จากที่ได้เล่าไปแล้ว 2 แบบด้วยกัน คือ ภาพพิมพ์แกะไม้ และภาพพิมพ์ตะแกรงไหม (เทคนิค”ภาพพิมพ์”ที่คนไม่ค่อยรู้จัก แต่ใกล้ตัวกว่าที่คิด : แกะไม้ ซิลค์สกรีน) ซึ่งมีความใกล้ตัว คุ้นหู และสามารถทำได้ง่าย แต่อีก 2 เทคนิคที่กำลังจะพูดถึงนั้นยากขึ้น อันตรายขึ้น (เพราะมีกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง) และทำเองยากมาก ต้องใช้เครื่องพิมพ์ และต้องเรียนรู้ก่อน แต่ก็เป็นอีกเทคนิคที่ศิลปินนิยมนำมาทำงานศิลปะเพราะได้ชิ้นงานออกมาคุ้มค่ากับกระบวนการนั่นเอง Lithograph หรือ ภาพพิมพ์หินความจริงแล้วมันก็ตรงตัวคือ ใช้หินปูนเป็นแม่พิมพ์ (เป็นแผ่นหินหนาๆ) แต่ปัจจุบันน้อยลงมาก อาจจะเพราะแผ่นหินปูนดูแลยาก สามารถแตกหักได้ ไม่ค่อยสะดวกในการใช้ จึงมีการนำแผ่นอลูมิเนียมบางๆ มาพัฒนาเป็นแม่พิมพ์แทน ซึ่งวิธีการทำภาพพิมพ์หินนี้เริ่มยากขึ้นแล้วเพราะมีการใช้กรดเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าจะให้เล่าวิธีการทำก็ต้องขอเวลากันสักอาทิตย์นึงเพราะยุ่งยากจริงๆ ความยากและท้าทายของมันคือ การจะทำงานออกมาได้ดี มันต้องขึ้นอยู่กับทุกปัจจัยในกระบวนการ แม่พิมพ์ต้องดี ดินสอที่เขียนก็ต้องดี ต้องวาดลงน้ำหนักให้ได้พอดี ต้องกะปริมาณกรดให้พอดี (ถ้าจริงจังหน่อยก็จะมีการทดลองก่อนว่าควรใช้กรดเท่าไหน แล้วบันทึกไว้) เรียกได้ว่าเยอะ แต่เนื้องานที่ออกมาจะตรงกับที่เราต้องการได้มากที่สุด ถ้าทำพังก็อย่าไปเครียดกับมันมาก ถือว่าเป็นสีสันและประสบการณ์กันไป ข้อเสียของมันก็คือเมื่อเราทำแม่พิมพ์ออกมาแล้ว ต้องพยายามพิมพ์รวดเดียวให้จบไปเลย อย่างเช่นอยากได้งานสัก 20 ชิ้น ก็พิมพ์ 20 ชิ้นรวดเดียวไปเลย เพราะแม่พิมพ์ที่ทำออกมาดูแลยาก ถ้าเก็บแล้วนำกลับมาพิมพ์อีกครั้งคุณภาพก็จะไม่เท่าครั้งแรก แต่ความท้าทายของมันก็คือต้องมานั่งลุ้นทุกครั้งที่พิมพ์นี่แหละ ว่าจะพังไม่พัง ฮ่าๆ Lion Devouring a Horse (1844) – Eugène Delacroix ตัวอย่างภาพพิมพ์หินแบบเขียนด้วยดินสอไข จะคล้ายๆ การดรออิ้งด้วยดินสอ F. Champenois Imprimeur-Éditeur (1897) – Alphonse Mucha ตัวอย่างงานภาพพิมพ์หินแบบพิมพ์หลายสี ไปลองดูวิธีทำภาพพิมพ์หินเล่นๆ กันดีกว่า นาทีที่ 1.05 ยกตัวอย่างเวลาเขียนเพลท (ใช้ดินสอไขเขียน) โดยพยายามอย่าให้มือโดนเพลท เพราะว่าจะทำให้เปื้อนและตอนพิมพ์ก็จะติดไปด้วย นาทีที่ 2.15 เป็นการสาธิตวิธีพิมพ์ ที่ต้องพิถีพิถันมาก เพราะพังไม่พังก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ เกร็ดความรู้เล็กๆ : กรดที่ใช้ในภาพพิมพ์หินคือกรดฟอสฟอริก Etching หรือ ภาพพิมพ์โลหะเป็นเทคนิคที่ยาก ซับซ้อน และยังคงมีกรดเข้ามาเกี่ยวข้อง หลักการของมันก็คือ ใช้กรดกัดส่วนที่เราต้องการให้เป็นร่อง (กัดลึกไม่ลึกขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปริมาณกรด) หากต้องการพิมพ์ก็อัดหมึกลงไป และเข้าเครื่องพิมพ์ ฟังดูยากไปหมด แต่ข้อดีของมันก็คือ เมื่อเราทำแม่พิมพ์เสร็จแล้ว ถ้าดูแลรักษาดีๆ ก็สามารถใช้พิมพ์เท่าไรก็ได้ตามที่ต้องการ เพราะส่วนใหญ่จะใช้แผ่นทองแดงเป็นแม่พิมพ์ ที่ราคาค่อนข้างสูงแต่ทนทานพอสมควร งานที่ได้ออกมาจะแม่นยำกว่าภาพพิมพ์หิน มาดูตัวอย่างการทำภาพพิมพ์โลหะเล่นๆ กัน ตัวอย่างงานภาพพิมพ์โลหะแบบสีเดียว สังเกตว่าลักษณะเส้นจะคมๆ เหมือนการดรออิ้งด้วยปากกา ตัวอย่างภาพพิมพ์โลหะแบบหลายสี หากจะพิมพ์หลายสีก็ต้องทำแม่พิมพ์หลายอัน เพราะเทคนิคนี้จำเป็นต้องพิมพ์ครั้งเดียวให้จบ (เนื่องจากกระดาษที่ใช้พิมพ์ต้องแช่น้ำก่อน ถ้าพิมพ์ไม่จบแล้วแช่น้ำอีกรอบ จะพิมพ์ไม่ตรงที่เดิมแน่ๆ จ้า) เกร็ดความรู้เล็กๆ : การพิมพ์ธนบัตร หรือแบงค์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้เทคนิคภาพพิมพ์โลหะ นั่นคือแกะส่วนที่ต้องการให้เป็นร่องลงไป เมื่อถึงเวลาพิมพ์ ก็อัดหมึกลงไปในช่อง และมาพิมพ์ลงธนบัตรอีกที เป็นสาเหตุที่ทำไมเวลาเราลูบๆ ไปที่ธนบัตรแล้วรู้สึกนูนๆ (เพราะหมึกที่เคยอยู่ในร่องโลหะย้ายมาอยู่บนธนบัตรแทนนั่นแหละ) ถ้าจะอธิบายสองเทคนิคนี้ให้เข้าใจจริงๆ คงยากมากๆ เพราะปกติแล้วใช้เวลาเรียนกันนานพอสมควรกว่าจะได้ผลงานที่ดีออกมาได้ แต่ถ้าใครอยากดูภาพผลงานเพิ่มเติม หากลองไปศึกษาดูก็จะจับสไตล์ และเสน่ห์ของงานภาพพิมพ์ได้ไม่ยาก ประเภทของการพิมพ์ 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการ พิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 2. แบ่งตามกรรมวิธีในการพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 3. แบ่งตามจำนวนครั้งที่พิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ 4. แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์ ได้ 4 ประเภท คือ Share this:Like this:Like Loading... Leave a comment |