เส้นทางการเดินทัพขอพระมหาอุปราชา พระมหาอุปราชาทรงนำทัพผ่าป่าและเขามาอย่างช้าๆเดินทางเฉพาะเวลาเช้า และเวลาเย็น พอแดดร้อนก็พักเพื่อให้รี้พล ช้าง ม้า ร่าเริงและกล้าหาญ เมืองและตำบล ที่ทัพพระมหาอุปราชาฝ่ามาเรียงตามลำดับดังนี้ 1. หงษาวดี 2. ด่านเจดีย์สามองค์เริ่มเข้าเขตไทย ปัจจุบันอยู่อำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรีห่างจากตัวอำเภอประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นช่องทางติดต่อระหว่างมอญกับไทย เจดีย์องค์หนึ่งอยู่นเขตมอญ อีก 2 องค์อยู่ในเขตไทย เดิมคงเป็นกองหินเป็นรูปเจดีย์จริงในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 3. ตำบลไทรโยค รับสั่งให้ตั้งค่ายทรงปรึกษาแผนการที่จะเข้าตีเมืองกาญจนบุรี 4. ลำน้ำกระเพิน พระยาจิตตองคุมพลสร้างสะพานเชือก 5. เมืองกาญจนบุรี ประทับแรม 1 คืน 6. ตำบลตระพังตรุ จังหวัดกาญจนบุรี ทรงตั้งค่ายเป็นแบบดาวล้อมเดือนตรงชัยภูมินาคนาม 7. ตำบลโคกเผาข้าว จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ปะทะกับหัวหน้าของไทย เวลาประมาณ 7 นาฬิกา พระนเรศวรทรงเตรียมทัพ เมื่อทรงทราบข่าวศึก สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสว่า พระองค์เตรียมช้างม้า รี้พลจะยกไปตีเมืองละแวก บัดนี้ทัพหงษาวดียกมาชิงรบก่อน ควรที่จะยกไปต่อสู้เพื่อชิงชัยชนะและมีพระราชกำหนดออกไปให้พระอัมรินทร์ลือชัย เจ้าเมืองราชบุรีเกณฑ์พลห้าร้อยไปตั้งซุ้มอยู่ ถ้าข้าศึกข้ามสะพานลำน้ำกระเพินแล้วให้ตีดสะพานเชือกและเอาไฟเผาทำลายเสีย เมื่อรับสั่งดังนั้นมินานก็มีใบบอกจากเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี และวิเศษไชยชาญ แจ้งข่าวศึกมาตามลำดับ สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงปรึกษาการศึกกับขุนนางผู้ใหญ่ว่าจะออกไปรบนอกกรุงหรือตั้งรับอยู่ในกรุงดี ขุนนางกราบทูลให้ออกไปรบนอกเมือง เมื่อทรงสดับคำกราบทูลชอบพระะทัยนัก ตรัสว่าความคิดของขุนนางทั้งปวงต้องกับพระราชดำริของพระองค์ แล้วมีพระราชโองการให้ทัพหัวเมือง ตรี จัตวา หัวเมืองปักใต้ 23 หัวเมืองรวมรี้พลห้าหมื่นเป็นทัพหน้าให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพ พระราชฤทธานนท์ เป็นปลัดทัพยกไปขัดรับหน้าข้าศึกอยู่ ณ ตำบลหนองสาหร่าย ตีข้าศึกไม่แตกและต้านทานไม่ไหว พระองค์จะเสด็จยกทัพมาช่วยรบตามหลัง แม่ทัพทั้งสองกราบบังคมลาไปตั้งค่ายตรงชัยภูมิสีหนามอยู่ที่ตำบลหนองสาหร่าย ตามพระราชบัญชา สมเสด็จพระนเรศวรตรัสให้โหราฤกษ์ พระโหราธิบดีหลวงญาณโยค และหลวงโลกทีปคำนวณพระฤกษ์ถวายว่า”สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้จตุรงค์โชคอาจปราบข้าศึกให้แพ้สงครามไป”ขอเชิญเสด็จยกทัพออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือนยี่ เวลา 08.30 น. เมื่อได้มงคลฤกษ์ทรงเคลื่อนพยุหยาตราเข้าโขลนทวาร พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่กองทัพ เสด็จทางชลมารคไปประทัพแรมอยู่ที่ตำบลปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบินเป็นศุภมิตครั้งแรก เมื่อประทับที่ปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษาการศึกอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่จนยามที่สามจึงเสด็จเข้าที่บรรทม ครั้นเวลา 04.00 น. พระองค์ทรงสุบินเป็นศุภนิมิตเรื่องราวพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวร มีว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตร น้ำไหลป่าท่วมป่าทุ่งสูงทางทิศตะวันตกเป็นแนวยาวสุดสายตา พระองค์ทรงลุยกระแสน้ำอันเชี่ยวและกว้างใหญ่นั้น และมีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งทะยานเข้าโถมปะถทะและจะกัดพระองค์จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น พระองค์ทรงใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย ทันใดนั้นสายน้ำก็เหือดแห้งไป เมื่อพระองค์ตกพระทัยตื่นบรรทม สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนิมิตทันที พระโหราธิบดีกราบถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินครั้งนี้เกิดข้นเพราะเทวดาสังหรณ์ให้ทราบเป็นนัย น้ำซึ่งไหลทางท่วมป่าทางทิศตะวันตก คือ กองทัพพม่า จระเข้ คือ พระมหาอุปราชา การสงครามคราวนี้จะเป็นการใหญ่ขนาดทำยุทธหัตถีกัน การที่พระองค์เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงด้วยบพระแสงของ้าว และที่พระองค์ทรงกระแสน้ำ หมายความว่า พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปในหมู่ข้าศึกจนข้าศึกแตกพ่ายไป ไม่อาจจะต้านทานพระบรมเดชานุภาพได้ ศุภนิมิตบังเกิดแก่สมเด็จพระนเรศวร ครั้งที่ 2 พอใกล้ฤกษ์ยกทัพสมเด็จพระนเรศวร และพระเอกาทศรถเสด็จไปยังเกยช้างพระที่นั่งคอยพิชัยฤกษ์อยู่ ทันใดนั้นพระองค์ทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงเรืองงามขนาดผลส้มเกลี้ยงลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้หมุนเวียนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรค 3 รอบ แล้วลอยวนเวียนไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระที่น้องทั้งสองทรงปิติยินดีตื้นตันพระทัย ทรงพระสรรเสริญและนมัสการอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุนั้น บันดาลให้พระองค์ชนะข้าศึกและขอเชิญเป็นธงและเป็นฉัตรไปปกป้องเพื่อระงับความเดือดร้อน นำแต่ความสะดวกสบายมาสู่กองทัพ สมเด็จพระนเรศวรทรงตั้งค่ายที่หนองสาหร่าย จากตำบนปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างเจ้าพระยาไชยานุภาพ สมเด็จเอกาทศรถทรงช้างเจ้าพระยาปราบไตรจักร์ เสด็จเคลื่อนพลมาทางบ้านสระแก้ว และบ้านสระเหล้า วันนั้นพระอาทิตทรงกลดจนเวลาบ่าย 15.00 น. ก็ถึงตำบลหนองสาหร่าย ปันจุบันเป็นตำบลหนึ่งอยู่ในเขตท้องที่อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เส้นทางการเดินทัพของสมเด็จพระนเรศวร 1. กรุงศรีอยุธยา 2. ตำบลปากโมก 3. บ้านสระแก้ว 4. บ้านสระเหล้า 5. ตำบลหนองสาหร่าย ทรงตั้งค่ายเป็นรูปดอกบัวตรงชัยภูมิครุฑนาม เมื่อถึงหนองสาหร่ายแล้วรับสั่งให้หยุดกองทัพหลัง กองทัพหน้าซึ่งตั้งค่ายอยู่ก่อน แล้วเสด็จประทับบนเกยใต้ร่มไม้ประดู่เหนือจอมปลวกหลวงเป็นชัยภูมิตามแบบครุฑนาม และรับสั่งให้ตั้งค่ายเป็นกระบวนปทมพยหะ(รูปดอกบัว) การที่สมเด็จพระนเรศวรทรงเลือกชัยภูมิแบบครุฑนาม ก็เพื่อข่มกำลังข้าศึกซึ่งตั้งในชัยภูมิแบบนาคนาม พระมหาอุปราชาสั่งให้กองลาดตระเวนพม่า คือ สมิงจะคร้าน สมิงเป่อ สมิงซายม่อน ได้ไปพบกองทัพไทยเข้า จึงรีบกลับไปกราบทูลให้พระมหาอุปราชาทราบว่า ทัพไทยกำลังตั้งอยู่ริมหนองสาหร่าย มีรี้พลประมาณ 17-18 หมื่น พระมหาอุปราชาเห็นว่าจะได้เปรียบไทย เพราะกำลังพม่ามีมากกว่าหลายเท่าจึงรับสั่งให้เตรียมพลให้เสด็จตั้งแต่เวลา 03.00 น. พอเวลา 05.00น. ก็ยกไปตีทัพไทยให้แตก แล้วเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ครั้นได้ฤกษ์พระมหาอุปราชาทรงช้างพระที่นั่งชื่อพลายพัทธกอ เสด็จเคลื่อนพลออกจากตำบลตระพังตรุ ซึ่งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี ทัพหน้าของไทยปะทะกับกองพม่า พระยาศรีไสยณรงค์ และพระราชฤทธานนท์เมื่อได้รับพระบรมราชโองการให้ออกโจมตีข้าศึกจึงจัดทัพเป็นศรีเสนา คือ แบ่งเป็น 3 ทัพใหญ่ แต่ละทัพแยกออกได้ 3 กองทัพไทยเคลื่อนออกจากตำบลหนองสาหร่าย ถึงตำบลโคกเผาข้าว เวลา 07.00 น. ได้ปะทะกับพม่า ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันด้วยอาวุธชนิดเดียวกันเป็นคู่ๆ ด้วยความสามารถ สมเด็จพระนเรศวรให้สืบข่าวการรบของทัพหน้า ขณะที่พราหมณ์ผู้ทำพิธี และผู้ชำนาญไสยศาสตร์ทำพิธีเปิดประตูป่า และพิธีเซ่นละว้า เซ่นไก่(บวงสรวงปิศาจด้วยไก่) หลวงมหาวิชัยรับพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามตามไสยศาสตร์(กระทำเพื่อให้มีชัยชนะแก่ข้าศึก โดยนำไม้ที่มีชื่อร่วมกับข้าศึกมาเข้าพิธีกับรูปั้นและชื่อข้าศึก พอได้ฤกษ์พระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ให้แก่ผู้แทนพระองค์ไปฟันรูปปั้นและชื่อข้าศึกนั้นแล้วรีบกลับมาทูลพระองค์ว่าตนได้ปราบศัตรูว่าตามพระราชกระแสรับสั่งเรียบร้อยแล้ว) สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับเสียงปืน ซึ่งไทยกับพม่ากำลังยิงต่อสู้กันอยู่ แต่เสียงนั้นอยู่ไกลฟังไม่ถนัด จึงรับสั่งให้หมื่นทิพเสนารีบไป่สืบข่าว สมเด็จพระนเรศวรทรงบัญชาให้ทัพหน้าถอย พอหมื่นทิพเสนาไปถึงทัพหน้าของไทยได้นำขุนหมื่นผู้หนึ่งเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร ขุนหมื่นผู้นั้นกราบทูลว่าเมื่อเวลา 07.00 น. ทัพไทยได้ปะทะกับทัพพม่าที่ตำบลโคกเผาข้าว ทัพไทยต้องถอยร่นอยู่ตลอดเวลา เพราะทัพพม่าคราวนี้กำลังรี้พลมากมายนัก สมเด็จพรระนเรศวรจึงตรัสปรึกษาแม่ทัพนายกองว่าควรคิดหาอุบายแก้ไขการศึกอย่างไร บรรดาแม่ทัพนามกองกราบทูลขอให้พระองค์ส่งทัพไปยันไว้ให้ข้าศึกอ่อนกำลังลงก่อน จึงเสด็จยกทัพหลวงออกต่อสู่ภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า”ทัพไทยกำลังแตกพ่ายอยู่ถ้าจะส่งทัพไปต้านทานอีกก็จะพลอยแตกอีกเป็นครั้งที่ 2 ควรที่จะล่าถอยลงมาโดยไม่หยุดยั้งเพื่อลวงให้ข้าศึกละเลิงใจยกติดตามโดยไม่เป็นขบวน พอได้ทีก็ให้ยกกำลังส่วนใหญ่เข้าโจมตีก็คงจะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย” แม่ทัพนามกองเห็นชอบด้วยกับพระราชดำรินั้น สมเด็จพระนเรศวรจึงสั่งให้หมื่นทิพเสนากับหมื่นราชมาตย์รีบไปแจ้งแก่ทัพของไทยให้ล่าถอยโดยเร็ว ทัพหน้าจึงรีบถอยร่น ทัพพม่าก็รุกไล่ตามจนเสียกระบวน ศุภนิมิตบังเกิดแก่สมเด็จพระนเรศวร ครั้งที่ 3 ขณะสมเด็จพระนเรศวรประทับบนเกยเพื่อรอพิชัยฤกษ์เคลื่อนทัพหลวง ได้บังเกิดเมฆเยือกเย็นตั้งมืดอยู่ทางทิศพายัพ(ตะวันตกเฉียงเหนือ) แล้วก็กลับกลายแลดูโปร่งโล่งไปเผยไปเผยดวงตะวันให้ส่องสว่างจ้าสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนทัพตาม”เกล็ดนาค”(ตามตำราพิชัยสงครามซึ่งกำหนดไว้ว่า วันใดนาคหัวและหางไปทางทิศใดต้องไปตั้งทัพทางทิศหัวนาคแล้วเคลื่อนไปทางหางนาค คิอไม่ให้ทวนย้อนเกล็ดนาค) ในไม่ช้าก็ปะทะกับข้าศึก พอช้างพระที่นั่งทั่งสองพระองค์ได้ยินเสียงฆ้องกลองและปืนข้าศึกก็เริ่มคึกคะนองด้วยกำลังตกมันถลันเข้าไปในหมู่ข้าศึก ควาญไม่สามรถคัดท้ายไว้อยู่ แม่ทัพนายกองตามเสด็จไม่ทัน ผู้ที่เสด็จด้วยมีแต่ควาญรวม 4 คน สมเด็จพระพี่น้องทั้งสองได้ทอดพระเนตรข้าศึกมีกำลังมากมายไม่เป็นทัพไม่เป็นกอง จึงไสช้างพระที่นั่งเข้าชนช้างข้าศึก เหล่าข้าศึกพากันระดมยิงอาวุธมาดังห่าฝนแต่ไม่ถูกช้างทรง ทันใดนั้นก็บังเกดตะวันตลบมืดในท้องฟ้าราวกับไม่มีแสงตะวันและไม่รู้กหน้าซึ่งกันและกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศแก่เทวดาในสวรรค์ 6 ชั้น และพระพรหมซึ่งประทับบนแท่นดอกบัวในบรมโลกทั้ง 16 ชั้น ขอเชิญให้ทรงสดับพระราชดำรัสของพระองค์ การที่เทพเจ้าบันดาลให้มาประสูติสบวงศ์กษัตริย์ก็มุ่งหวังที่จะทะนุบำรุงพระวรพุทธศาสนา เพื่อแสงหาบุญกุศลเหตุใดไม่ทรงบันดาลให้ท้องฟ้าสว่างปราศจากความมือ เพื่อจะได้แลเห็นเหล่าข้าศึกในสนามรบได้ถนัดตา มืดเช่นนี้ทำให้ฉงนสงสัยพอตรัสดังนั้นแล้วก็บังเกิดพายุใหญ่พัดปั่นป่วนในท้องฟ้า สนามรบสว่างจ้าขึ้น ทรงเร่งช้างพระที่นั่งสอดส่ายพระเนตรหาพระมหาอุปราชา ทรงแลไปทางขวาได้เห็นนายทัพขี่ช้างเผือกตัวหนึ่งมีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มต้นข่อยมีพล 4 เหล่าเรียงรายอยู่มากมาย สมเด็จพระนเรศวรได้ทอดพระเนตร ก็ทรงมั่นพระทัยว่าเป็นพระมหาอุปราชาจอมทัพพม่า เพราะจัดทัพห้อมล้อมไว้มากผิดปกติ ตั้งเครื่องสูงครบแลดูน่าประหลาดใจ สมเด็จพระนเรศวรตรัสชวนพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรทรงมีราชดำรัสอันไพเราะทักทายโดยมิได้แสดงความขุ่นเคืองพระทัยแม้แต่น้อยว่า”พระะเจ้าที่ผู้ทรงความเป็นใหญ่แห่งประเทศมอญพระเกียรติคุณเป็นที่ครั่นคร้ามเกรงกลัว พระเดชานุภาพเลื่องลือหวาดหวั่นกันไปทั่วสิบทิศไม่มีผู้ใดกล้าสู้ฤทธิ์พากันหลบหนีสิ้น พระเจ้าพี่ คผู้กครองประเทศอันบริบรูณ์ยิ่งเป็นการไม่สมควรเลยที่พระเจ้าพี่จะประทับอยู่ใต้ร่มไม้ ขอเชิญเสด็จออกมากระทำยุทธหัตถีร่วมกัน เพื่อแสดงเกียรติไว้ให้ปรากฎต่อจากเราทั้งสองจะไม่มีอีกแล้ว การรบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงนี้ต่อไปจะไม่ได้พบอีกการที่กษัตริย์กระทำยุทธหัตถีกันก็คงมีแต่เราสองพี่น้องชั่วฟ้าดินสลาย ขอทูลเชิญเทวาและพรหมเสด็จมาประชุม ณ ที่นี้ เพื่อทอดพระเนตรการชนช้างตัวต่อตัว ผู้ใดเชี่ยวชาญกว่าขอทรงอวยพรส่งเสริมให้มีชัย |