Show ช่วงการปกครองในสมัยรัชการเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจากตะตกเริ่มเข้ามามอิทธิพลในประเทศ ดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองในด้านต่าง ๆ การปฏิรูปบ้านเมืองใน สมัยรัชกาลที่๕ แบ่งเป็นกี่ระยะอะไรบ้างแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิรูประยะแรก และการปฏิรูประยะหลัง การปฏิรูปประเทศระยะแรกการปฏิรูปประเทศในระยะแรก รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ซึ่งศภาทั้งสองนี้มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมไปถึงยกเลิกประเพณีโบราณต่าง ๆ ไม่เห็นว่าไม่เหมาะกับสังคมสังคมในสมัยนั้น แต่สภาทั้ง 2 ปฏิบัติงานได้ไม่นานก็ต้องยุติหน้าที่ลงเนื่องจากวิกฤติการณ์วังหน้า การปฏิรูปประเทศระยะหลังรัชกาลที่ 5 ได้ทรงตระหนักถึงภยันอันตรายของจากล่าอาณานิคมของประเทศโลกตะวันตก และทรงเห็นว่าการปกครองในแบบเดิมของไทยนั้นมีความล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญของบ้านเมือง จึงส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการปกครอง 2435 โดยใน พ.ศ. 2430 ได้มีการเริ่มแผนการปฏิรูปการปกครองขึ้นตามแบบแผนของตะวันตก ในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ต่อได้เปลี่ยนมาใช้คำว่ากระทรวงแทนโดยสถาปนาขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2435 และยังได้มีการประกาศแต่งตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงแต่ละกระทรวงขึ้น และยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่งต่อจากนั้นก็ได้มีการยุบกระทรวงเหลือเพียง 10 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระกรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัง กระทรวงเมือง(นครบาล) กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ การปฏิรูปบ้านเมืองสมัย ร.๕ ด้านเศรษฐกิจการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง จนส่งผลให้เกิดการปฏิรูปทางด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
การปฏิรูปบ้านเมืองสมัย ร.๕ ด้านสังคมเนื่องในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปทางด้านต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยขึ้น จึงผลให้เกิดการปฏิรูปทางด้านสังคมด้วยเช่นกันคือการยกเลิกทาส โดยแผนการปฏิรูปสังคมในเรื่องของการเลิกทาสนั้นก็ได้มีการออกประกาศพระราชบัญญัติต่าง ๆ ในการยกเลิกทาส เช่น การมีธงประจำชาติครั้งแรก การออกประกาศพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรอายุลูกทาสไทย นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องขนบประเพณีในบางเรื่องอีกด้วย เช่น ประเพณีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเดิมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการจะเป็นผู้ถือน้ำและสาบานตน เปลี่ยนเป็นพระมหากษัตริย์เป็นผู้เสวยน้ำและสาบาน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นและจบลงของสงครามโลกครั้งที่ 1 การปฏิวัติรูปแบบการปกครองในหลาย ๆ ประเทศ จนไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองส่วนกลาง และการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรา การเปลี่ยนแปลงที่มากมายเหล่านี้ทำให้พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 - 7 เป็นอีกช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยที่น่าสนใจมาก แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไร บทเรียนออนไลน์จาก StartDee ในวันนี้มีคำตอบ ! เพื่อน ๆ จะอ่านกันต่อที่นี่ หรือไปเรียนในรูปแบบวิดีโอได้ที่แอปพลิเคชัน StartDee ได้เลยนะ การเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่องของการเมืองการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 - 7เมื่อการแสวงหาอาณานิคมในเอเชียเริ่มเบาบางลง ทำให้ประเทศไทยปลอดภัยจากการรุกรานดินแดนของมหาอำนาจตะวันตก สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศและการเมืองการปกครองได้อย่างอิสระ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จึงเป็นช่วงที่ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการเมืองการปกครอง “อย่างรวดเร็ว” ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงนี้ เช่น การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองส่วนกลาง ซึ่งเหตุการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 6 จนมาถึงรัชกาลที่ 7 นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการเมืองการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 - 7 จึงน่าสนใจ และทำไมเราต้องพิจารณาเหตุการณ์ในสองรัชสมัยนี้ต่อเนื่องกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ค.ศ. 1910 - 1925)ก่อนจะไปดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคของรัชกาลที่ 6 สิ่งแรกที่เราควรทำความเข้าใจคือผู้นำของประเทศในยุคนั้น ซึ่งก็คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นั่นเอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถือเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ไปศึกษายังต่างประเทศ ทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ สหราชอาณาจักรตั้งแต่พระชนมายุ 12 พรรษาเศษ และทรงศึกษาอยู่ที่อังกฤษเป็นระยะเวลานานกว่า 9 ปี ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร) ก็สำเร็จการศึกษาหลากหลายแขนง เช่น วิชาการทหารจากแซนเฮิสต์ ประวัติศาสตร์และกฎหมายจากวิทยาลัยไครสต์เซิร์ซ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ในแง่ความสนใจอื่น ๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความสนพระทัยในงานด้านอักษรศาสตร์ วรรณกรรม รวมถึงศิลปะและการละครเป็นอย่างมาก ทรงมีบทพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น มัทนะพาธา เวนิสวาณิช และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยใช้พระนามแฝง เช่น พระขรรค์เพชร (Phra Khan Bejra) ศรีอยุธยา (Sri Ayudhya, Sri Ayoothya) รามจิตติ และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีพระนามแฝงสำหรับงานเขียนประเภทการเมืองโดยเฉพาะ ชื่อว่า “อัศวพาหุ (Asvabhahu)” ทรงใช้นามปากกานี้แสดงแนวคิดและโต้ตอบกับนักเขียนที่วิจารณ์การเมืองและการปกครองของไทยในยุคนั้น* ผ่านบทพระราชนิพนธ์หลายบท เช่น เมืองไทยจงตื่นเถิด (Wake up Siam) ลัทธิเอาอย่าง (The Cults of Imitation) โคลนติดล้อ (Clogs on Our Wheels) และเมื่อมีผู้เขียนบทความแย้งตอบ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก็ไม่โกรธแต่อย่างใดเพราะเห็นว่าเป็นการเสนอแนวทางในการบริหารประเทศ จึงนับว่าความสนใจในงานวรรณกรรมของพระองค์นั้นมีบทบาทด้านการเมืองอย่างมาก *นักคิดนักเขียนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลงมา เช่น ก.ศ.ร. กุหลาบ (กุหลาบ ตฤษณานันท์) และเทียนวรรณ (ต.ว.ศ. วัณณาโภ) ทั้งสองมักเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์สังคมลงในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นเจ้าของและเป็นบรรณาธิการ โดย ก.ศ.ร. กุหลาบมักเสนอบทความลงในหนังสือพิมพ์สยามประเภท ส่วน ต.ว.ศ. วัณณาโภมักเสนอบทความลงในหนังสือพิมพ์ตุลวิภาคพจนกิจและหนังสือพิมพ์ศิริพจนภาค ซึ่ง ก.ศ.ร. กุหลาบและเทียนวรรณถือว่าเป็นสมาชิกของ “กลุ่มหัวก้าวหน้า” ที่จะมีบทบาททางการเมืองที่สำคัญที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไปด้วย เหตุการณ์ทางการเมืองการปกครองที่สำคัญในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6ความขัดแย้งของจักรวรรดิในยุโรปก่อตัวเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งในช่วงแรกสยามยังคงวางตัวเป็นกลางในสงครามนี้ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จะประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 กับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ถือเป็นการประกาศสงครามกับจักรวรรดิเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการีอย่างเป็นทางการ สงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะ สยามจึงอยู่ในกลุ่มประเทศผู้ชนะสงครามและมีโอกาสแก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบหลายฉบับ เช่น ยกเลิกการสิทธิสภาพนอกอาณาเขตกับสหรัฐอเมริกา ยกเลิกสนธิสัญญาเบาว์ริง นอกจากนี้ไทยยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติ และได้รับการยอมรับมากขึ้นในระดับนานาชาติ การส่งทหารไทยเข้าร่วมรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ขอบคุณรูปภาพจาก bangkokpost.com ความกระด้างกระเดื่องในหมู่ทหาร กลุ่มหัวก้าวหน้า และเหตุกบฏ ร.ศ. 130กลุ่มหัวก้าวหน้าคือกลุ่มนายทหารและชนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาสูง มีแนวคิดอย่างตะวันตก และสนใจการเมือง หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ได้เกิดการเรียกร้องให้ปฏิรูประบอบการปกครองในหลาย ๆ ประเทศ เช่น รัสเซีย จีน และตุรกี กลุ่มหัวก้าวหน้าจึงเริ่มเปรียบเทียบพัฒนาการของสยามกับประเทศอื่น ๆ ที่ปฏิรูปแล้ว โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเพียงไม่นาน นอกจากนี้การจัดตั้ง “กองเสือป่า” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทำให้นายทหารหลายคนรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่สนับสนุนกิจการทหารบก เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่หลังจากเปลี่ยนรูปแบบการปกครองแล้วทำให้อำนาจทางทหารปรากฏอย่างเด่นชัด คณะพรรค ร.ศ. 130 ขอบคุณภาพจาก blockdit.com ด้วยเหตุเหล่านี้เหล่าทหารหนุ่มในกลุ่มคณะพรรค ร.ศ. 130 (หรือที่เรียกอีกชื่อว่ากลุ่มยังเติร์ก: Young Turks เนื่องจากได้แนวทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจากตุรกี) จึงเริ่มเคลื่อนไหวและวางแผนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองประเทศ โดยใช้อุดมการณ์ชาตินิยม ส่งเสริมความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 โดยคณะพรรค ร.ศ. 130 กลุ่มนายทหารบกและปัญญาชนที่มีจุดมุ่งหมายในการปฏิวัติการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แผนของคณะคือให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยอมอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด แต่แผนการได้รั่วไหลและทำให้การปฏิวัติล้มเหลว คณะพรรค ร.ศ. 130 ถูกจับกุมทั้งหมดและต้องโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่ก็ได้รับการลดหย่อนและพระราชทานอภัยโทษให้เหลือเพียงจำคุกในภายหลัง *ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เหตุการณ์ ร.ศ. 130 ก็ถือว่าเป็นการปูทางการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองให้กับคณะราษฎร ทั้งนี้เหตุการณ์ ร.ศ. 130 เป็นแรงผลักดันให้คณะราษฎร ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยภายหลังการยึดอำนาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำการกบฏ ร.ศ. 130 ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม" การดำเนินการเพื่อลดการต่อต้านเพื่อลดการต่อต้านและการปฏิรูปประเทศในหมู่ทหาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการปฏิรูปการเมืองการปกครองในไทยหลาย ๆ ด้าน เช่น
Did you know ?: รู้หรือไม่ จริง ๆ แล้วดุสิตธานี “ตะเร้กกก” กว่าที่เราคิดขอบคุณรูปภาพจาก becommon.co ถึงเมือง 'ดุสิตธานี' ณ พระราชวังดุสิตจะมีองค์ประกอบสำคัญแบบที่เมืองเมืองหนึ่งควรจะมีอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังไปจนถึงร้านซักรีด มีประชากรและคณะบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง (ซึ่งก็คือข้าราชบริพารและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เอง) มีการแบ่งเขตการปกครองแบบตำบล ไปจนถึงการมี ‘พรรคการเมืองสมมติ’ อันเป็นองค์ประกอบที่ส่งเสริมให้ดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองประชาธิปไตยที่สมจริงอย่างที่สุด แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ‘จริง ๆ แล้วอาคารต่าง ๆ ในเมืองดุสิตธานีมีอัตราส่วน 1:20 เท่านั้นเมื่อเทียบกับของจริง’ ถึงจะมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามสมส่วนเหมือนสถานที่จริง แต่ด้วยขนาดที่เล็กมาก มนุษย์เลยไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ ทว่าด้วยความที่มีอาคารบ้านเรือนกว่า 1,000 หลังคาเรือน ดุสิตธานีจึงมีพื้นที่รวมกว่า 2 ไร่ (แถมยังได้รับการขยับขยายเพิ่มเป็น 4 ไร่ในภายหลัง) ปัจจุบันมีการบูรณะอาคารบางส่วนของดุสิตธานีและจัดเก็บไว้ที่หอวชิราวุธานุสรณ์ในหอสมุดแห่งชาติ การเมืองการปกครองของไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) (ค.ศ. 1925 - 1935)ในช่วงต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ยังคงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ และเนื่องจากเป็นช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลก ทำให้รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องเผชิญปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองที่รุนแรง รวมถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจัยเหล่านี้จึงมีส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรในเวลาต่อมา เหตุการณ์ทางการเมืองการปกครองที่สำคัญในรัชสมัยของรัชกาลที่ 7คณะราษฎรและการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475หลังจากปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาอย่างยาวนาน จุดเปลี่ยนของการปกครองไทยก็มาถึง เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สาเหตุที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมีอยู่หลายประการด้วยกัน เช่น
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จึงเริ่มขึ้นโดยคณะราษฎร ประกอบด้วยกลุ่มทหารและพลเรือน ฝ่ายทหารนำโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ฝ่ายพลเรือนนำโดยนายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) คณะราษฎรดำเนินการยึดกรมไปรษณีย์โทรเลขเพื่อตัดขาดช่องทางการสื่อสารระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์และสมาชิกฝ่ายบริหารอาวุโส และมีการจับกุมพระบรมวงศานุวงศ์ไว้เป็นองค์ประกัน คณะนายทหารผู้เริ่มการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขอบคุณรูปภาพจาก blockdit.com เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงยินยอมปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะราษฎร เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ คณะราษฎรจึงประกาศหลัก 6 ประการ อันประกอบไปด้วย
ธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวและรัฐธรรมนูญฉบับแรกในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475” ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย โดยมีการแบ่งอำนาจการปกครองเป็น 3 ส่วน ได้แก่
โดยอำนาจทั้ง 3 ส่วนนี้จะแยกกันเป็นอิสระและมีการตรวจสอบเพื่อคานอำนาจกันอยู่เสมอ จากนั้นในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จึงมีการประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475” ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของประเทศไทย และในทุกวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีจึงถือเป็นวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งในอดีตจะมีการจัดเทศกาลฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ บรรยากาศการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญที่สวนลุมพินี ขอบคุณรูปภาพจากเฟสบุ๊ก weloveoldphoto รัฐประหารครั้งแรกหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจหรือ “สมุดปกเหลือง” ของศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์ทำให้รัฐบาลกับคณะราษฎรขัดแย้งกัน เพราะรัฐบาลเห็นว่าเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ “มีความเป็นคอมมิวนิสต์” ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่เป็นดั่งขั้วตรงข้ามของประชาธิปไตย (ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ในสมัยนั้น) รัฐบาลของพระยามโนปกรณ์ฯ ได้ทำการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และมีการกระทำที่เข้าข่ายความเป็นเผด็จการ เช่น ออก พรบ. ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ สั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ฯลฯ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ขัดกับเจตนารมณ์ของคณะราษฎร พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงต้องทำการรัฐประหารเพื่อให้อำนาจกลับมาอยู่ที่กลุ่มแกนนำคณะราษฎรในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 กบฏบวรเดชนอกจากความขัดแย้งเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจ ยังมีความขัดแย้งเรื่องของพระเกียรติยศและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่นี้ด้วย ด้วยเหตุนี้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชจึงนำกำลังทหารเข้าล้มล้างรัฐบาลในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ แต่รัฐบาลก็ปราบปรามคณะกบฏลงได้ เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏบวรเดช” พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติการเกิดกบฏบวรเดชทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างรัฐบาลและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากรัฐบาลเข้าใจว่าฝ่ายราชานิยมมีส่วนในการสนับสนุนกบฏบวรเดช เมื่อประกอบกับการทำงานของรัฐบาลที่มักทำการโดยไม่ปรึกษาพระองค์ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสียพระทัย และประกาศสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (หากนับตามปฏิทินปัจจุบันจะเป็นวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478) ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดรัชสมัยของพระองค์ สรุปการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 6 - 7สมัยรัชกาลที่ 6
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาถึงยุคการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประเทศของเราใช้เวลาเพียง 25 ปีเท่านั้น เพื่อน ๆ จะเห็นว่าในยุคสมัยของรัชกาลที่ 6 - 7 ประเทศของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาก รายละเอียดของเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เยอะมากเช่นกัน แต่ถึงรายละเอียดจะเยอะแค่ไหนก็จำได้ด้วย เทคนิคการอ่านหนังสือสอบให้เข้าสมอง หรือถ้าอยากเรียนสบาย ๆ เข้าใจง่ายแบบไม่ต้องท่อง ต้องโหลดแอปพลิเคชัน StartDee มาลองเรียนดูแล้วล่ะ ! นอกจากนั้น เพื่อน ๆ ยังสามารถไปเรียนรู้กันต่อได้ที่บทเรียนออนไลน์วิชาภาษาไทยเรื่องบทพากย์เอราวัณ ที่แปลเนื้อหากันมาอย่างละเอียดยิบ หรือจะเรียนภาษาอังกฤษกับบทความรากศัพท์กรีกและละติน ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ก็ไม่น้อยหน้า คลิกอ่าน การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดล ได้เลย ขอบคุณข้อมูลจาก:
Reference: Batson, B. A., ละอองศรี กาญจนี, & ชุมจันทร์ ยุพา. (2547). บทที่ 1 สยาม, ราชาธิปไตยกับมหาอำนาจตะวันตก. In เง่าธรรมสาร พรรณงาม, ขันติวรพงศ์ สดใส, & ณ อยุธยา ศศิธร รัชนี (Trans.), อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม: The End of the Absolute Monarchy in Siam (2nd ed., pp. 1–26). essay, มูลนิธิตำราสังคมศาสตร์และสมนุษยศาสตร์. นักรบ มูลมานัส. “ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตยจิ๋ว แบบทดลองระบอบการปกครองใหม่ของ ร.6 เมื่อร้อยกว่าปีก่อน.” The Cloud, 2 Mar. 2020, readthecloud.co/dusit-thani-miniature-city-king-rama-vi/. บทที่ 5 บทความ. In TH 399 (pp. 169–176). essay. Retrieved from: http://old-book.ru.ac.th/e-book/t/TH339/th339-5.pdf สิทธิโสภณ วิลาสินี. เหตุการณ์ ร.ศ. 130 เนื้อหาอภิปรายดูประวัติ. ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้า. http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C_%E0%B8%A3.%E0%B8%A8._130. |