มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมาและยุคต่าง ๆ ของภาษา คอมพิวเตอร์
6.1 ภาษาคอมพิวเตอร์
6.2 ยุคของภาษาโปรแกรม
6.3 ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม
6.4 ตัวแปลโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์(Computer Programming Language) คือ ชุดคำสั่งที่นักเขียนโปรแกรม หรือโปรแกรมเมอร์ (Programmer) เขียนโปรแกรมซอร์สโค้ด (Source Code) ที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสาร ควบคุมการรับส่งข้อมูล และสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่นักเขียนโปรแกรมต้องการได้ ซึ่งภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนั้น มีหลายภาษาให้เลือกใช้งาน ขึ้นอยู่กับความถนัดหรือความสามารถของนักพัฒนาโปรแกรม (Programmer) ที่จะเลือกใช้ภาษาโปรแกรมให้เหมาะกับโปรแกรมหรือเหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ เช่น ภาษา C, ภาษา ASP, ภาษา Delphi, ภาษา HTML เป็นต้น แต่ภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้น รูปแบบการเขียนคำสั่งเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานจะเป็นการเรียบเรียงไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ตามรูปแบบคำสั่งของภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งในการประมวลผลคำสั่งภาษาโปรแกรมนั้น คอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้าใจในคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้โดยตรง เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะเข้าใจและประมวลผลด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) หรือในรูปแบบของเลขฐานสอง (Binary digit) คือ เลข 0 และ เลข 1 เท่านั้น ดังนั้น จึงมีขั้นตอนในการแปลภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ให้เป็นภาษาเครื่องหรือในรูปแบบเลขฐานสองก่อน โดยใช้โปรแกรมแปลภาษา (Language Translator Program) เช่น แอสแซมเบลอร์ (Assembler), คอมไพเลอร์ (Compiler) หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) คอมพิวเตอร์จึงจะเข้าใจและสามารถประมวลผลตามคำสั่งของภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นได้
ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาใช้งานนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายภาษาซึ่งแต่ละภาษาจะมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการนำมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมแตกต่างกัน ซึ่งภาษาโปรแกรมที่ใช้งานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1 : ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ภาษาเครื่อง เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับต่ำที่สุด ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตัวแปลภาษาเพราะเขียนคำสั่งและแทนข้อมูลด้วยเลขฐานสอง (Binary Code) ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเขียนคำสั่งด้วยเลข 0 หรือ 1 ดังตัวอย่างคำสั่งภาษาเครื่อง ดังนี้
คำสั่งภาษาเครื่อง (Machine Code)
ความหมาย
0010 0000
โหลดข้อมูลจากหน่วยความจำ
0100 0000
ดำเนินการบวกข้อมูล
0011 0000
เก็บข้อมูลลงในหน่วยความจำ
ก่อนปี ค.ศ. 1952 มีการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาเครื่องเพียงภาษาเดียวเท่านั้นที่ใช้ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์โดยตรง และคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีภาษาเครื่องแตกต่าง กันขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์และหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processor Unit: CPU) โดยมีรูปแบบคำสั่งเฉพาะเครื่อง
ดังนั้นนักเขียนโปรแกรมจึงไม่นิยมที่จะเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเครื่อง เพราะทำการแก้ไข และเขียนโปรแกรมได้ยากทำให้เกิดยุ่งยากในการจดจำ และเขียนคำสั่งต้องใช้เวลามากในการเขียนโปรแกรม รวมทั้งการหาข้อผิดพลาดจากการทำงานของโปรแกรม และโปรแกรมที่เขียนขึ้นทำงานเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์เดียวกันเท่านั้น (Machine Dependent)
ข้อดีของภาษาเครื่อง คือสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว
ยุคที่ 2 ภาษาแอสเซมบลี ( Assembly Language)
ภาษาแอสเซมบลี จัดอยู่ในภาษาระดับต่ำ และเป็นภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเครื่องในปี ค.ศ. 1952 ภาษาแอสเซมบลีมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก คือ 1 คำสั่งของภาษาแอสเซมบลีจะเท่ากับ 1 คำสั่งของภาษาเครื่อง โดยที่ภาษาแอสเซมบลีจะเขียนคำสั่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพื่อใช้แทนคำสั่งภาษาเครื่อง ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยการจดจำรหัสคำสั่งสั้น ๆ ที่จำได้ง่าย ซึ่งเรียกว่า นิวมอนิกโค้ด (Mnemonic code) เช่น
คำสั่งนิวมอนิกโคด ( Mnemonic code)
คำสั่งภาษาเครื่อง
LOAD
ADD
SUB
1101 0000
ดำเนินการลบข้อมูล
MOV
1001 0000
ย้ายข้อมูลเข้าออกจากหน่วยความจำ
STROE
เก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ
ตัวอย่างของคำสั่งภาษาแอสเซมบลี ดังตัวอย่าง เช่น
CALL MySub ;transfer of control
MOV AX, 5 ;data transfer
ADD AX, 20 ;arithmetic
JZ Next 1 ;logical (jump if zero)
IN A 1, 20 ;input/output (read from hardware port)
RET ;return
เมื่อนักเขียนโปรแกรม เขียนโปรแกรมด้วยภาษาแอสเซมบลีแล้ว ต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า แอสเซมเบลอ ( Assembler) เพื่อแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง จึงจะสามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้
สรุปคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในยุคที่ 1 และที่ 2 จะต้องใช้เทคนิคการเขียนโปรแกรมสูง เพราะมีความยืดหยุ่นในการเขียนน้อยมาก และมีความยากในการเขียนคำสั่งสำหรับผู้เขียนโปรแกรม แต่สามารถควบคุมและเข้าถึงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และมีความรวดเร็วกว่าการใช้ภาษาระดับอื่น ๆ
ยุคที่ 3 ภาษาระดับสูง ( High-level Language)
ภาษาระดับสูงถือว่าเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่สาม ( Third-generation language) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปี ค.ศ. 1960 โดยมีโครงสร้างภาษาและชุดคำสั่งเหมือนกับภาษาอังกฤษ รวมทั้งสามารถใช้นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณได้ด้วย ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสะดวกในการเขียนคำสั่งและแสดงผลลัพธ์ได้ตามต้องการ ลดความยุ่งยากในการเขียนโปรแกรมลงได้มาก ทั้งยังทำให้เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลเพิ่มขึ้น เช่น การควบคุมและสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม การแก้ปัญหาเฉพาะด้านทางด้านอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมเครื่องจักรกลต่าง ๆ เป็นต้น
การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงจะต้องใช้ตัวแปลภาษา ที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compiler) เพื่อแปลภาษาระดับสูงโดยการตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่องเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่อไป โดยคอมไพเลอร์ของภาษาระดับสูงแต่ละภาษาจะแปลเฉพาะภาษาของตนเอง และทำงานได้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกันเท่านั้น เช่น คอมไพเลอร์ของภาษา COBOL บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จะแปลภาษาเฉพาะคำสั่งของภาษา COBOL และจะทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกันเท่านั้น ถ้าต้องการนำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบอื่น ๆ เช่น เมนเฟรม จะต้องใช้คอมไพเลอร์ของภาษา COBOL แบบใหม่
ตัวอย่างของภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงได้แก่ ภาษา BASIC ภาษา COBOL ภาษา FORTRAN และ ภาษา C ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน สามารถเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟิก ได้เป็นอย่างดีเพราะมีความยืดหยุ่นและเหมาะกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปได้
สรุปภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 มีการเขียนโปรแกรมที่ง่ายกว่าในยุคที่ 2 สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หลายระดับ (Machine Independent) โดยต้องใช้ควบคู่กับตัวแปลภาษา (Compiler or Interpreter) สำหรับเครื่องนั้น ๆ และมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาได้มากกว่าภาษาระดับต่ำ
ยุคที่ 4 ภาษาระดับสูงมาก ( Very high-level Language)
ภาษาระดับสูงมากเป็นภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ( Fourth-generation language)ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยคำสั่งสั้น ๆ และง่ายกว่าภาษาในยุคก่อน ๆ มีการทำงานแบบไม่จำเป็นต้องบอกลำดับของขั้นตอนการทำงาน ( Nonprocedural language) เพียงนักเขียนโปรแกรมกำหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทำอะไรเท่านั้นโดยไม่ต้อง ทราบว่าทำได้อย่างไร ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาระดับสูงในยุคที่ 3 ที่มีการเขียนโปรแกรมแบบบอกขั้นตอนการทำงาน ( Procedural language) ภาษาระดับสูงมากทำงานเหมือนกับภาษาพูดว่าต้องการอะไรและเขียนเหมือนภาษาอังกฤษ ดังตัวอย่าง เช่น
TABLE FILE SALES
SUM UNITS BY MONTH BY CUSTOMER BY PRODUCT
ON CUSTOMMER SUBTOTAL PAGE BREAK
END
ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 4
• การเขียนโปรแกรมจะสั้นและง่าย เพราะเน้นที่ผลลัพธ์ของงานว่าต้องการอะไร โดยไม่สนใจว่าจะทำได้อย่าง ไร • การเขียนคำสั่ง สามารถทำได้ง่ายและแก้ไข เปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้สะดวก ทำให้พัฒนาโปรแกรมได้รวดเร็วขึ้น • ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาอบรม หรือมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมหรือไม่ เพราะชุดคำสั่งเหมือนภาษาพูด • ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องทราบถึงฮาร์ดแวร์ ของเครื่องและโครงสร้างคำสั่งของภาษาโปรแกรม
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 4ประกอบด้วย Report Generators, Query Language, Application Generators และ Interactive Database Management System Programs
ภาษาที่ใช้สำหรับเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลได้เรียกว่า ภาษาสอบถาม ( Query languages) จัดเป็นภาษาในยุคที่ 4 ซึ่งสามารถใช้ค้นคืนสารสนเทศของฐานข้อมูล มาตรฐานของภาษาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ SQL(Structured Query Language) และนอกจาก นี้ยังมีภาษา Query By Example หรือ QBE ที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน
Report Generator หรือ Report Writer คือโปรแกรมสำหรับผู้ใช้ ( End user) ที่ใช้สำหรับสร้างรายงาน รายงานอาจแสดงที่เครื่องพิมพ์หรือจอภาพก็ได้อาจจะแสดงทั้งหมดหรือบางส่วนของฐานข้อมูลก็ได้ อาจจะกำหนดรูปแบบบรรทัดคอลัมน์ส่วนหัวรายงาน และอื่น ๆ ได้
Application Generators คือเครื่องมือของผู้เขียนโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างโปรแกรมประยุกต์จากการอภิปรายปัญหาได้เร็วกว่าการเขียนโปรแกรมทั่วๆไป
ยุคที่ 5 ภาษาธรรมชาติ ( Natural Language)
ภาษาธรรมชาติจัดเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า ( Fifth generation language) คือ การเขียนคำสั่ง หรือสั่งงานคอมพิวเตอร์ทำงานโดยการใช้ภาษาธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ภาพ หรือ เสียง โดยไม่สนใจรูปแบบไวยากรณ์หรือโครงสร้างของภาษามากนัก ซึ่งคอมพิวเตอร์จะพยายามคิดวิเคราะห์ และแปลความหมายโดยอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองและระบบองค์ความรู้ ( Knowledge Base System) มาช่วยแปลความหมายของคำสั่งต่าง ๆ และตอบสนองต่อผู้ใช้งาน
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 เช่น
SUM SHIPMENTS BY STATE BY DATE
ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 คือผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม แต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมต้องมีระบบรับคำสั่ง และประมวลผลแบบอัจฉริยะ สามารถตอบสนองและทำงานได้หลายแบบ
ภาษาโปรแกรมในปัจจุบันนั้น มีมากมายหลายภาษาให้นักพัฒนาโปรแกรมได้เลือกใช้งานตามความถนัด หรือตามความเหมาะสมกับระบบงานนั้น ๆ เช่น เป็นการพัฒนาเพื่อใช้ในงานด้านการศึกษา การพัฒนาเพื่อนำไปใช้งานในด้านธุรกิจ หรือพัฒนาขึ้นมาใช้บนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นต้น ตัวอย่างภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น
ภาษาคอมพิวเตอร์
การใช้งานหลัก
• FORTRAN (FORmula TRANslator)
ใช้ในงานคำทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรืองานวิจัย การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หรือการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ได้
• ALGOL (ALGOrithmic Language)
เริ่มต้นได้รับการออกแบบให้เป็นภาษาสำหรับงานวิทยา-ศาสตร์ และต่อมามีการพัฒนาต่อเป็นภาษา PL/I และ Pascal
• COBOL (Common Business Oriented Language)
ใช้ในการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่ การคำนวณทางด้านธุรกิจบนเครื่องขนาดใหญ่
• PL/I (Programming Language One)
ถูกออกแบบมาใช้กับงานทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจ
• BASIC (Beginner's All-purpose Symbolic Instruction Code)
สำหรับผู้เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ประยุกต์ใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจ
• Pascal (ชื่อของ Blaise Pascal)
นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทุกด้าน
• C และ C ++
สำหรับนักเขียนโปรแกรม ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
• LISP (LISt Processing)
ออก แบบโดยบริษัท IBM ในปี ค . ศ . 1968 เป็นภาษาที่โต้ตอบ กับผู้ใช้ทันทีเหมาะสำหรับจัดการกับกลุ่มของข้อมูลที่สัมพันธ์กันในรูปแบบตาราง
• LOGO
นิยมใช้ในโรงเรียนเพื่อสอนทักษะการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน
• PROLOG (PROgramming LOGic)
นิยมใช้มากในงานด้านปัญญาประดิษฐ์จัดเป็นภาษาธรรมชาติ ภาษาหนึ่ง
• RPG (Report Program Generator)
ถูกออกแบบให้ใช้กับงานทางธุรกิจ จะมีคุณสมบัติในการสร้างโปรแกรมสำหรับพิมพ์รายงานที่ยืดหยุ่นมาก
ภาษา C ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dennis Ritchie ในปี ค.ศ. 1972 ที่ห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัท AT&T เป็นภาษาที่ใช้เขียนระบบปฏิบัติการ UNIX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมคู่กับภาษาซี และมีการใช้งานอยู่ในเครื่องทุกระดับ
ภาษา C เป็นภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาษา C เป็นภาษาที่รวมเอาข้อดีของภาษาระดับสูงในเรื่องของความยืดหยุ่น และไวยากรณ์ที่ง่ายต่อการเข้าใจกับข้อดีของภาษาแอสเซมบลีในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน ทำให้โปรแกรมที่พัฒนาด้วยภาษาซีทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงอื่น ๆ ในขณะที่การพัฒนาและแก้ไขโปรแกรมสามารถทำได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ภาษา C ยังได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยทำการประยุกต์แนวความคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ในภาษา ทำให้เกิดเป็นภาษาใหม่คือ C++ (++ ในความหมายของภาษาซี คือ การเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งนั่นเอง) ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมใช้ในงานพัฒนาโปรแกรมอย่างมาก
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C และ C++
#include <stdio.h> #include <conio.h> int main() { int i, j; printf("Put integer :"); scanf ("%d", &i); printf("n========n"); j = 0; while (i > j) { printf("%d\n", ++j); } getch();
}
ภาษาเบสิก (Basic ย่อมาจาก Beginners All - purpose Symbolic Instruction Code) เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้พัฒนาโดย Dartmouth Collage แนะนำโดย John Kemeny และ Thomas Krutz ในปี 1965 เป็นภาษาที่ใช้ง่ายและติดตั้งอยู่บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมาก ใช้สำหรับ ผู้เริ่มต้นศึกษาการเขียนโปรแกรม และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากภาษา BASIC, QBASIC ปัจจุบันเป็น Visual BASIC เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถประยุกต์ใช้งานได้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางธุรกิจ
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา BASIC
CLS
PRINT “PLEASE ENTER A NUMBER”
INPUT NUMBER
DO WHILE NUMBER <> 999
SUM = SUM + NUMBER
vCOUNTER = COUNTER + 1
PRINT “PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER”
LOOP
AVERAGE = SUM/COUNTER
PRINT “THE AVERAGE OF THE NUMBER IS”; AVERAGE
ภาษาโคบอล เป็นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยสถาบันมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกากับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายแห่ง และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากมาตรฐานของภาษาโคบอลในปี 1968 กำหนดโดย The American National Standard Institute และในปี 1974 ได้ออกมาตรฐานที่เรียกว่า ANSI - COBOL ต่อมาเป็น COBOL 85 ภาษาโคบอลเป็นภาษาที่ออกแบบให้ใช้กับงานทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี สำหรับการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่ การคำนวณทางธุรกิจเช่นการจัดเก็บ เรียกใช้ และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทำงานด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและจ่ายเงิน เป็นต้น
คำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรม ได้ไม่ยากนัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOL จะได้รับความนิยมบนเครื่องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบันนี้จะมีตัวแปลภาษา COBOL ที่ใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได้รับการออกแบบตามแนวทางเชิงวัตถุ (Object Oriented) เรียกว่า Visual COBOL ซึ่งจะช่วยให้การโปรแกรมสามารถทำได้ง่ายขึ้น และสามารถนำโปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL
IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA
COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT
ELSE
COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT
ภาษาปาสคาล เป็นภาษาที่ได้รับการพัฒนาโดยนิคลอส เวิร์ธ (Niklaus Wirth) แห่งสถาบันเทคโนโลยีของรัฐในเมืองซูริค (Zurick) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1968 ชื่อของภาษานี้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ ที่ชื่อว่า Blaise Pascal ภาษานี้ออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรม ง่ายต่อการเรียนรู้ แตกต่างกับภาษาเบสิกก็คือ ภาษาปาสคาลเป็นภาษาโครงสร้าง ( Structure Programming) นิยมใช้เป็นภาษาสำหรับการเรียนการสอนและการเขียนโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ภาษาปาสคาลมีตัวแปลภาษาทั้งที่เป็นแบบ Interpreter และ Compiler โดยจะมีโปรแกรมเทอร์โบปาสคาล ( Turbo Pascal) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในวงการศึกษาและธุรกิจ เนื่องจากได้รับการปรับปรุงให้ตัดข้อเสียของภาษาปาสคาลรุ่นแรก ๆ ออกไป
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Pascal
PROGRAM AVERAGE OF NUMBER:
VAR
COUNTER , NUMBER , SUM : INTEGER ;
AVERAGE : REAL ;
BEGIN
SUM := 0 ;
COUNTER := 0;
WRITELN (‘PLEASE ENTER A NUMBER');
READLN ( NUMBER);
WHILE NUMBER <> 999 DO
BEGIN (* WHILE LOOP *)
SUM := SUM + COUNTER;
WRITELN (‘PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER');
READ ( NUMBER);
END ; (* WHILE LOOP *)
AVERAGE := SUM / COUNTER;
WRITELN (‘THE AVERAGE OF THE NUMBERS IS' , AVERAGE : 2 );
END.
ภาษา Java เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 ที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัตถุ (Object) เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่สนใจ ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของ Object ถูกจัดกลุ่มในรูปของ Class โดยที่แต่ละคลาสมีคุณสมบัติการถ่ายทอดลักษณะ (Inheritance) ภาษา Java ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกันได้โดยไม่ขึ้นกับ แพลตฟอร์มใด ๆ (Platform Independent) เป็นภาษาที่มีไวยากรณ์เข้าใจง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
class TestJava { public static void main(String[] args) { System.out.println("Hello World!"); } }
ภาษา Visual Basic เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ในปี ค.ศ. 1987 แต่เริ่มได้รับความนิยมในปี ค.ศ.1991 นับว่าเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาแรกที่มีเครื่องมือ เป็นภาพกราฟิกคอยอำนวยสะดวกในการเขียนโปรแกรม และได้รับความนิยมในการพัฒนาโปรแกรมบน Windows เพราะมีหลักการเขียนโปรแกรมแบบ Event – Driven ซึ่งเป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อกำหนดการทำงานให้กับ Control ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นตามเหตุการณ์ (Event) ที่เกิดขึ้น เช่น การคลิกเมาส์ของผู้ใช้ หรือการรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด เป็นต้น
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Visual Basic Private Sub Form_Load() Dim i As Integer For i = -5 To 5 If i < 0 Then MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มลบ ", vbOKOnly + vbInformation, "Show" Else MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มบวก ", vbOKOnly + vbInformation, "Show" End If Next End Sub
ตัวแปลภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งในภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง ซึ่งเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ และทำงานตามคำสั่งได้ โดยโปรแกรมที่เขียนเป็นโปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโค้ด (Source code) ซึ่งโปรแกรมเมอร์เขียนคำสั่งตามหลักการออกแบบโปรแกรม และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาว่าเขียนถูกต้องหรือไม่ และทดสอบผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ จะมีตัวแปลภาษาของตนเองโดยเฉพาะ โปรแกรมที่แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วจะเรียกว่า ออบเจ็คโค้ด ( Object code) ซึ่งเป็นภาษาเครื่องที่ประกอบด้วย รหัสคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป
ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ มีการใช้งานสำหรับการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
เป็นตัวแปลภาษาแอสเซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำ ให้เป็นภาษาเครื่อง
เป็นตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลคำสั่งครั้งละ 1 คำสั่งให้เป็นภาษาเครื่อง แล้วนำคำสั่งที่เป็นภาษาเครื่องนั้นไปทำการประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ทันที หากไม่พบข้อผิดพลาด หลังจากนั้นจะแปลคำสั่งถัดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบโปรแกรม ในระหว่างการแปลคำสั่ง ถ้าหากพบข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ของภาษา โปรแกรมอินเทอร์พรีเตอร์ก็จะหยุดการทำงานพร้อมแจ้งข้อผิดพลาดให้ทำการแก้ไข ซึ่งทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ออบเจ็คโค้ดที่ได้จากการแปลคำสั่งโดยใช้อินเทอพรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้ จะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน ทำให้โปรแกรมทำงานได้ค่อนข้างช้า
เป็นตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่อง โดยทำการตรวจสอบความถูกต้องของการเขียนคำสั่งทั้งหมดทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจ็คโค้ด แล้วจึงทำการแปลคำสั่งไปเป็นภาษาเครื่อง จากนั้นจึงทำทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ หากพบข้อผิดพลาดของการเขียนโปรแกรม หรือมีคำสั่งที่ผิดหลักไวยากรณ์ของภาษาคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมไพเลอร์จะแจ้งให้โปรแกรมเมอร์ทำการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งหมดก่อน แล้วจึงคอมไพล์ใหม่อีกครั้ง จนกว่าไม่พบข้อผิดพลาดถึงจะนำโปรแกรมไปใช้งานได้
ข้อดีของคอมไพเลอร์ คือ โปรแกรมออบเจ็คโค้ดที่ได้จะรวบรวมคำสั่งที่สำคัญในการรันโปรแกรม และได้โปรแกรมที่ทำงานเองได้ หรือ
Execute Program ซึ่งสามารถทำงานได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำงานของโปรแกรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปัจจุบัน มีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือ แปลจากซอร์สโค้ด ไปเป็นรหัสชั่วคราว หรือ อินเทอมีเดียตโค้ด ( Intermediate Code) ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วย การใช้โปรแกรมในการอ่าน และทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้น โดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับอินเทอพรีเตอร์ แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัสชั่วคราวนั้นไปใช้ได้กับทุก ๆ เครื่องมี่มีโปรแกรมตีความได้ทันที