แนวทางการสร้างมูลค่าให้ผลงาน

ในปัจจุบัน คุณจะเห็นได้ว่ามีสินค้าหลากหลายชนิดวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมากมาย ซึ่งสินค้าต่างๆเหล่านั้นล้วนมีจุดเด่น เพื่อสร้างแรงจูงใจในการซื้อจากผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพคเกจจิ้งประเภทถุงแก้วซึ่งผลิตมาจากโรงงานถุงพลาสติก, การใช้กล่องบรรจุภัณฑ์ลวดลายแปลกใหม่, การใช้ส่วนผสมหลักอันทรงคุณค่า ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคุณ ในบทความนี้ บริษัทประกายกานต์ แพคเกจจิ้ง อินดัสเทรียล จำกัด (Prakaikan Packaging Industrial co.,ltd.) โรงงานถุงพลาสติกอันดับหนึ่งในประเทศไทย ขอนำเสนอ “4 วิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า คุณเองก็ทำได้” มาติดตามกันได้เลยค่ะ

  1. เพิ่มคุณสมบัติเด่นให้กับสินค้า

การเพิ่มคุณสมบัติเด่นให้กับสินค้าของคุณ จะทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในสินค้าของคุณมากยิ่งขึ้น เช่น หากคุณทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า คุณอาจจะใช้ส่วนผสมซึ่งเป็นสารสกัดอันทรงคุณค่าจากธรรมชาติมาเป็นคุณสมบัติเด่นให้แก่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของคุณ หรือหากคุณทำสินค้าเกี่ยวกับของใช้สำหรับเด็ก ก็อาจจะเพิ่มคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กลงไปด้วย สิ่งนี้เองจะทำให้บริโภคเกิดความมั่นใจ และพร้อมที่จะซื้อสินค้าของคุณได้โดยง่าย

แนวทางการสร้างมูลค่าให้ผลงาน

  1. สร้างความคุ้มค่าให้กับสินค้า

การจัดโปรโมชั่น หรือสร้างความคุ้มค่าให้กับสินค้าของคุณ ถือเป็นการกระตุ้นยอดขายและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคุณได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ และหันมาซื้อสินค้าของคุณได้โดยง่าย เช่น หากคุณขายอาหารเสริมบำรุงสุขภาพในราคากระปุก 1,990 บาท คุณอาจจะจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายเป็น ซื้อสินค้าชิ้นที่ 2 ในราคาลด 50 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้ หรือหากคุณขายเฟอร์นิเจอร์ คุณอาจจะจัดโปรโมชั่น ซื้อสินค้าภายในร้านครบ 10,000 บาท บริการจัดส่งฟรีพร้อมจับฉลากลุ้นรับรางวัลใหญ่ ฯลฯ

  1. ใช้หลักความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตสินค้า

การใช้หลักความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตสินค้า หรือหลักดีมานด์-ซัพพลาย (Demand-Supply) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยควรผลิตสินค้าให้แตกต่างจากเจ้าอื่นๆในท้องตลาด เพื่อที่จะทำให้สินค้าได้ราคาดี และดูโดดเด่นในสินค้ากลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของคุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

  1. เปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรือ หีบห่อบรรจุภัณฑ์

การเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรือ หีบห่อบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย สามารถสื่อถึงแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของคุณได้เป็นอย่างดี จะเป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของคุณได้ อย่างบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงต่างๆ ทั้งถุงแก้ว, ถุงแก้วใส OPP, ถุงร้อน PP, ถุงเย็น LDPE & LLDPE, ถุงพลาสติกชนิดมีหูหิ้ว, ลามิเนต Laminated Plastic bags ฯลฯ

และนี่ก็คือ 4 วิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งคุณเองก็ทำได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคุณเองนะคะ และสำหรับผู้ที่สนใจในถุงพลาสติกทุกประเภท สามารถขอคำแนะนำและหาซื้อได้ที่ บริษัทประกายกานต์ แพคเกจจิ้ง อินดัสเทรียล จำกัด (Prakaikan Packaging Industrial co.,ltd.) เพราะที่นี่เราคือ โรงงานถุงพลาสติกอันดับหนึ่งที่ครบครันและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยค่ะ

ปกติของการขายสินค้า หรือบริการ ราคาของสินค้าหรือบริการของเรามักอิงกับความเป็นจริง ซึ่งได้มาจาก ต้นทุนวัตถุดิบ + ค่าแรง + กำไรที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้ = ราคาขาย นี่คือสูตรปกติของการตั้งราคา

แต่มีราคาอีกประเภทหนึ่ง ตั้งมาจาก “มูลค่าเพิ่ม”

มูลค่าเพิ่ม คือ การทำให้ราคาถูกเพิ่มสูงขึ้นจากปกติ โดยที่เป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ ที่นักการตลาดพยายามใส่เข้าไป แล้วโดนใจลูกค้า

มูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ ที่เรามักพบเห็น มาจากการทำให้บรรจุภัณฑ์ (Package) ดูดีมีชาติตระกูล จนทำให้สินค้าข้างในที่ราคาธรรมดา กลายเป็นของเลอค่าราคาแพง

การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ก็เป็นอีกหนทาง ที่นำพาให้สินค้าของเราดูดีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งสาระสำคัญของการทำให้มีมูลค่าเพิ่ม ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ “ของเดิมแต่ขายได้แพงกว่า”

ดังนั้น ราคาที่ตั้งมาจากมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นราคาที่ตั้งโดยอิงกับความเชื่อของลูกค้า ที่เชื่อว่าสินค้าของเราดูดีมีคุณค่าคู่ควรกับราคาดังกล่าว

 

การสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ไม่น่าเชื่อว่าได้ผลดีเยี่ยม นอกเหนือจากการออกแบบบรรจุภัณฑ์อันเลอเลิศ หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ นั่นคือ “เรื่องเล่า”

เล่าถึงที่มาที่ไปของสินค้าชิ้นนั้น เล่าให้เห็นว่าสินค้าชิ้นนั้น “ไม่ธรรมดา”

ประมาณว่า สิ่งที่ตาเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง เพราะมีสิ่งเลอค่าแอบซ่อนอยู่

แนวทางการสร้างมูลค่าให้ผลงาน

อะไรควรนำมาเป็นเรื่องเล่า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้บ้าง ไม่มีสูตรตายตัวครับ แล้วแต่ว่าสินค้านั้นไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่น่าสนใจ และน่าสนใจมากพอที่จะก่อให้เกิดเป็นเรื่องเล่าประจำสินค้านั้นได้

จะขอยกตัวอย่างบางส่วนของเรื่องเล่าที่สามารถกระตุ้นต่อมลูกค้าได้ เช่น…

  1. แหล่งวัตถุดิบ – เรื่องเล่าแนวนี้ จะให้ความสำคัญกับที่มาของวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นสินค้านั้น ว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดี หรือวัตถุดิบหายาก หรือวัตถุดิบจากแหล่งที่มีชื่อเสียง

ตัวอย่างเรื่องเล่าแนวนี้ เช่น “ก๋วยเตี๋ยวของเรา ใช้เนื้อวัวชั้นดี ที่เลี้ยงในฟาร์มปิดจากฮอกไกโด แหล่งที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวของญี่ปุ่น” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ได้ใช้เนื้อวัวที่เลี้ยงแล้วปล่อยกินหญ้าตามริมถนนนะ ราคาจึงคู่ควรกับความแพง

  1. กระบวนการผลิต – เรื่องเล่าแนวนี้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้น กว่าจะได้มาไม่หมู ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านขั้นตอนมาแบบสาหัสสากรรจ์

ตัวอย่างเรื่องเล่าแนวนี้ เช่น “หนังที่เรานำมาใช้ทำเก้าอี้ตัวนี้ เริ่มต้นเมื่อมาถึงโรงงาน เราต้องหาตามด ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ บนแผ่นหนัง ที่เราถือว่าเป็นตำหนิ ถ้าเจอตามดแผ่นหนังชิ้นนั้นใช้ไม่ได้ เมื่อปั๊มตัดขึ้นรูปเสร็จ ก็ต้องมาหาตามดรอบที่สอง เมื่อเย็บเสร็จเป็นเก้าอี้ จะมีการหาตามดในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนส่งให้แผนกตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งมอบ ตรวจเป็นลำดับสุดท้าย” ฟังแล้ว…มันจะยากอะไรปานนั้น

แนวทางการสร้างมูลค่าให้ผลงาน

  1. ผู้ผลิต หรือผู้ออกแบบ – เรื่องเล่าแนวนี้ ให้ความสำคัญกับคนทำ แต่ต้องเป็นคนทำที่มีชื่อเสียง จะได้ผลดีมาก เพราะถ้าคนทำยังโนเนม พูดไป ต้องมาอธิบายว่าคือใครอีก เสียเวลาเปล่า

ตัวอย่างเรื่องเล่าแนวนี้ เช่น “แหวนวงนี้ คนออกแบบ คือ ศิลปินที่ชนะการประกวดนักออกแบบเครื่องประดับรุ่นเยาว์ ที่ตอนนี้ค่าตัวสูงมาก หลายบริษัทจ้องซื้อตัว แต่เขาเลือกทำงานกับเรา เพราะแนวคิดตรงกัน อีกอย่าง คนที่เป็นคนขึ้นรูปตัวแหวน เป็นช่างทองโบราณที่เหลือเพียงไม่กี่คนในประเทศไทย” บอกเป็นนัยว่าค่าตัวคนทำแพง

  1. ความเชื่อ – เรื่องเล่าแนวนี้ นำเอาศรัทธาและความเชื่อมาเป็นจุดขาย เติมอภินิหาร หรือส่อแววอันน่าเชื่อว่าจะมีอภินิหารก็ได้

ตัวอย่างเรื่องเล่าแนวนี้ เช่น “กำไลหยกอันนี้ พระลามะจากทิเบตท่านปลุกเสกให้ หลายคนที่เอาไปใส่ บอกว่าโชคดีแบบไม่คาดคิดมาก่อน แรกก็ซื้อไปใส่แบบสวยงามไม่ได้คิดอะไร แต่กลับถูกหวยบ่อยมาก” ยิ่งถ้ามาแนวถูกหวยนี่บอกได้เลยครับ ถูกจริตคนไทยมากถึงมากที่สุด

  1. อิงประวัติศาสตร์ – เรื่องเล่าแนวนี้ นำเอาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาอิง ทำให้สินค้าดูมีมูลค่าในสายตาคนที่ชอบประวัติศาสตร์

แนวทางการสร้างมูลค่าให้ผลงาน

ตัวอย่างเรื่องเล่าแนวนี้ เช่น “ขนมของเรานั้น ย่าของยายทวด สืบทอดตำรับมาจาก เพื่อนของย่าของยายทวด ที่เขามีเชื้อสายของท้าวทองกีบม้าในสมัยอยุธยา ดังนั้น เป็นสูตรโบราณดั้งเดิม ไม่ใช่มาปรับเป็นแนวเบเกอรี่เหมือนร้านทั่วไปสมัยนี้” แค่ไล่ลำดับญาติก็งุนงงมากพอแล้ว คนชอบประวัติศาสตร์ก็จะตื่นเต้นกับแนวนี้

บางทีเรื่องเล่าก็อาจมาในลักษณะ “ผสมผสาน” คือ อิงจากหลายอย่าง มีทั้งแหล่งผลิต มีทั้งคนทำ มีทั้งกระบวนการ แต่ไม่ว่าอย่างไร เป้าหมายของเรื่องเล่าเหล่านี้ ต้องการ “เพิ่มมูลค่า” ให้สินค้าและบริการ

ลองหัดเป็นนักเล่าเรื่องดูบ้างครับ แล้วบางทีจะพบความมหัศจรรย์ของเรื่องเล่า ที่สามารถทำให้สินค้าธรรมดา ราคาไม่ธรรมดาขึ้นมาได้

แต่อย่าลืมเด็ดขาดว่า เรื่องเล่าต้องไม่ใช่เรื่องแต่ง ที่โกหกทั้งเรื่อง แต่โม้ๆ แทรกบ้าง ลูกค้าพออภัยให้ได้ครับ…