยามเดินตรวจตราอยู่นั่นเอง หล่อนอดไม่ได้ที่จะมองเลยไกลออกไป ทะเลทรายสีทองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองยังไงก็ไร้จุดสิ้นสุด ยิ่งมองยิ่งเห็นก็ยิ่งทำให้อ้างว้างเหลือเกิน