อาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ง่วงนอน

     การนอนให้เป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอจะช่วยป้องกันโรคง่วงนอนมากเกินไปได้ และทำให้ร่างกายคุ้นชิน สร้างระบบนาฬิกาชีวภาพที่จะช่วยให้ตื่นนอนอย่างสดชื่น นอกจากนี้ควรหมั่นออกกำลังกาย แต่หากทำตามคำแนะนำทั้งหมดแล้วยังมีอาการง่วงนอนมากผิดปกติ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป

     บางคนนั้นในวันทำงานจำเป็นที่จะต้องเข้านอนให้เร็วและตื่นให้เช้า แต่พอเป็นวันเสาร์อาทิตย์กลับนอนดึกและตื่นสาย ส่งผลต่อเนื่องไปถึงเช้าวันจันทร์ที่ไม่อยากตื่นไปทำงาน หรือบางคนก็ตื่นไปทำงานแบบที่ยังมีอาการง่วงซึมและอ่อนเพลียอยู่ แต่หากเราสามารถนอนในเวลาเดิมและตื่นในเวลาเดิมได้ทุก ๆ วัน แบบนี้ก็จะทำให้ร่างกายไม่ต้องปรับตัวมาก โกรทฮอร์โมนก็จะหลั่งได้แบบปกติและมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายเราของเราแข็งแรงและมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสค่ะ

แบ่งปันเกร็ดความรู้เรื่องสุขภาพทั้งโรคภัยไข้เจ็บ วิธีออกกำลังกาย เคล็ดลับลดน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อยู่กินของอร่อยไปได้อีกนาน ๆ

หลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ พอตกบ่ายก็เริ่มตาปรือ สัปหงก หรือบางทีก็ต้องลุกไปชงกาแฟดื่มแก้ง่วง ถ้านานๆ ทีง่วงทีก็พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้าง่วงมันทุกวันเนี่ย ต้องลองเช็คสุขภาพแล้วล่ะค่ะ เพราะคุณอาจกำลังเป็นโรคบางอย่างหรือเปล่า จะมีโรคอะไรบ้าง ตาม Sanook Health มาหาคำตอบกันค่ะ

6 โรคอันตรายที่คุณอาจกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว หากคุณมีอาการง่วงนอนบ่อยๆ

  1. โรคนอนไม่หลับ

    ก็เพราะนอนไม่หลับ ก็เลยง่วง ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่าที่นอนไม่หลับ หรือนอนดึกมากๆ เนี่ย เป็นเพราะทำงานหนัก งานเยอะ หรือเครียดจนนอนไม่หลับหรือเปล่า ถึงทำให้วันต่อมาง่วงนอน เพราะนอนไม่เคยพอสักวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรคลายเครียด ลดการทำงานในตอนกลางคืน หรือปรึกษาแพทย์ได้นะคะ
  2. โรคอ่อนเพลีย /ล้าเรื้อรัง

    เป็นขั้นกว่าของโรคนอนไม่หลับ ซึ่งก็หมายถึงการนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานนั่นเอง เมื่อร่างกายสะสมความอ่อนเพลียหนักขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลมากเกินไป จนส่งผลให้มีอาการเพลีย ล้า ง่วงนอน ความจำไม่ค่อยดี ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และหลับไม่สนิท นอนเท่าไรก็ไม่พอ และกลุ่มวัยทำงานมีความเสี่ยงสูงที่สุด
  3. โรคเบาหวาน

    จากที่บอกไปแล้วว่าการบริโภคแป้ง และน้ำตาลสูงทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ นอกจากจะเป็นโรคล้าเรื้อรังแล้ว ยังอาจเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย เพราะเลือดมีปริมาณน้ำตาลสูง และอาการง่วงนอนเป็นสัญญาณแรกๆ ที่แสดง หรือเตือนให้ร่างกายทราบว่ากำลังอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นำไปสู่โรคเบาหวานได้ในอนาคตอันใกล้
  4. โรคลมหลับ

    อันนี้เป็นโรคง่วงนอนแบบจริงจังแล้วนะ คือง่วงนอนมากในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนกลับตาแป๋ว นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท หรือพอได้นอนปุ๊บก็ฝันทันที ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นเด็กอาจถูกมองว่าเป็นเด็กขี้เกียจ พัฒนาการสมองช้า เรียนไม่เก่ง หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อการใช่ชีวิต เช่น ง่วงระหว่างขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลถึงสุขภาพจิตที่อาจกลายเป็นคนหงุดหงิดงุ่นง่านง่าย จากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
  5. โรคโลหิตจาง

    ยิ่งผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางได้ง่าย เพราะสาเหตุอาจมาจากการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ (เพราะผู้หญิงเลือกกินมากกว่า) นอกจากนี้ยังสูญเสียโลหิตจากการมีประจำเดือนอีกด้วย ส่วนสาเหตุอื่นยังมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงรู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืดบ่อย เหนื่อยง่าย และเชื่องช้า เซื่องซึม ไม่สดใส จึงทำให้รู้สึกง่วงนอนบ่อยๆ นั่นเอง
  6. เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ในร่างกาย

    การสูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ บ่อยๆ เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะสูญเสียเลือดจากการเป็นโรคริดสีดวงทวารบ่อยๆ อาจเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย หรืออยู่ในภาวะโลหิตจางเรื้อรัง เลยแสดงอาการเหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมง่าย อ่อนแรง และง่วงหงาวหาวนอนได้เช่นกัน

แต่ละโรคไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยว่าไหมคะ ทางที่ดี หากลองปรับนาฬิกาชีวิตให้เป็นปกติ นอนให้เร็ว ตื่นให้เช้า หรือหากนอนไม่หลับลองเลี่ยง “7 สิ่งอันตรายที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอน” (คลิกเพื่ออ่านบทความ) หรือทำความรู้จักกับ "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" (คลิกเพื่ออ่านบทความ)  เพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ

คือ ภาวะที่ร่างกายมีพลังงานน้อยกว่าปกติจนส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย โดยอาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาทางสุขสภาพจิต การรับประทานยาบางชนิด หรือภาวะความเจ็บป่วย ซึ่งแม้อาการเหนื่อยจะเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และสามารถกลับมารู้สึกสดชื่นได้อีกครั้งหลังจากนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่อาการเหนื่อยที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายสัปดาห์นั้นอาจเป็นสัญญาณปัญหาสุขภาพได้

อาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ง่วงนอน

อาการเหนื่อยง่าย

อาการเหนื่อยที่ไม่ดีขึ้นแม้จะนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หรืออาการเหนื่อยต่อเนื่องนาน 3-4 สัปดาห์ อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้

  • มีเหงื่อออกในตอนกลางคืน ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิห้องปกติและไม่มีไข้
  • หายใจลำบาก
  • ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดลง
  • มีเมือกใสในโพรงจมูกหรือปาก
  • กระหายน้ำ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมโต

ทั้งนี้ หากมีอาการที่เป็นภาวะเร่งด่วนต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • เจ็บหน้าอก
  • หายใจไม่อิ่ม
  • รู้สึกคล้ายจะเป็นลม
  • ปวดท้อง ปวดหลัง หรือปวดบริเวณกระดูกเชิงกรานอย่างรุนแรง
  • อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกทางทวารหนัก
  • มีอาการบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิต เช่น มีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเอง รวมทั้งคิดทำร้ายผู้อื่น

สาเหตุของอาการเหนื่อยง่าย

โรคหรือภาวะความเจ็บป่วยหลายชนิดอาจเป็นสาเหตุให้มีอาการเหนื่อยง่ายได้ ดังนี้

  • ภาวะตั้งครรภ์ เหนื่อยง่ายเป็นหนึ่งในอาการระยะแรกเริ่มของหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากในช่วง 3 เดือนแรก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขึ้นมามาก โดยมีอาการปรากฏร่วมกับสัญญาณบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ เช่น ประจำเดือนขาด เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อย เป็นต้น
  • เบาหวาน ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการหลักคืออ่อนเพลียและเหนื่อยล้า นอกจากนี้ อาจกระหายน้ำ ปวดปัสสาวะบ่อย และน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เหนื่อยง่ายและสงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคเบาหวานควรรับการตรวจและรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง  
  • การขาดธาตุเหล็ก หรือภาวะโลหิตจาง เป็นภาวะที่ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไร้เรี่ยวแรง เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง หากมีเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอจะทำให้เลือดไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ อาจทำให้มีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น และตัวซีดร่วมด้วย
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ พบบ่อยในชายวัยกลางคนและผู้มีน้ำหนักตัวมาก สาเหตุเกิดจากช่องคอที่แคบกว่าปกติหรือปิดลงขณะหลับ ทำให้หายใจลำบากและรบกวนการนอน เนื่องจากร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการกระตุ้นให้ตื่นเพื่อพยายามหายใจ ซึ่งการตื่นขึ้นมาบ่อย ๆ ในตอนกลางคืนจะส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียในช่วงเวลากลางวัน นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังอาจส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงและเกิดเสียงกรนรบกวนผู้อื่นขณะนอนหลับ
  • ภาวะขาดไทรอยด์ อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายเป็นอีกอาการโดยทั่วไปของผู้ป่วยภาวะขาดไทรอยด์หรือไฮโปไทรอยด์ โดยจะแสดงอาการอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่อาจสังเกตได้ในทันที ผู้ป่วยอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่ม มีภาวะซึมเศร้า รู้สึกเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย
  • ภาวะซึมเศร้า ผู้ที่มีภาวะนี้มักรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้ามาก อาจมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก และตื่นเช้ากว่าปกติ รวมทั้งรู้สึกสิ้นหวัง วิตกกังวล มีแรงขับทางเพศต่ำ หรือมีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย
  • ภาวะเหนื่อยเรื้อรัง อาการเหนื่อยอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 6 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจแสดงถึงภาวะเหนื่อยเรื้อรังได้ โดยจะรู้สึกเหนื่อยแม้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ อาจมีอาการบ่งชี้อื่น ๆ เช่น เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีต้น ๆ ถึง 40 ปีกลาง ๆ และพบในเด็กอายุระหว่าง 13-15 ปี ได้เช่นกัน
  • โรคลมหลับ หรือภาวะง่วงเกิน (Narcolepsy) เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยหลับอย่างกะทันหัน มีอาการง่วงนอนมากเกิดขึ้นหลายครั้งในแต่ละวัน และอาจหลับไปทั้ง ๆ ที่กำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ โรคนี้มักพบในช่วงอายุ 10-25 ปี
  • หนี้การนอน (Sleep Debt) ภาวะที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลาติดต่อกันนาน ทำให้รู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ส่งผลให้ต่อมหมวกไตทำงานหนักเกินไป หรือมีภาวะดื้ออินซูลิน อันเป็นสาเหตุของระดับน้ำตาลในเลือดสูงและนำไปสู่โรคเบาหวาน
  • การติดเชื้อ เช่น โรคหวัด ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยติดต่อกันนาน 1-2 สัปดาห์หลังจากไข้ลดลงแล้ว รวมถึงโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไวรัสตับอักเสบ โรคเอดส์ เป็นต้น
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญพลังงาน กระบวนการเผาผลาญพลังงานหรือเมตาบอลิซึมที่ต่ำกว่าปกติอาจทำให้รู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า และต้องการนอนพักผ่อน อีกทั้งอาจแสดงถึงภาวะขาดไทรอยด์ ส่วนกระบวนการเมตาบอลิซึมที่สูงกว่าปกตินั้นอาจส่งผลให้รู้สึกเหนื่อย และเป็นอาการจากโรคไทรอยด์เป็นพิษได้

นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือปัจจัยอื่น ๆ อาจส่งผลให้มีอาการเหนื่อยง่ายได้เช่นกัน ดังนี้

  • การนอนดึก อาจทำให้ร่างกายอ่อนล้า รู้สึกเหนื่อยง่าย การเข้านอนและตื่นนอนเวลาเดียวกันเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป เช่น กาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม อาจเป็นสาเหตุให้มีอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืนและรู้สึกเหนื่อย จึงควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระหว่างวัน และไม่ควรดื่มในตอนเย็น
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและพฤติกรรม ทั้งยังอาจมีผลกระทบต่อการรักษาทางแพทย์หรือทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิด
  • การรับประทานยา ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงเป็นอาการเหนื่อยง่าย เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยาแก้แพ้ ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน และยาระงับอาการปวด
  • การรักษาโรค เช่น การรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา อาจส่งผลข้างเคียงให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า
  • การรับประทานอาหารขยะ อาหารจำพวกของทอดและของหวานนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ อีกทั้งยังประกอบด้วยไขมันและน้ำตาลสูง ทางที่ดีควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานและทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันได้อย่างกระฉับกระเฉง

การวินิจฉัยอาการเหนื่อยง่าย

ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการเหนื่อยติดต่อกันหลายสัปดาห์และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นด้วยการซักถามประวัติ อาการ พฤติกรรมการนอน กิจกรรมในแต่ละวัน รวมถึงการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังอาจมีการตรวจเพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจร่างกาย หรือการตรวจเลือด ดังนี้

  • การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจความสมส่วนของร่างกายด้วยการวัดน้ำหนักและส่วนสูงว่าสัมพันธ์กันหรือไม่ และอาจมีการตรวจอื่น ๆ ตามข้อสันนิษฐานจากอาการของผู้ป่วย เช่น
    • ตรวจต่อมไทรอยด์ที่คอว่ามีขนาดใหญ่ขึ้นหรือไม่
    • ตรวจต่อมน้ำเหลืองว่ามีอาการบวมขึ้นหรือไม่
    • ตรวจดวงตาว่ามีภาวะซีดจากโรคโลหิตจางหรือไม่
    • ตรวจข้อต่อว่ามีอาการบวมอักเสบหรือไม่
    • ตรวจความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและขา
    • ฟังเสียงหน้าอก คลำและฟังเสียงช่องท้อง รวมถึงอวัยวะต่าง ๆ ในช่องท้อง
  • การตรวจเลือด แพทย์ยังอาจพิจารณาให้ผู้ป่วยตรวจเลือด หากสงสัยว่าอาการเหนื่อยง่ายของผู้ป่วยเกิดจากโรคหรือภาวะบางอย่างต่อไปนี้  
    • เบาหวาน
    • ภาวะขาดธาตุเหล็กหรือโลหิตจาง
    • ภาวะขาดวิตามิน เช่น วิตามินบี 12 หรือวิตามินดี
    • ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
    • อาการอักเสบในร่างกาย
    • โรคแพ้กลูเตน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อโปรตีนกลูเตนที่มีอยู่ในพืช
    • การทำงานของตับหรือไตผิดปกติ
    • ภาวะติดเชื้อบางชนิด เช่น ไข้ตาเหลืองตัวเหลือง (Glandular Fever)
  • การตรวจอื่น ๆ กรณีที่ผู้ป่วยอาจมีปัญหาสุขภาพที่นอกเหนือจากข้างต้น แพทย์อาจต้องใช้การตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเอกซเรย์อก การเก็บตัวอย่างปัสสาวะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานหรือการติดเชื้อ เป็นต้น  

การรักษาอาการเหนื่อยง่าย

การรักษาภาวะเหนื่อยง่ายมุ่งเน้นที่สาเหตุอันก่อให้เกิดอาการนี้เป็นหลัก โดยหากมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ แพทย์จะรักษาโรคหรือภาวะนั้น ๆ ต่อไป เช่น

  • เหนื่อยง่ายจากภาวะโลหิตจาง แพทย์จะสั่งจ่ายธาตุเหล็กชนิดรับประทาน เพื่อให้เม็ดเลือดแดงกลับมาสมบูรณ์และอาการเหนื่อยบรรเทาลง
  • เหนื่อยง่ายจากภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน การรับประทานยาไทรอยด์ฮอร์โมนเพื่อชดเชย จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
  • เหนื่อยง่ายจากการรับประทานยารักษาโรคบางชนิด แพทย์อาจปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
  • เหนื่อยง่ายจากภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล อาจต้องเข้ารับการบำบัดอาการด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม การพูดคุย การให้คำปรึกษา หรือการรักษาด้วยยา  
  • หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะเหนื่อยเรื้อรัง แพทย์อาจส่งตัวผู้ป่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อหาแนวทางในการรักษา โดยอาจใช้การทำจิตบำบัด การออกกำลังกายอย่างเป็นลำดับขั้น หรือการรักษาด้วยยา

นอกจากนี้ การดูแลตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้

  • ออกกำลังกาย เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยให้น้อยลง นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น
  • นอนหลับตอนกลางคืนให้เพียงพอ การนอนอย่างเต็มอิ่มในช่วงกลางคืนนับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการงีบหลับระหว่างวันเพื่อชดเชยการอดนอนนั้นไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย แต่อาจส่งผลให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนและนาฬิกาชีวิตรวน
  • จัดการความเครียด ผู้ป่วยที่มีภาวะเครียดควรใช้เวลาคิดทบทวนเพื่อจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ และควรหากิจกรรมคลายเครียด เช่น ไปเที่ยว นวดผ่อนคลาย เล่นเกม ฟังเพลง หรือออกกำลังกาย ควรหลีกเลี่ยงการเก็บความรู้สึกและความวิตกกังวลไว้คนเดียว อาจพูดคุยปรึกษาและขอคำแนะนำจากเพื่อน บุคคลในครอบครัว หรือนักจิตวิทยา เพื่อลดความเครียด

การป้องกันอาการเหนื่อยง่าย

อาการเหนื่อยง่ายป้องกันได้ด้วยการดูแลตนเองและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตให้มีสุขภาพดี โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • บันทึกอาการเหนื่อยล้าระหว่างวันเพื่อสังเกตตนเองว่าช่วงไหนมีอาการเหนื่อยมากหรือน้อย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยในระดับปานกลาง หรือการออกกำลังกายที่ใช้การทรงตัวผสมผสานกับการฝึกหายใจ เช่น รำไทเก็กหรือโยคะ อาจช่วยเพิ่มความอยากอาหารและทำให้รู้สึกมีเรี่ยวแรงยิ่งขึ้น
  • หยุดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหลายชนิด เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ ปัญหาการหายใจ ซึ่งล้วนส่งผลให้มีอาการเหนื่อยง่ายได้
  • หลีกเลี่ยงการงีบหลับนานกว่า 30 นาทีในช่วงบ่ายของวัน เพราะอาจทำให้รู้สึกมึนงงและมีอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน
  • ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง หากมีงานต้องทำมากเกินไป เนื่องจากตารางงานที่รัดแน่นอาจทำให้เครียดและเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าตามมา