นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) เปิดเผยว่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหมๆ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของสังคมเมืองและขยายตัวของธุรกิจต่างๆ Show
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว รายงานฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อสื่อสารการมองภาพภาคการเงินไทยท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมทั้งทิศทางหรือแนวนโยบายที่จะปรับโครงสร้างของภาคการเงินไทยให้เข้มแข็ง และสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ดี โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำมุมมอง การวิเคราะห์ และทิศทางนโยบายที่จะนำมาใช้ ไปหารือในเบื้องต้นกับผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำกับดูแล เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะแนวนโยบายที่ดีที่สุดเพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ ‘Consultation Paper’ ฉบับนี้จึงเป็นเสมือนแผนที่นำทางที่คอยบอกหลักการและทิศทางของภาคการเงินไทยในอนาคต รวมทั้งสิ่งที่ ธปท. ตั้งใจจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการวางแผนการเดินทางไปในอนาคตได้ชัดเจนและเห็นภาพครบถ้วน Q1: อะไรคือความท้าทายสำคัญของเศรษฐกิจการเงินไทยระบบเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยต้องเผชิญกับความท้าทายที่จะกระทบอนาคตของภาคการเงินไทย อย่างน้อย 3 ประการ ประการแรก การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล (digital transformation) ด้วยอัตราเร่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทั้ง ‘โอกาส’ และ ‘ความเสี่ยง’ ต่อภาคการเงินไทย
ประการที่สอง ความยั่งยืน ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวดเร็วและรุนแรงขึ้นกว่าที่เคยคาดไว้ เห็นได้จากภัยแล้งและอุทกภัยที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น อีกทั้งสินค้าและบริการที่ผลิตโดยไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังจะแข่งขันในตลาดโลกได้ลำบาก เพราะหลายประเทศเริ่มมี ‘มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ สถานการณ์เช่นนี้จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเศรษฐกิจไทย และภาคการเงิน ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ประการที่สาม ความเหลื่อมล้ำ ภาคเศรษฐกิจการเงินไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงมานาน จากข้อมูลพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs มากกว่าร้อยละ 60 เข้าไม่ถึงสินเชื่อ เนื่องจากไม่มีข้อมูลในระบบหรือมีประวัติทางการเงินไม่มากพอ (information asymmetry) ในขณะเดียวกัน สังคมไทยยังต้องเจอกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ล่าสุดสูงถึงร้อยละ 90 ของมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP ซึ่งนอกจากจะเป็นอัตราที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ข้อมูลยังชี้ด้วยว่าผู้มีภาระหนี้สูงส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย Q2: การระบาดของโควิด 19 ส่งผลอย่างไรกับความท้าทายข้างต้นวิกฤตโควิด 19 ทำให้ความท้าทายทั้ง 3 ด้านชัดเจนและเร่งด่วนมากขึ้น เพราะเป็นตัวเร่งให้ภาคการเงินเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลเร็วขึ้นมาก เห็นได้จากมูลค่าและจำนวนผู้ใช้ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์เร่งขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยคนไทยมีจำนวนบัญชี Internet และ Mobile banking เพิ่มกว่า 3 เท่า และโอนเงินผ่านบัญชีดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 18 เท่าตัว โควิด 19 ยังส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจและแรงงาน ส่งผลซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มที่มีรายได้น้อย และสร้างความกังวลในความไม่แน่นอนและปัจจัยภายนอก เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ Q3: ภาคการเงินในอนาคตมีหน้าตาเป็นอย่างไรภาคการเงินในอนาคตจะต้อง ‘เปิดกว้าง’ มากขึ้น โดยการกำกับดูแลจะต้องเพิ่มความ ‘ยืดหยุ่น’ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมและการปรับตัวของทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทางการเงิน ในขณะเดียวกันก็ต้องวิ่งตามให้ทันความเสี่ยงใหม่ ๆ ด้วย ที่สำคัญคือ ภาคการเงินต้องสามารถสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ให้ได้มากขึ้นและช่วยให้เศรษฐกิจและภาคธุรกิจสามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สิ่งที่เราต้องการเห็นจากภาคการเงินในอนาคต มีอยู่ 3 เรื่อง
Q4: ภาคการเงินไทยควรต้องปรับอย่างไร เพื่อให้พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตการปรับตัวของภาคการเงินไทยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่
พัฒนานวัตกรรมทางการเงินในระบบการเงินที่เปิดกว้างQ5: โจทย์สำคัญของการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินคืออะไรบ้างธปท. มองว่า ภาคการเงินจะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและลดช่องว่างการเหลื่อมล้ำได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้ ‘ระบบการเงินที่เปิดกว้าง’ ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ เปิดกว้างในการแข่งขัน (Open Competition) เปิดกว้างให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Open Infrastructure) และเปิดกว้างให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Open Data) Q6: ‘การเปิดกว้างในการแข่งขัน’ คืออะไร และมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมอย่างไรการเปิดกว้างในการแข่งขัน คือ การส่งเสริมให้ผู้ให้บริการทั้งรายเดิมและรายใหม่เข้ามาแข่งขันให้บริการและพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงคนในวงกว้างขึ้น โดยหัวใจของการเปิดกว้างในการแข่งขัน คือ การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เอื้อให้เกิดการผูกขาดหรือการใช้อำนาจตลาดอย่างไม่เป็นธรรม และต้องคำนึงถึงความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ผู้ฝากเงิน หรือผู้บริโภคในวงกว้าง นโยบายที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเปิดกว้างในการแข่งขัน อาทิ
Q7: ทำไม ‘การเปิดกว้างให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน’ จึงเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของระบบการเงินการเปิดให้ผู้ให้บริการหลากหลายสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อใช้ประโยชน์ด้วยราคาที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยส่งเสริมการแข่งขันกันในการให้บริการทางการเงินแก่ธุรกิจและประชาชนแล้ว ยังช่วยให้การพัฒนานวัตกรรมทางการเงินโดยเฉลี่ยมีต้นทุนต่ำลง เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และช่วยเร่งให้ภาคการเงินไทยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกดิจิทัลได้เร็วขึ้น ในทางตรงข้าม หากการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินกระจุกตัวอยู่ที่คนบางกลุ่ม ทำให้ต้นทุนการเข้าถึงไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จะลดทอนประสิทธิภาพการให้บริการและสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันเพื่อพัฒนานวัตกรรมและการให้บริการทางการเงิน ทำให้ผู้ใช้บริการทั้งภาคธุรกิจและประชาชนเสียประโยชน์ ดังนั้น ในการเปิดกว้างให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานจะรวมถึง
Q8: ‘การเปิดกว้างให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูล’ จะช่วยทำให้เกิดระบบการเงินที่เปิดกว้างได้อย่างไรการเปิดกว้างให้เกิดการเชื่อมต่อของข้อมูล จะช่วยให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถเข้าถึงข้อมูลและนำไปพัฒนาต่อยอดบริการทางการเงินได้เต็มที่ยิ่งขึ้น แข่งขันได้เท่าเทียมขึ้น ในขณะที่ผู้ใช้บริการทางการเงินจะมีโอกาสเลือกใช้บริการหรือเลือกผู้ให้บริการได้หลากหลาย และมีโอกาสได้รับบริการที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ได้ดีกว่าเดิมด้วยต้นทุนที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญมีอยู่ 2 ประการ
การเปิดกว้างการใช้ประโยชน์จากข้อมูลจะสามารถดำเนินการได้ผ่าน
สู่ระบบการเงินที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังQ9: ทำไมภาคการเงินต้องใส่ใจกับความยั่งยืนบทบาทสำคัญของภาคการเงิน คือ การทำหน้าที่จัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจจากผู้ฝากกระจายไปยังผู้กู้ โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ดังนั้น การพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากภาคการเงินไม่มีนโยบายที่จะขยับเงินทุนไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ภาคการเงินต้องตระหนักและปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงทั้งกับธุรกิจในภาคการเงินเองและภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว ภาคการเงินยังมีศักยภาพที่จะช่วยบรรเทา หรือกระทั่งลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังกัดกินสังคมไทย โดยโจทย์ที่ท้าทายของภาคการเงินไทยในเรื่องนี้คือ การช่วยให้ครัวเรือนหรือกลุ่มเปราะบางอยู่รอด สามารถจัดการหนี้สินและปรับตัวสู่โลกใหม่ได้อย่างยั่งยืน Q10: ภาคการเงินที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีหน้าตาเป็นอย่างไรธปท. พยายามผลักดันให้ภาคการเงินไทยนำเอาโอกาสและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานและการตัดสินใจทางธุรกิจ เพื่อช่วยสนับสนุน หรือกระตุ้นให้ภาคเศรษฐกิจจริงเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น โดยที่ไม่สร้างภาระหรือต้นทุนแก่ภาคธุรกิจเกินไป หรืออาจกล่าวได้ว่า ภาคการเงินที่คำนึงถึงความยั่งยืน ก็จะมองเห็นโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ ในขณะเดียวกัน ภาคการเงินก็จะต้องระวัง และไม่ประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมสูงเกินไป จนทำให้เกิดฟองสบู่สีเขียว (green bubble) เพราะไปส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบางประเภทมากจนเกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานหรือข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่มี ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ตัดขาดธุรกิจที่อยู่ระหว่างการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่าน จนทำให้ธุรกิจปรับตัวไม่ทัน Q11: ธปท. มีแนวนโยบายอย่างไร ที่จะสนับสนุนให้ภาคการเงินไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นธปท. ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานให้กับระบบนิเวศของเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนบทบาทของภาคการเงินด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ โดยมีแนวนโยบายที่สำคัญ ได้แก่
Q12: อะไรเป็นจุดแข็งของภาคการเงินในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพื่อสร้างภาคการเงินที่ยั่งยืนหากครัวเรือนไทยสามารถเข้าถึงบริการภาคการเงินได้อย่างทั่วถึง ภายใต้ต้นทุนทางการเงินที่ไม่สูงนักและสอดคล้องกับความเสี่ยงของตน รวมทั้งมีความรู้เกี่ยวกับการเงินที่เพียงพอ ก็จะสามารถปรับตัวและอยู่รอดในโลกใหม่ได้ ในส่วนของครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ภาคการเงินก็สามารถออกแบบกลไกช่วยให้ปรับตัวได้โดยไม่กลับมาเป็นหนี้อีก แนวนโยบายสำคัญที่จะช่วยให้ภาคการเงินมีส่วนในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ได้แก่
ปรับการกำกับดูแลให้มีความยืดหยุ่น หาสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการป้องกันความเสี่ยงQ13: ทำไมความยืดหยุ่นของการกำกับดูแลจึงสำคัญกับภาคการเงินและ ธปท. เป็นพิเศษธนาคารกลางทั่วโลกมีหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพ ลดความเสี่ยงของระบบการเงิน และกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินอย่างเข้มงวด ในหลายครั้ง ธนาคารกลางจึงถูกมองว่าเป็น ‘ผู้คุมกฎ’ มากกว่าที่จะเป็น ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ ในภาวะแวดล้อมที่ภาคการเงินต้องปรับตัว ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อแข่งขันและตอบโจทย์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทิศทางการกำกับดูแลจึงต้องยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อผู้ให้บริการทางการเงินในการพัฒนานวัตกรรม ขณะที่สามารถดูแลให้ภาคการเงินรับมือกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างเท่าทัน การปรับการดูแลจากการรักษาเสถียรภาพให้ภาคการเงินมีความมั่นคง ไม่ผันผวน มาเป็นการดูแลอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อสร้าง ‘ความทนทาน’ ของภาคการเงินต่อความเสี่ยง ในภาษาอังกฤษ เราใช้คำว่า ‘From Stability to Resiliency’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวิธีคิดและวิธีทำงานในการกำกับดูแลได้ค่อนข้างชัดเจน Q14: ในการพัฒนานวัตกรรมและการป้องกันความเสี่ยง เราจะสร้างสมดุลอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไรในเบื้องต้น ธปท. ได้ปรับแนวทางกำกับดูแล 2 ด้าน ด้านแรก คือ การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินที่มีหลากหลายขึ้นให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มผู้ให้บริการ รวมทั้งทบทวนและปรับลดกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ให้บริการทางการเงินกลุ่มต่าง ๆ ด้านที่สอง คือ การยกระดับการกำกับดูแลความเสี่ยงสำคัญภายใต้โลกการเงินใหม่ เพื่อลดโอกาสการเกิดความเสียหายที่จะลุกลามส่งผลต่อเศรษฐกิจผู้ฝากเงิน และผู้บริโภคเป็นวงกว้าง อาจกล่าวได้ว่า การวางแนวทางกำกับดูแลของ ธปท. มีทั้งมิติของการผ่อนปรนและเข้มงวดขึ้นควบคู่กันไปเพื่อให้ภาคการเงินสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจในโลกใหม่ได้ Q15: ในการปรับทิศทางการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินให้ ‘เหมาะสม’ และ ‘ยืดหยุ่น’ ธปท. มีหลักอย่างไรการปรับให้การกำกับดูแลมีความยืดหยุ่น ยิ่งทำให้การกำกับดูแลต้องอยู่บนหลักการที่ชัดเจน เข้าใจความจำเป็นและวัตถุประสงค์ของการกำกับดูแล เพื่อที่จะลดอุปสรรคให้เหลือเฉพาะแต่การกำกับเท่าที่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การกำกับดูแลผู้ให้บริการโดยใช้หลักการเป็นที่ตั้ง หรือ principle-based และกำกับตามระดับความเสี่ยง ผสมผสานด้วยมาตรฐานหรือเกณฑ์ขั้นต่ำที่บังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน โดยให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถใช้แนวทางหรือวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมกับลักษณะและระดับความเสี่ยงของตนได้ นอกจากนี้ ธปท. ยังมีกลไกให้ผู้ให้บริการทางการเงินที่ประสบปัญหาและไม่สามารถปรับตัว เลิกประกอบกิจการได้ โดยไม่ทำให้ระบบการเงินหยุดชะงัก โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อให้เลิกกิจการได้อย่างราบรื่นและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ในส่วนของการทบทวนกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคของผู้ให้บริการทางการเงิน ธปท. จะผลักดันการทบทวนการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้คิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของผู้กู้ หรือ risk-based pricing ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเพดานได้รับดอกเบี้ยต่ำลง และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเพดานมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังปรับปรุงกระบวนการทำ Regulatory Sandbox เพื่อเพิ่มความชัดเจน ความรวดเร็ว และลดภาระของผู้ให้บริการ Q16: ในการยกระดับการกำกับดูแลความเสี่ยงในโลกการเงินใหม่ มีตัวอย่างในการดำเนินการอย่างไรในการดูแลความเสี่ยงในโลกใหม่ ธปท. ยังคงให้ความสำคัญกับ ‘ความเสี่ยงเชิงระบบ’ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเสียหายที่ลุกลาม ไปยังระบบเศรษฐกิจการเงิน ส่งผลกระทบต่อผู้ฝากเงิน และผู้บริโภคในวงกว้าง ตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิด เช่น การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินบาท (means of payment: MOP) จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจการเงินภาพรวม หรือการปรับการกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการขยายไปสู่ธุรกิจ FinTech และ e-commerce ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการให้บริการทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงที่กว้างขึ้น หรือการยกระดับการกำกับดูแลการให้บริการทางการเงินของกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank FIs) ทั้งในด้านขนาดและความเชื่อมโยงที่จะส่งผ่านความเสี่ยงไปยังส่วนอื่น ๆ ของระบบการเงิน ซึ่งล้วนแต่เป็นการปรับทิศทางการกำกับดูแลภายใต้กรอบและทิศทางที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งสิ้น Q17: อะไรคือความเสี่ยงของการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็น MOPประการแรก สินทรัพย์ดิจิทัลยังมีปัญหาด้านต้นทุนและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง และยังไม่มีผู้ดูแลมาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ประการที่สอง การใช้สื่อกลางในการชำระเงินรูปแบบอื่น อาจทำให้เกิดระบบการชำระเงินที่กระจายตัว (fragmentation) และซ้ำซ้อน ทำให้ต้องแลกเปลี่ยนไป-มา ซึ่งจะลดทอนประสิทธิภาพของระบบและทำให้ต้นทุนการชำระเงินของประเทศสูงขึ้น ประการที่สาม การใช้เงินดิจิทัลเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ หากแพร่หลาย จะกระทบเสถียรภาพการเงินและความสามารถในการดูแลภาวะการเงินในประเทศ เช่น ยังไม่มีองค์กรที่จะปล่อยสภาพคล่องในรูปสกุลเงินดิจิทัลให้กับระบบการเงินหากเกิดวิกฤต หรือนโยบายการเงินไม่สามารถดูแลกำลังซื้อของประชาชนในภาพรวมให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจได้ หากประชาชนไม่ได้ใช้เพียงเงินบาทเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เป็นต้น Q18: สามารถพูดได้ไหมว่า ธปท. ปฏิเสธสินทรัพย์ดิจิทัลโดยสิ้นเชิงเลยธปท. ไม่ได้ปฏิเสธสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยสินทรัพย์ดิจิทัลยังสามารถใช้เพื่อการลงทุนได้ ขณะที่กรณีการนำมาใช้เป็น MOP หากมีสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินและการต่อยอดนวัตกรรมทางการเงิน ธปท. ก็พร้อมจะพิจารณาแนวทางการกำกับดูแลการให้บริการที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการและป้องกันความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบการชำระเงิน ตัวอย่างของบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะพิจารณากำกับดูแล อาทิ การออกและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยเงินบาท (Thai Baht-backed stablecoin) โดยจะดูแลขอบเขตการให้บริการ และความมั่นคงปลอดภัยของระบบและข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น Q19: ธปท. มองการเข้าไปลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์อย่างไร และจะมีแนวทางในการกำกับดูแลหรือไม่ อย่างไรธปท. เปิดกว้างให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี ด้วยเห็นประโยชน์ในการเพิ่มความยืดหยุ่นของธนาคารพาณิชย์ในการพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงิน เช่น ธุรกิจ Fintech หรือ e-commerce platform สิ่งสำคัญ คือ ธนาคารพาณิชย์ต้องสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเท่าทัน โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือความเสียหายต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ผู้ฝากเงิน และผู้บริโภคในวงกว้าง ในการนี้ ธปท. จะยกระดับการกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาล การคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน และ การบริหารความเสี่ยง ให้สอดคล้องตามความสำคัญที่มีต่อกลุ่มธุรกิจฯ โดยเฉพาะความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ๆ ที่อาจเกิดจากเทคโนโลยีหรือภัยไซเบอร์ รวมถึงจะกำกับดูแลธุรกรรมที่มีความเชื่อมโยงกันในกลุ่มธุรกิจฯ เช่น การให้กู้ยืมระหว่างกัน การใช้ช่องทางให้บริการ หรือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการส่งผ่านความเสี่ยงระหว่างกันในกลุ่มธุรกิจฯ จนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ที่รับฝากเงินจากประชาชนและฐานะการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจฯ ในภาพรวมได้ในอนาคต Q20: ธปท. มีแนวทางในการกำกับดูแลกลุ่ม non-bank FIs ที่กำลังเข้ามาให้บริการทางการเงินมากขึ้นต่อเนื่องอย่างไรธปท. จะเพิ่มการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินกลุ่ม non-bank FIs โดยจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงและความสำคัญเชิงระบบของ non-bank FIs และกลุ่มธุรกิจ non-bank FIs ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นขนาด การส่งผ่านความเสี่ยงไปยังระบบ การใช้อำนาจตลาดอย่างไม่เป็นธรรม ฯลฯ ทั้งนี้ การกำกับดูแล non-bank FIs ที่มีความสำคัญเชิงระบบจะเข้มขึ้น โดยเฉพาะในมิติความมั่นคง อาทิ ธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยงและการดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยง รวมทั้งแนวทางป้องกันและเตรียมการรองรับกรณีเกิดปัญหา เพื่อลดโอกาสที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบการเงินและผู้บริโภค Q21: ถึงที่สุดแล้ว โลกการเงินก็คงจะเปลี่ยนและวิวัฒน์ต่อไปอีกในอนาคต การกำกับดูแลของ ธปท. ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปอีกหรือไม่ธปท. ตระหนักดีว่า การกำกับดูแลภายใต้โลกการเงินใหม่ ไม่มีนโยบายใดที่เป็นสูตรสำเร็จ และจะใช้ได้ตลอดไป ในฐานะธนาคารกลาง ธปท. จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อใดที่สถานการณ์เปลี่ยน ความรู้เปลี่ยน และข้อมูลเปลี่ยน การกำกับดูแลก็ต้องปรับให้เหมาะสมตามบริบทที่เปลี่ยนไป ดังนั้น นอกจากงานด้านนโยบายการเงินแล้ว ในการเตรียมความพร้อมรับมือพัฒนาการด้านเทคโนโลยี ธปท. ยังส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้าน IT/cyber ของประเทศด้วย โดยต่อยอดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคการเงินที่สำคัญ อาทิ ศูนย์ประสานงานความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (Thailand Banking Sector CERT: TB-CERT) สำนักงาน ก.ล.ต. คปภ. และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการสร้างความตระหนักรู้เรื่อง IT/cyber risk แก่คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงิน และขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานระดับประเทศ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในการยกระดับความรู้ความสามารถเชิงลึกด้าน IT/cyber แก่เจ้าหน้าที่ภาคการเงิน และการรับพนักงานใหม่ด้าน IT/cyber เข้าสู่ภาคการเงินของประเทศ Q22: ประชาชนทั่วไปจะมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็น หรือมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางภาคการเงินไทยแห่งอนาคตหรือไม่ธปท. พร้อมเปิดกว้างให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนผู้ใช้บริการทางการเงินได้ตรงจุดที่สุด ธปท. จึงขอเชิญชวนท่านที่สนใจอ่านรายงาน เรื่อง “ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและ การเติบโตอย่างยั่งยืน” (‘Consultation Paper’) ฉบับเต็ม และร่วมเสนอแนะเกี่ยวกับแนวนโยบายการปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินไทย ทั้งในส่วนของเนื้อหาโดยทั่วไปและประเด็นเฉพาะเรื่องที่ระบุเป็นคำถามไว้ในส่วนท้ายของแต่ละหัวข้อ โดยท่านสามารถส่งความคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปยัง ธปท. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ผ่าน 2 ช่องทาง คือ ผ่านทางเว็บไซต์นี้ หรือผ่านทางอีเมล [email protected] นวัตกรรมทางการเงิน มีอะไรบ้าง10 นวัตกรรมการเงินเด็ดปี'62. เรื่อง ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ ... . การระดมทุนผ่าน ICO (Initial Coin Offering) ... . การปล่อยสินเชื่อผ่านมือถือ Digital Lending. ... . การปล่อยกู้ระหว่างบุคคลกับบุคคล P2P Lending. ... . ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) ... . แชตบอต Chat Bot. ... . บล็อกเชน Blockchain. ... . Biometric & Digital ID.. นวัตกรรมทางการเงิน คืออะไรนวัตกรรมทางการเงินเป็นกลไกการระดมเงินทุนที่แตกต่างจากรูปแบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยอำนวยให้เกิดการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีความสนใจในการให้เงินทุนเพื่อการศึกษาที่หลากหลายมากขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ เพื่อการพัฒนา
ผลสําเร็จของ FinTech มีอะไรบ้างความสำเร็จของ FinTech อาจจะวัดได้จากหลายด้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมุ่งที่จะแก้ปัญหาให้กับลูกค้า สามารถเป็นคำตอบในระยะยาวให้กับลูกค้าได้ โดยที่ลูกค้าไม่เลิกหรือเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่น และในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
ตัวอย่างฟินเทค มีอะไรบ้างในเบื้องต้น FinTech (ฟินเทค) ถ้าหากนำมาจัดหมวดหมู่ง่าย ๆ จะสามารถแบ่งประเภทได้ 7 ประเภทตามหมวดหมู่ของธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน ได้แก่ ธนาคาร, สินเชื่อ, การจ่ายเงิน, การโอนเงินระหว่างประเทศ, การประกันภัย, การลงทุน, และ Cryptocurrency.
|