สภาพปัญหาเยาวชนไทยปัจจุบันเป็นอย่างไร

เด็กเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เป็นประชากรที่จะกำหนดทิศทางในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต อย่างไรก็ตามภายใต้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยสัดส่วนของเด็กมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลง ในขณะที่สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2557 พบว่าประเทศไทยมีประชากรเด็กประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยนี้ สะท้อนให้เห็นถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของประชากรเด็กในปัจจุบันที่จะเป็นกำลังในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต การพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพและการปกป้องคุ้มครองเด็กให้ปลอดภัย มีสวัสดิภาพความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมเป็นภาระหน้าที่สำคัญของทุกภาคส่วน

สถานการณ์ปัญหาเด็กและความเปราะบาง

จากโครงการวิจัย “การสังเคราะห์องค์ความรู้การคุ้มครองทางสังคมในกลุ่มเด็ก” พบว่าเด็กไทยในปัจจุบันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต มีสุขภาวะที่ดีขึ้น เข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การตายของประชากรเด็กและทารกลดลงอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา การเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามสวัสดิภาพที่ถูกสร้างขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาส่งผลประโยชน์มาสู่เด็กในมุมที่จำกัด เศรษฐกิจที่ขยายตัวยังไม่สามารถลดทอนปัญหาที่เกิดจากความขัดสนทางการเงินได้ เด็กไทยยังไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างเพียงพอ การขยายการศึกษายังไม่สามารถลดทอนปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เด็กบางกลุ่มต้องเผชิญได้ ปัญหาด้านเด็กยังคงเป็นปัญหาหลักของสังคม สถานการณ์เด็กมีความซับซ้อนและทวีความรุนแรงขึ้น

สภาพปัญหาเยาวชนไทยปัจจุบันเป็นอย่างไร

ปัญหาเกี่ยวกับเด็ก

จากการศึกษาพบประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเด็กที่มีจำนวนมากขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่ปัญหามีเพียง 5-6 ประเด็น กระจุกตัวอยู่บนสาเหตุที่เชื่อมโยงกับความยากจน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เด็กกลายเป็นเด็กเร่ร่อน เด็กยากจน เด็กนอกระบบโรงเรียน เด็กขาดสารอาหาร ต้องรับภาระในการหาเลี้ยงชีพครอบครัว เกิดปัญหาการใช้แรงงานเด็กและโสเภณีเด็ก แต่ภายหลังประเด็นปัญหามีความหลากหลายมากขึ้น ความยากจนยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ได้เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น เช่น ความเจริญทางเทคโนโลยีและความเป็นเมือง ส่งผลให้พ่อแม่มีเวลาเอาใจใส่ลูกน้อยลง สร้างความซับซ้อนของปัญหาเพิ่มมากขึ้น เช่น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เด็กติดยาเสพติด ติดเกมส์ ทารกถูกทอดทิ้ง ปัญหาความรุนแรง เป็นต้น ปัจจุบันเด็กเข้าสู่วงจรของปัญหามักหาทางออกจากวงจรปัญหาได้ยาก เกิดปัญหาเด็กกระทำผิดซ้ำ และเติบโตไปพร้อมกับการกระทำรุนแรง เด็กที่เข้าสู่วงจรปัญหาไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อของการกระทำผิดเท่านั้น แต่ในหลายปัญหาพบว่ามีเด็กเป็นผู้กระทำความผิด ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น

ปัญหาด้านสวัสดิภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เด็กไทยต้องเผชิญ เด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่ขาดการคุ้มครองสิทธิ ยังมีเด็กด้อยโอกาสและเด็กในภาวะยากลำบากอีกจำนวนมาก เช่น เด็กถูกทอดทิ้ง เด็กพิการ เด็กเร่ร่อน เด็กยากจน เด็กชนกลุ่มน้อย และเด็กที่ถูกนำไปขายบริการทางเพศ เป็นต้น สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวมีมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและความซับซ้อนของปัญหา ซึ่งในสังคมมักมองว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัญหาส่วนตัว เป็นเรื่องภายในครอบครัว คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทำให้เด็กจำนวนมากถูกกระทำรุนแรงซ้ำซากและเป็นเวลายาวนาน

นอกจากนั้นยังพบปัญหาด้านบุคลิกภาพและจริยธรรม เช่น เด็กมีบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ บริโภควัตถุนิยม รักสนุก มีความหย่อนยานทางคุณธรรม จริยธรรม ปัญหาที่เด็กต้องเผชิญและเกี่ยวข้องมีความผันแปรไปตามช่วงวัย ในวัยทารกมักเกี่ยวกับการเลี้ยงดู ความเจ็บป่วย บาดเจ็บ และพัฒนาการ ส่วนปัญหาในวัยรุ่นมักเกี่ยวข้องกับความประพฤติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดปัญหาของเด็ก

ครอบครัวและสภาวะแวดล้อมมีอิทธิพลต่อปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็ก ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว  การขาดการดูแลเอาใจใส่ เด็กปฐมวัยจำนวนมากประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการอบรมเลี้ยงดูของสถาบันครอบครัวในหลายด้าน ได้แก่ การขาดความรู้ในการดูแลเด็กของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดูเด็ก พบการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย ไม่ตอบสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก การห้ามหรือการขู่ให้เด็กกลัว การใช้อารมณ์กับเด็ก ความไม่คงเส้นคงวา รวมทั้งครอบครัวมีการหย่าร้างสูงขึ้น ทำให้เด็กขาดความอบอุ่นและเด็กถูกทอดทิ้ง ในขณะที่โรงเรียนก็ไม่สามารถรับเด็กเข้าในระบบได้ทั้งหมด เด็กที่อยู่นอกระบบโรงเรียนจะขาดเพื่อน ขาดผู้ชี้นำที่ดี ดังนั้นการทำงานเกี่ยวกับเด็กจึงไม่สามารถจำกัดเป้าหมายการทำงานเพียงเฉพาะกลุ่มเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องขยายขอบเขตการทำงานไปยังต้นตอของปัญหา เช่น ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน เป็นต้น

เด็กกลุ่มเสี่ยงและความเปราบาง

ปัจจุบันเด็กจำนวนมากที่มีความเปราะบาง อยู่ในภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม มีปัญหาพฤติกรรม ปัญหาครอบครัว ซึ่งส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำความผิดหรือก่อปัญหาสังคมอื่น ๆ ดัชนีชี้วัดความเปราะบาง (The Child Vulnerability Index – CVI) ซึ่งวัดโอกาสของเด็กที่จะกลายเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง โดยเด็กไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 42.2  ซึ่งความเปราะบางของเด็กมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับปัจจัยรอบตัวเด็ก โดยปัจจัยหลักที่ส่งอิทธิพลประกอบด้วย 1) ความยากจน 2) ปัญหาสุขภาพร่างกาย ทั้งของผู้ดูแลเด็ก และตัวเด็กเอง 3) ปัจจัยทางเศรษฐสังคม เช่น การย้ายถิ่น พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว การหย่าร้าง ความแตกแยกครอบครัว การตั้งครรภ์ในช่วงวัยรุ่น ความเหลื่อมล้ำทั้งทางเพศและเชื้อชาติ 4) ปัจจัยด้านความรุนแรง ทั้งที่กระทบต่อร่างกายและจิตใจ รวมถึงความรุนแรงทางเพศ และ 5) เศรษฐกิจและการเมือง เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ

จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาทำให้ทราบว่ารัฐมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ยังไม่มีลักษณะรุกเข้าถึงชุมชนเพื่อป้องกันปัญหาหรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบาง เป็นการสงเคราะห์เฉพาะรายแก่เด็กและครอบครัว โดยมีมุมมองว่ากลุ่มผู้ใช้บริการเป็นผู้ด้อยสิทธิโอกาสและไม่มีศักยภาพเพียงพอ ทำให้การดำเนินงานแบบเดิมยังไม่เพียงพอและครอบคลุมกับสภาพปัญหาและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม ในส่วนของภาคเอกชน พบว่าวัตถุประสงค์และภารกิจขององค์กรยังขาดมิติด้านการพัฒนาสังคมในระยะยาว เพราะส่วนใหญ่ทำงานด้านการสงเคราะห์เด็กยากไร้ เด็กที่ประสบภัยพิบัติให้เข้าถึงสิทธิ โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่พบว่ายังมีปัญหาในหลาย ๆ ด้าน