เป็นยุคที่แสวงหาวิธีการบริหารที่ดีและมีเหตุผล มีแนวคิด การบริหารที่ดีต้องใช้รูปแบบองค์การระบบปิด และองค์การแบบทางการ Show
Woodrow Wilson[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เขียนหนังสือเรื่อง The Study of Administration ตั้งสมมติฐาน 5 ข้อ
Frank J. Goodnow[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เขียน Politics and Administration แนวคิด 2 ข้อ
Leonard D. White[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เขียน Introduction of The Study of Public Administration ว่า ากรเมืองไม่ควรแทรกแซงการบริหาร การศึกษาเรื่องการบริหารโดยหลักวิทยาศาสตร์ และเป้าหมายสำคัญของการบริหาร คือ การประหยัดและการมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงระบบบริหารบุคคลให้อยู่บนพื้นฐาระบบคุณธณรม ให้ความสำคัญ ฝ่ายบริหารใช้งบประมาณในการวางแผนและควบคุม สรุป[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]แนวคิดการแยกการบริหารออกจากการเมือง เป็นส่วนผลักดันให้มีการปฏิรูประบบบริหาร อาศัยคุณธรรม เพื่อป้องกันการเล่นพรคเล่นพวก ระบบบริหารที่ดี คือ การที่นักบริหารเข้มแข็ง อาศัยหลกเหตุผล และ ประสิทธฺภาพเป็นโครงสร้างที่เอื้ออำนาวยต่อการบริหารที่ดีมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงาน องค์การ สังคม ระบบแบบนี้นำไปสู่ทฤษฎีองค์การ และวิชาพฤติกรรมศาสตร์ ทฤษฎีอำนาจ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
องค์ประกอบขององค์การ 7 ข้อ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ สมัยปฏิวัติอุสาหกรรมของ Frederick W. Taylor[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ศึกษาเวลาการทำงานชิ้นๆ หนึ่ง / ศึกษาการเคลื่อนไหว และแยกงานออกเป็นขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ทำงานเต็มที่ เปลี่ยนจากความไม่มีประสิทธิภาพ ไร้กฎเกณฑ์ มาเป็นมีกฎเกณฑ์และมีประสิทธิภาพ หลักการจัดการสำหรับผู้บริหาร[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
หลักการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ 4[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ข้อเสีย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ไม่ประกันว่าคนงานและฝ่ายจัดการจะเจริญก้าวหนน้าจากตำแหน่งตลอด อาจใช้เวลาเปลี่ยนการทำงานแบบเดิมสู่แบบใหม่ Mary Parker Follet[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]หลักการบริหารที่ดี 4
Henry Fayol นักบริหารระดับสูงด้านอุสาหกรรม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]การบริหารที่ดี ประกอบด้วย การคาดคะเน / วางแผน / จัดองค์การ / สั่งงาน / ประสานงาน / ควบคุม หลักการบริหาร 14 ประการ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ จึงต้องเชื่อมโยงการเรียน ฝึกอบรมให้เข้ากับสภาพการทำงานจริงด้วย Jame D. Moonery and Alan C. Reiley นักบริหารชั้นอุสาหกรรม แต่งเรื่อง Principles of Organization[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]4 หลัก
Luther H. Gulick and Lyndall Uwick สร้างกลไกควบคุมภายใน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
เป็นการสร้างขวัญ และ ผูกมัดทางใจในการใช้หลักการด้านการบริหารงานบุคคลมาให้กำลังทำงาน สร้างความจงรักภักดีให้กับองค์การ และสร้างแรงจูงใจอื่นๆ ยุคท้าทาย วิกฤตเอกลักษณ์ครั้งที่ 1 (1950-1960)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ทฤษฎีในยุคดังเดิมเป็นแนวคิดเพียงภาษิต (proverb) มองคนเป็นเครื่องจักร Fritz Monsterin Marx[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนดนโยบาย แต่เป็นแบบกว้างๆ ฝ่ายบริาหรต้องกำหนดรายละเอียดของนโยบาย Paul Henson Appleby[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]รปศ. ควรเนินการศึกษาด้านการกำหนดนโยบายโดยกลุ่มพลังทางการเมือง Nowton E. Long[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ดำเนินการใช้อำนาจในองค์การ (นักบริหารจะต้องทำงานได้จำเป็นต้องอาศัยอำนาจที่เป็นทางการ คือ อำนาจทางกฎหมาย / ไม่เป็นทางการ คือ อาศัยอำนาจทางการเมือง ผลประโยชน์ต่างๆ ดังนั้นจึงมองว่า การบริหารแยกจากการเมืองไม่ได้) John M. Gaus นัก รปศ. อาวุโส[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ทฤษฎี รปศ. คือ ทฤษฎีทางการเมือง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]Robert Michels[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ปรากฏการณ์เบี่ยงเบนเป้าหมายองค์การ เน้นให้ความสำคัญต่อการสร้างกลไกองค์การที่จะรักษาอำนาจ Robert Merton สรุปความล้มเหลวดังต่อไปนี้[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ดังนั้นระบบราชการที่ควบคุมการปฏิบัติงาน ยึดระบบเคร่งครัด ทำให้ข้าราชการขาดความยืดหยุ่น ไม่กล้าตัดสินใจ Michel Crozier อธิบายความเสื่อมของระบบราชการ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]มาจากระบบวงจรที่ชั่วร้าย เมื่อมีปัญหาภายในองค์การ ฝ่ายจัดการจะหาทางออกด้วยการสร้างกฎระเบียบขึ้นมาใหม้่ Elton Mayo[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]โต้ Talyor ว่า เป็นแนวคิดที่มองคนเหมือนไม่มีชีวิต คนเหมือนเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ มาโยจึงเสนอแนวคิดการศึกษาความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการภายในกลุ่ม ได้แก่ การวิเคราะห์ภายในกลุ่ม ศึกษาทดลองเรื่อง Hawthorne studies ศึกษาปัจจัยทางการยภาพทางหลักวิทยาศาสตร์ Abraham H. Maslow เสนอทฤษฎีลำดับชั้นของความต้องการ (hierarchy of need)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
Frederick Hurzberg เสนอแนวคิดทฤษฎีปัจจัยจูงใจ - ปัจจัยสุขวิทยา[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]สุขวิทยา เช่น นโยบายบริหารองค์การ ฝึกอบรม นิเทศงาน จูงใจ เช่น การยอมรับจากคนอื่น การมีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่ง Douglas Mc-gregor เสนอทฤษฎี XY[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]X แบบเดิม เช่น มนุษย์ขี้เกียจ ไม่อยากมีส่วนร่วมในการทำงาน Y มนุษยสัมพันธ์ เช่น มนุษย์ขยัน อยากมีส่วนร่วม โดยจะต้องจัดปัจจัยในหลักการบริหารงาน / สนับสนุนให้คนแสดงออก / จัดความต้องการของคนงาน Chris Aroyris[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองไปตามขั้นตอนกระบวนการเป็นผู้ใหญ่ได้ Chester I. Barnard[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]องค์การเกิดจากการร่วมมือของคนเพื่อทำงานให้บรรลุตามเป้าหมาย หน้าที่ นักบริหาร คือ
Herbert A. Simon[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ศาสตร์การบริหาร โจมตีหลักการบรีหารว่า มีความขัดแย้ง เช่น span of control ขัดกับ hierarchy / specialization ขัดกับ one master โดยเริ่มต้นแนวคิดเรื่องการตัดสินใจ เป็นหัวใจของวิชา รปศ. เชนเดียวกับ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง การตัดสินสินใจของ ไซมอน กล่าวว่า การตัดสินใจที่ดีต้องตัดสินใจแบบมีเหตุผล ผู้ตัดสินใจต้องมีความรู้ เช่น ให้ข้อมูลข่าวสาร สร้างกฎเกณฑ์การทำงาน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง แบ่งตำแหน่งให้ชัดเจน ใช้อำนาจโดยชอบธรรม แม้ทฤษฎีจะหักล้างทฤษฎียุคดั้งเดิม แต่ก็ไม่สมารถยอมรับมากนักในหมู่นักวิชาการ ยุคกำเนิด รปศ. สมัยใหม่ วิกฤตเอกลักษณ์ครั้งที่ 2 (1960-1970)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]Herbert Simon and James Morch[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]กล่าวว่า ระบบการตัดสินใจองค์กรว่า องค์การเป็นที่รวมของมนุษย์ที่ตัดสินใจอย่างมีเหนุผล กระบวนการตัดสินใจในกระบวนการ คือ กระบวนการระบบ ระบบที่รวมระบบย่อนผลิตปัจจัยนำออกเพื่อป้อนไปสู่สภาพแวดล้อม ตัดสินใจของคนในองค์การ พิจารณาระบบการติดต่อเอกสาร ข้อมูลข่าวสารในระบบองค์การ รับส่งข้อมูลแบบทางการ และ ไม่เป็นทางการ Daniel Katz and Robert Kahn[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]มององค์การในลักษณะเปิด ที่มีหน้าที่นำพลังงาน เข้าและออก ระหว่างองค์การ และ สภาพแวดล้อม มีระบบย่อม 5 ระบบ คือ ระบบผลิต สนัยสนุน ดูแลรักษา ปรับตัว และจัดการ James F. Thompos[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]มองว่า องค์การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน มีองค์ประกอบ 3 ระดับ คือ เทคนิค จัดการ และ สถาบัน ก่อตั้ง Comparative Administration Group หรือ CAG หรือ กลุ่มศึกษาการบริหารงานเปรียบเทียบ เพื่อวิจัยแนวทางการปรับปรุงการบริหารงานของประเทศกำลังพัฒนา มี 5 แนวทางคือ
รปศ. ความหมายใหม่ของ Dwight Waldo[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
ยุคทฤษฎี รปศ. คือ รปศ. (1970-ปัจจุบัน)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]Thomas R. Dye[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]รูปแบบการกำหนดนโยบาย มี 7 แบบ คือ
Donald S. Van Meter & Carl E. Van Horn[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]นำนโยบายไปปฏิบัติ ต้องประกอบองค์สำคัญ คือ
ทางเลือกสาธารณะของ Vincent Ostrom[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เชื่อว่าจะแก้ปัญหา รปศ. ต้องใช้เศรษฐกิจการเมืองคู่กับ ปรัชญาการบริหารแบบประชาธิปไตย ซึ่งมี 8 ข้อ คือ
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้ยอมรับ เพราะเป็นกรอบใช้ทำความเข้าใจปัญหาการบริหารเป็นเทคนิคแก้ปัญหาโดยตรง เศรษฐกิจการเมือง แบบ Gary Wamsley and Mayer Zald[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เศรษฐกิจ การเมืองเกี่ยวข้องกันมาก ใกล้ชิดและแทรกแซงซึ่งกันและกัน มี 4 ส่วน คือ
แต่ได้รับความนิยมน้อยมาก น้อยกว่าแบบทางเลือกสาธารณะ เพราะเป็นการมองที่แคบเกินไป แนวคิดศึกษาวงจรชีวิตองค์การของ Antony Down[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ศึกษาวงจรชีวิตขององค์การว่า มีวิวัฒนาการ ขันตอนอย่างไร ปัจจัยที่ทำให้องค์การเสื่อมหรือตาย การเกิดองค์การ มี 4 แบบ
ข้อสังเกตความเจริญ ไม่เจริญขององค์การ เช่น เปลี่ยนแปลงผู้นำ การเร่งเจริญของพวกหัวก้าวหน้า การเจริญน้อยลงจากการลดบทบาทองค์การ (การเจริญที่ไม่เพิ่มคน เพิ่มแต่คุณภาพ) และ Antony ก็ยังอธิบายถึงการขยายตัวที่ไม่จำเป็นของระบบราชการ ผลของอายุองค์การ ปรากฏการณ์เกี่ยวกับคนในองค์การอีกด้วย การจัดการแบบประหยัดจากสภาวการณ์ขาดแคลนทรัพยากร ของ Charles Darwin (ชาร์ลส์ ดาวิน)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
การศึกษาเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ทาง รปศ. แนวใหม่ เช่น การออกแบบองค์การสมัยใหม่ การวิจัยศึกษาเรื่ององค์การ และอื่นๆ เทคนิคการบริหารในยุคนี้ ได้แก่ ใช้งบประมาณฐานศูนย์ ควบคุมคุณภาพแบบมีส่วนร่วม พัฒนาองค์การ หรือโอดี เทคนิค Sensitivity Training เทคนิค MIS เป็นต้น
เป็นยุคที่นัก รปศ. แสวงหาวิธีการบริหารที่ดี มีเหตุผล เพื่อเน้นแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ใช้แนวคิดการบริหารที่ดีในรูปแบบขององค์การแบบปิดและเป็นทางการ ยุคท้าทาย วิกฤตเอกลักษณ์ ครั้งที่ 1 (1950-1960)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]โต้แย้งทฤษฎีดั้งเดิม ว่า เป็นเพียงภาษิต (proverb) มองคนเป็นเครื่องจักร และใช้ไม่ได้กับองค์การทั่วไป ยุคนี้มีอิทธิพลจากจิตวิทยา สังคมวิทยา เสนอแนวคิด 4 ประการ คือ
ยุคกำเนิด รปศ. แบบใหม่ วิกฤตเอกลักษณ์ ครั้งที่ 2 (1960-1970)[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]เป็นช่วงการปฏิวัติพฤติกรรมศาสตร์และเกิดการรวมตัวของนักวิชาการรุ่นใหม่ เพื่อแสวงหาเอกลักษณ์ ประกอบด้วย |