เทคโนโลยีในธุรกิจมีอะไรบ้าง

ผลสำรวจปี 2020 ของ PwC ชี้ว่า ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมากกว่า 1 ใน 3 ใช้มือถือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำ ทำให้ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ที่เคยมีแต่หน้าร้านออฟไลน์ ต้องมีระบบสั่งซื้อออนไลน์ควบคู่ไปด้วย เรียกว่า ‘Omnichannel’ 

ไม่เพียงแค่นั้น หลายแบรนด์ยังทำการตลาดเชิงรุกบุกไปหาลูกค้าถึงที่ อย่างเช่น การทำ Virtual Store ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แผ่นป้ายโชว์สินค้าที่จัดเรียงไว้บนชั้นเหมือนของจริง พร้อมกับติด QR Code เพื่อให้คนซื้อสแกน กดสั่งซื้อ และชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเดินซื้อด้วยตัวเอง ทำให้มีเวลาเหลือได้รีบกลับบ้านไปหาครอบครัว หรือพักผ่อนหย่อนใจได้เร็วขึ้น

เทคโนโลยีในธุรกิจมีอะไรบ้าง
ภาพจาก www.stuff.co.nz

CREATIVE TALK มาอัปเดต 3 เทคโนโลยีล้ำ ๆ สำหรับร้านค้าปลีก (Retail) ที่ไม่ใช่แค่จัดแสดงโชว์ให้ร้องว้าวในงาน Expo แต่นำมาใช้จริงกันแล้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า และกระตุ้นให้รีบตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

ในอนาคตเทคโนโลยีการค้นหาด้วยภาพ หรือ Visual Image Search คาดว่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น เห็นได้จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยี AR เพื่อมารองรับการใช้งาน อย่างเช่น Google Lens ที่ช่วยให้เราหาข้อมูลที่ต้องการได้ ชื่อภาพเพียงแค่ถ่ายรูปแล้วค้นหาบนเว็บไซต์

เทคโนโลยีในธุรกิจมีอะไรบ้าง

เช่นเดียวกับ CamFind แอปพลิเคชั่นที่ช่วยผู้ซื้อตามหาสินค้าเหมือนในรูปตัวอย่าง เพียงแค่แคปหน้าจอหรือถ่ายรูปสินค้าที่ต้องการ ระบบจะแสดงข้อมูลว่า สินค้านั้นคือแบรนด์อะไร และแนะนำสินค้าที่ใกล้เคียงในราคาที่เราพอใจให้ได้ สามารถเปรียบเทียบราคากับร้านค้าอื่น ๆ รวมถึงช่วยค้นหาร้านสาขาใกล้บ้าน เพื่อแวะไปดูสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

ดังนั้น สิ่งที่ร้านค้าต้องทำคือ การสร้างร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ และโปรไฟล์ที่ตั้งธุรกิจ (Local Business) เพื่อให้ลูกค้าค้นเจอสินค้า บริการต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาดูรายละเอียดสินค้าบนร้านค้าออนไลน์ของเรา หรือในบางครั้งลูกค้าสนใจเข้ามาดูสินค้าจริงที่หน้าร้าน ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะปิดการขายได้

2. ทดลองใช้สินค้าได้เสมือนจริงด้วย เทคโนโลยี AR

สินค้าบางประเภทลูกค้าต้องการทดลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ จึงมีเทคโนโลยีภาพเสมือน 2 มิติ (2D Augmented Reality) ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าเห็นว่า ถ้าได้ใช้สินค้านั้นจริง ๆ จะออกมาเป็นหน้าตาอย่างไร ซึ่งถ้าลูกค้าพึงพอใจ ก็สามารถมาซื้อสินค้าจริงที่หน้าร้านหรือสั่งผ่านออนไลน์

ตัวอย่างเช่น ‘IKEA Place’ แอปฯ จำลองการตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน เพื่อให้คุณสามารถจินตนาการออกว่า หากนำมาตกแต่งภายในบ้านของคุณเองแล้ว จะเข้ากับโทนสีของห้อง และเฟอร์นิเจอร์เดิมรึเปล่า ซึ่งช่วยให้คุณมีอิสระที่จะเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ต่างชุดเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นสไตล์ของคุณเอง

หรือ ‘Memory Mirror by Neiman Marcus’ กระจกลองเสื้อ (Outfit-Modeling Mirrors) ประกอบด้วยจอขนาดเท่ากระจกตั้งพื้น พร้อมติดตั้งกล้องที่แสดงให้คุณเห็นตัวเองในกระจก สำรวจดูชุดทรงไหนใส่แล้วเหมาะกับรูปร่าง สีไหนจะขับผิวคุณให้เปล่งปลั่งที่สุด สามารถหมุนตัวดูได้ 360 องศา เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนชุดไปมาให้เหนื่อย แถมโปรแกรมยังช่วยส่งภาพไปให้คนใกล้ชิดของคุณช่วยตัดสินใจ และยังช่วยแนะนำครื่องประดับ กระเป๋าที่เข้ากับชุดให้คุณได้อีกด้วย

3. หุ่นยนต์ทำอาหาร

เราเคยเห็นกันไปบ้างแล้วกับหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร แต่ครั้งนี้จะแอดวานซ์ไปอีกขั้นด้วยการทำอาหารและเสิร์ฟได้ด้วย

ตัวอย่างของ ‘Blendid’ ซุ้มขายน้ำผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพแบบ Kiosk โดยดำเนินทุกขั้นตอนผลิตโดยหุ่นยนต์ AI ซึ่งสามารถผลิตเครื่องดื่มได้สูงสุด 45 แก้ว ใน 1 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมตามต้องการผ่านแอปฯ จากนั้นก็ส่งคำสั่งซื้อมาสั่งออร์เดอร์ พร้อมชำระเงินไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเดินทางมารับตามคิว หรือเลือกเวลาที่สะดวก มารับสินค้ายังห้าง Wallmart สาขาที่ต้องการได้

ในยุคนี้ เทคโนโลยีมีบทบาทที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น IoT (Internet of Things) ที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น ในการทำธุรกิจก็เช่นกัน เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในขั้นตอนการขายของออนไลน์ เอื้ออำนวยสิ่งต่างๆ ให้ทั้งพ่อค้าแม่ขาย ทำให้แต่ละขั้นตอนในการจำหน่ายสินค้าไม่เป็นที่น่ากังวล

วันนี้ MyShop จะมาแชร์เรื่องราวเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่ช่วยให้ขั้นตอนการขายของออนไลน์เป็นสิ่งที่ง่ายมากยิ่งขึ้นครับ

เทคโนโลยีในธุรกิจมีอะไรบ้าง

AI ช่วยทำให้งานยุ่งยาก ง่ายขึ้น

AI (Artificial Intelligence) หรือที่รู้จักกันในชื่อปัญญาประดิษฐ์ เป็นแนวคิดที่อยู่กับสังคมมานาน และด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ AI เริ่มมีบทบาทในด้านธุรกิจออนไลน์มากขึ้น ซึ่งข้อดีของ AI ที่เข้ามาเป็นอีกหนึ่งวิธีขายของออนไลน์นั้น ได้แก่

  • การขายแบบอัตโนมัติ ที่หลายท่านเคยสัมผัสกันมาบ้างแล้ว ที่เห็นได้เป็นประจำ ก็คือ Chatbot หรือโปรแกรมแชทที่จะตอบลูกค้าแบบอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมีพ่อค้าแม่ขายคอยกำกับดูแล โดยถ้าหากเราใช้มันได้อย่างถูกวิธี ต้องขอบอกเลยว่าความสามารถที่มันมีนั้นถึงขั้นช่วยในการปิดการขายเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น ระบบ AI ที่ช่วยให้เราสามารถตอบแชทลูกค้าได้บน Line Chatbot, Facebook Messenger แบบอัตโนมัติ
  • การใช้งาน AI เพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะทำผ่านการที่ลูกค้าตอบคำถาม Chatbot ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ หรือคำที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาในเสิร์ชเอนจินของ AI ซึ่งในอดีตการจะเก็บข้อมูลลูกค้า จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานคนในการทำ ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงเรื่องความแม่นยำ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมมีโอกาสผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปัญญาประดิษฐ์มีความแม่นยำสูงจึงทำให้ปัญหาแบบนี้หมดไป
  • AI ช่วยเพิ่มยอดขายด้วยอัลกอริทึม ในกรณีเช่น ท่านทำการลงโฆษณาทุกๆ วันจันทร์ แต่ระบบ AI วิเคราะห์ออกมาว่า การโฆษณาในวันเสาร์จะได้ผลดีที่สุด และเมื่อเปลี่ยนไปลงโฆษณาในวันเสาร์ ร้านค้ากลับได้ Engagement จากลูกค้ามากขึ้น และยอดขายก็เพิ่มขึ้นด้วย
  • AI กับ Hyper-Personalization อย่างที่ท่านทราบว่า AI นั้นจะมีการเก็บข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกใช้เพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะให้แก่ลูกค้ารายบุคคล โดยไม่ซ้ำกันเลยครับ ตัวอย่างเช่น การที่นักช้อปชอบเยี่ยมชมเพจเกี่ยวกับเสื้อผ้าบ่อยๆ โฆษณาต่างๆ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีให้นักช้อปคนดังกล่าวเห็น จะเป็นร้านค้าขายเสื้อผ้าซะส่วนใหญ่

Online Payment Gateway

Online Payment Gateway คือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ในการชำระเงิน ที่ทำให้เราสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยลดเวลาในการเลือกซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ หากท่านเคยสั่งของจาก Line Shopping, Shopee,  Alibaba หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ คงจะคุ้นเคยกับ Online Payment Gateway อยู่แล้ว

ปัจจุบันนี้ มีการบริการอยู่ 2 รูปแบบคือ

  1. การชำระเงินออนไลน์โดยเชื่อมกับธนาคารโดยตรง เช่น Merchant iPay ของธนาคารกรุงเทพ หรือ K-Payment Gateway ของธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น ซึ่งน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง
  2. การชำระเงินออนไลน์ผ่านตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น Paypal, Airpay หรือ Rabbit Line Pay

Big Data ที่มีผลต่อธุรกิจออนไลน์

เรื่องของ Big Data อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงในประเทศไทยประมาณ 4-5 ปีแล้ว แต่ Big Data ถูกพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และธุรกิจออนไลน์สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีตัวนี้ได้เป็นอย่างมากครับ Big Data นั้นคือการจัดเก็บ กรองหรือคัดเลือกข้อมูล พร้อมวิเคราะห์ข้อมูล ที่มีปริมาณมหาศาลมาทำให้มาเกิดประโยชน์ต่อไป ปริมาณข้อมูลเหล่านี้มีจำนวนมากจนทำให้หน่วยความจุอยู่ในระดับ Terabytes ขึ้นไป ซึ่ง Big Data จะมีองค์กรประกอบด้วยกันทั้งหมด 4 อย่าง ดังนี้

  1. Volume คือประมาณข้อมูลอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งมีปริมาณเริ่มที่หรือมากกว่าหลัก Terabytes และอาจจะเป็นหลัก Petabyte, Exabyte หรือ Zettabyte ที่รวมข้อมูล เช่นปริมาณการที่คนพูดถึงสินค้าหรือชื่อแบรนด์ต่อวันผ่านโลกออนไลน์
  2. Velocity คือความเร็วของการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นของข้อมูลตลอดเวลาและรวดเร็ว ที่ในปัจจุบันนี้มักจะเป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือวินาทีต่อวินาที เช่น ข้อมูลการส่งข้อความผ่าน Social Media เป็นต้น
  3. Variety คือความหลากหลายของข้อมูล ข้อมูลที่ได้มานั้นจะมาจากหลายๆ ประเภทหรือแหล่งที่มาที่ต่างกัน อย่างข้อความที่มาจาก Social Network เช่น Facebook, Twitter, Instagram หรือบน Website ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต
  4. Veracity คือความแม่นยำของข้อมูลที่มาจากหลายๆ แหล่ง และความไม่แน่นอนของข้อมูลนั้นๆ ซึ่งต้องมีการจัดระเบียบและวิเคราะห์ว่าข้อมูลใดมีความถูกต้องมากที่สุด

เมื่อจำนวนคนใช้อินเทอร์เนตที่มีอัตราสูงขึ้นและหลายๆ คนเริ่มเข้าถึงเทคโนโลยี และมีการสื่อสารที่เป็น Data เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณเพิ่มขึ้นของข้อมูลนี่มีจำนวนมาก แต่นักธุรกิจจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในวิธีขายของออนไลน์ได้อย่างไร? Big Data จะสามารถช่วยธุรกิจออนไลน์ได้ ดังนี้

  • ทำให้เข้าใจสภาพของตลาด การนำ Big Data มาวิเคราะห์จะช่วยให้เข้าใจถึงสภาพตลาด อย่างเช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทำให้รู้ได้ว่าสินค้าชนิดใดขายดี หรือสินค้าชนิดใดขายได้น้อย ทำให้เราสามารถวางแผนการผลิตสินค้า หรือเลือกสินค้าที่จะมาขายได้ดีขึ้น
  • ควบคุมชื่อเสียงบนโลกออนไลน์  Big Data จะช่วยให้องค์กรสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นทั้งในเชิงบวกและลบจากผู้บริโภค จากคอมเมนต์ หรือรีวิว ตามเพจต่างๆ เพื่อปรับปรุงการบริการในอนาคตให้ดีขึ้นได้
  • ประหยัดงบประมาณ เรื่องการประหยัดงบประมาณอาจจะดูขัดแย้งไปบ้าง เพราะเริ่มแรกการที่จะนำข้อมูลจาก Big Data มาใช้นั้นอาจต้องลงทุนอยู่บ้าง แต่ในระยะยาว พ่อค้าแม่ขายสามารถนำข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมาไปใช้ประโยชน์ในส่วนอื่นได้อีกด้วย ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี

เทคโนโลยีที่ MyShop ได้กล่าวไปเหล่านี้ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน ส่งเสริมให้การตลาดออนไลน์ ขั้นตอนขายของออนไลน์ และการบริโภคสินค้าออนไลน์ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

MyShop ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มในยุคเทคโนโลยี ที่จะช่วยพ่อค้าแม่ขายบริหารร้านค้าของตน ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เชื่อมกับบัญชี LINE Official Account ก็มีฟังก์ชันพร้อมให้ใช้งานมากมาย

เทคโนโลยีที่เรานำมาใช้ในธุรกิจ มีอะไรบ้าง

10 รูปแบบของการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในภาคธุรกิจ.
1.การจ้าง และสรรหาบุคลากร ภาพประกอบ : Canva. ... .
2.Cybersecurity. ภาพประกอบ : Canva. ... .
3.การคาดการณ์ตลาด ภาพประกอบ : Canva. ... .
4.การวิเคราะห์ลูกค้า ภาพประกอบ : Canva. ... .
5.ใบเสร็จรับเงิน และใบแจ้งหนี้ ... .
6.การรีวิวข้อเสนอทางธุรกิจ (Proposal) ... .
7.ผู้ช่วยเสมือน และแชทบอท ... .
8.Targeted Marketing..

เทคโนโลยีมีความสำคัญกับธุรกิจในด้านใด

ผลที่ตามมาจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ คือ ช่วยเปลี่ยนมุมมองในการบริหารจากหน้าที่มาเป็นกระบวนการ ทำให้การผลิตมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น ลดต้นทุนและกระบวนการบริหารจัดการ ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนในการผลิต ช่วยพัฒนา สร้างสรรค์อันเป็นการช่วยเสริมกลยุทธ์ในการบริหารจัดการให้มีความได้เปรียบในตลาดสินค้าและบริการ

เทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบัน มีอะไรบ้าง

10 เทคโนโลยี ที่จะช่วยทำให้ชีวิตดี พร้อมเข้ามามีบทบาทในอนาคต.
1. การซื้อ-ขายออนไลน์ & หุ่นยนต์ส่งของ ... .
2. การชำระเงินแบบดิจิทัล และแบบไร้สัมผัส ... .
3. การทำงานทางไกล ... .
4. การศึกษาทางไกล ... .
5. บริการทางการแพทย์ผ่านอินเทอร์เน็ต (Telehealth) ... .
6. ความบันเทิงออนไลน์ ... .
7. Supply Chain 4.0. ... .
8. เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing).

การใช้เทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม มีอะไรบ้าง

7 เทรนด์ใหม่ โลกเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่ควรรู้.
1.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ... .
2.โลกกึ่งเสมือนจริง (Augmented Reality หรือ AR) ... .
3.บล็อกเชน (Blockchain) ... .
4.โดรน (Drones) ... .
5.อินเทอร์เน็ตเพื่อทุกสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) ... .
6.หุ่นยนต์ (Robots) ... .
7.โลกเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR).