กระบวนการโต้แย้งมี ๔ ขั้น ข้อใดมิใช่

การโต้แย้ง

เป็นการแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย  ผู้แสดงทรรศนะต้องพยายามหาเหตุผล สถิติ หลักการ อ้างข้อมูลและหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนทรรศนะของตนให้น่าเชื่อถือ และคัดค้านทรรศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง

เรื่องที่ควรทราบเกี่ยวกับการโต้แย้ง มีดังนี้

๑. โครงสร้างของการโต้แย้ง

๒. หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง

๓. กระบวนการโต้แย้ง

๔. การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง

๕. ข้อควรระวังในการโต้แย้ง

โครงสร้างของการโต้แย้ง

โครงสร้างของการโต้แย้งคือ โครงสร้างของการแสดงเหตุผล เพราะกระบวนการโต้แย้งต้องอาศัยเหตุผลเป็นสำคัญ ซึ่งการโต้แย้งจะต้องประกอบด้วย “ ข้อสรุป ” และ “ เหตุผล ”

ดังตัวอย่าง

ทรรศนะที่ ๑

นักเรียนระดับมัธยมตอนปลายของโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่ต้องการออกไปประกอบ

อาชีพ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ( เหตุผล )

ดังนั้นโรงเรียนของเราจึงควรเปิดรายวิชาเลือก วิชาพื้นฐานอาชีพที่มีอยู่ใน

หลักสูตรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ( ข้อสรุปหรือข้อเสนอทรรศนะ )

ทรรศนะที่ ๒ 

เรายังไม่ได้สำรวจอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่า เมื่อสำเร็จการศึกษา

แล้วนักเรียนของเราในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งหมายที่จะไปทำอะไรต่อไป จะมีก็

เพียงแต่การคาดคะเนเอาเองตามความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น ( เหตุผล )

ฉะนั้นเราอาจประสบความล้มเหลวก็ได้ ถ้าเรามุ่งที่จะเปิดวิชาพื้นฐานอาชีพให้มาก

ยิ่งขึ้นกว่าที่ได้เคยเปิดมาแล้ว ( ข้อสรุปหรือข้อโต้แย้งทรรศนะที่ ๑ )

ทรรศนะที่ ๓

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะสอบครั้งเดียวก็พอ จะได้ลดภาวะความเครียดของ

เด็ก สอบครั้งเดียวก็น่าจะตัดสินได้ เพราะเด็กที่เก่ง จะสอบกี่ครั้งก็ได้คะแนนดีทุกครั้ง

ทรรศนะที่ ๔

เด็กที่จะเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ควรต้องผ่านการทดสอบหลาย ๆ ด้าน การวัด

เฉพาะความรู้เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีการวัดด้านความถนัดด้วย เพราะการเรียนใน

ระดับสูงเด็กต้องวิเคราะห์เป็น สังเคราะห์ได้ รู้จักเชื่อมโยง และการสอบหลายครั้งทำให้

เด็กได้มีโอกาสเลือก

โครงสร้างของการโต้แย้งอาจขยายกว้างออกไปเป็นเหตุผลหลายข้อประกอบกัน และมีข้อสรุปหลายข้อด้วยก็ได้ ข้อสนับสนุนและข้อสรุปจะสั้นยาวเพียงใด อยู่ที่ดุลพินิจของผู้โต้แย้ง

หัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้ง

ตามปกติหัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้งกว้างขวางมากไม่มีขอบเขตจำกัด  แต่ในการโต้แย้งจริงๆ ต้องกำหนดประเด็นในการโต้แย้งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน โต้แย้งกันให้ตรงประเด็น ไม่ออกนอกเรื่อง ผู้ที่เริ่มการโต้แย้งควรเสนอสิ่งที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายตรงข้ามอาจคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนั้น โดยอ้างเหตุผลมาหักล้าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสม หรือไม่มีประโยชน์

กระบวนการโต้แย้ง

กระบวนการโต้แย้งมี ๔ ขั้นตอน ดังนี้

๑. การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง

๒. การนิยามคำสำคัญในประเด็นในการโต้แย้ง

๓. การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน

๔. การชี้ให้เห็นจุดอ่อนของทรรศนะฝ่ายตรงข้าม

การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง

การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง หมายถึง คำถามที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งกัน ซึ่งผู้โต้แย้งต้องรู้จักวิธีการตั้งประเด็นโดยไม่ให้ออกนอกประเด็น การโต้แย้งจะต้องรู้ว่ากำลังโต้แย้งเกี่ยวกับทรรศนะประเด็นใด เพื่อจะได้ไม่ได้แย้งออกนอกประเด็น  แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท ดังนี้

๑. การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายเพื่อให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิม

การโต้แย้งประเภทนี้เริ่มจากมีผู้เสนอทรรศนะของตน เพื่อให้บุคคลอื่นพิจารณายอมรับ

ผู้เสนอทรรศนะก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อเสนอของตน ชี้ให้เห็นว่าหลักการเดิมนั้นมีจุดอ่อนจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง  แล้วเสนอหลักการใหม่ที่จะแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ และชี้ให้เห็นผลดีที่ได้รับจากหลักการใหม่นั้น การโต้แย้งประเภทนี้มีข้อที่ควรคำนึงของทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายโต้แย้งดังนี้

ฝ่ายเสนอ                                                                              

ประเด็นที่ ๑  ชี้ให้เห็นข้อเสียหายของสภาพเดิม

ประเด็นที่ ๒  เสนอว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถแก้ไขข้อเสียหายได้

ประเด็นที่ ๓  ชี้ให้เห็นผลดีของข้อเสนอ

ฝ่ายโต้แย้ง

ประเด็นที่ ๑ ชี้แจงว่าไม่มีข้อเสียหาย หรือมีก็ไม่มากนัก

ประเด็นที่ ๒  แย้งว่าข้อเสนอนั้นปฏิบัติได้ยาก

ประเด็นที่ ๓  แย้งให้เห็นว่าเป็นตรงกันข้าม

๒. การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง

ฝ่ายเสนอและฝ่ายโต้แย้ง ควรคำนึงในเรื่องต่อไปนี้

ฝ่ายเสนอ                                                                             

ประเด็นที่ ๑  เรื่องนำมาอ้างมีอยู่จริง อยู่ที่ไหน

ประเด็นที่ ๒  การตรวจสอบว่าเรื่องนั้นมีจริง ๆ สามารถตรวจสอบได้

ฝ่ายโต้แย้ง

ประเด็นที่ ๑  แย้งว่าเรื่องนั้นไม่มีอยู่จริง

ประเด็นที่ ๒  แย้งว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามี

๓. การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า

การโต้แย้งประเภทนี้จะมีความรู้สึกส่วนตัวแทรกอยู่ด้วย

การนิยามคำสำคัญในประเด็นในการโต้แย้ง

การนิยาม คือ การกำหนดความหมายของคำว่า คำ ที่ต้องการจะโต้แย้งนั้นมีขอบเขตความหมายอย่างไร เพียงใด  เพื่อการโต้แย้งจะได้เข้าใจตรงกัน ไม่ให้สับสน วิธีการนิยามอาจทำได้โดยใช้พจนานุกรม สารานุกรม หรือนิยามด้วยการเปรียบเทียบ หรือยกตัวอย่างก็ได้

การค้นหาและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน

ทรรศนะจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อสนับสนุนผู้โต้แย้งต้องพยายามแสดงทรรศนะที่มีข้อสนับสนุนที่หนักแน่น หลักฐานและเหตุผลต่างๆ เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างน่าเชื่อถือ วิธีการเรียบเรียงข้อสนับสนุนเป็นเรื่องสำคัญ เริ่มตั้งแต่ส่วนอารัมภบทต้องดึงดูด

ความสนใจของผู้ฟัง ชวนให้ติดตามการแสดงทรรศนะนั้น สาระสำคัญที่เป็นประเด็นการโต้แย้งต้องแสดงข้อสนับสนุนอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง และตรงตามความเป็นจริง

การชี้ให้เห็นจุดอ่อนของทรรศนะฝ่ายตรงข้าม

จุดอ่อนของทรรศนะของบุคคลจะอยู่ที่การนิยามคำสำคัญ ปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล และสมมติฐานและวิธีการอนุมาน  ผู้โต้แย้งจะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนของการนิยามของฝ่ายตรงข้ามว่ามีจุดอ่อนอย่างไร

จุดอ่อนในด้านการนิยามคำสำคัญ  นิยามที่ดีจะต้องชัดเจน รัดกุม  นิยามที่ไม่ดี มีลักษณะดังนี้

๑.  นำเอาคำที่นิยามไปบรรจุไว้ในข้อความที่นิยาม

๒.  ข้อความที่ใช้นิยามมีถ้อยคำที่เข้าใจยากจนสื่อความหมายไม่ได้

๓.  ผู้นิยามมีเจตนาไม่สุจริต สร้างข้อโต้แย้งให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน

จุดอ่อนในด้านปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล หมายถึง ข้อมูลที่นำมาแสดงทรรศนะผิดพลาดหรือน้อยเกินไป ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ

จุดอ่อนในด้านสมมติฐานและวิธีการอนุมาน สมมติฐานหรือการอนุมานจะด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องเป็นที่ยอมรับเสียก่อน กล่าวคือ ต้องเป็นสมมติฐานที่ไม่เลื่อนลอย เป็นวิธีการอนุมานที่ไม่มีความผิดพลาด  ถ้าชี้ให้เห็นว่าสมมติฐานมีจุดอ่อน ไม่ควรค่าแก่การยอมรับวิธีการอนุมานผิดพลาด ก็จะทำให้ทรรศนะนั้นมีน้ำหนักน้อย ไม่น่าเชื่อถือ

การวินิจฉัยเพื่อตัดสินข้อโต้แย้ง

การที่จะตัดสินว่าทรรศนะของฝ่ายใดควรแก่การยอมรับ หรือไม่ยอมรับนั้น  มี ๒ วิธี คือ

๑. พิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระที่นำมาโต้แย้งกันเท่านั้น

๒. พิจารณาโดยใช้ดุลพินิจในคำโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายโดยละเอียด

ข้อควรสังเกตในการโต้แย้ง

มีดังนี้

๑. การโต้แย้งทำให้มีความคิดที่กว้างไกลขึ้น มองเห็นผลดีและผลเสียชัดเจนขึ้น

๒. การโต้แย้งไม่กำหนดระยะเวลา วิธีการ จำนวนบุคคล และสถานะของผู้โต้แย้ง

๓. การโต้แย้งแตกต่างจากการโต้เถียง เพราะเป็นการใช้ความคิดและวิจารณญาณที่อาศัย

เหตุผลและหลักฐานเป็นสำคัญ

ข้อควรระวังในการโต้แย้ง

๑.  หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ พยายามทำใจให้เป็นกลาง เคารพในเหตุผลของกันและกัน

โต้แย้งให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์

๒.  มีมารยาทในการโต้แย้ง ควรใช้ภาษาที่สุภาพ เหมาะสมกับบุคคล สถานที่ และเนื้อหา

แสดงความอ่อนน้อมและมีสัมมาคารวะ

๓.  เลือกประเด็นในการโต้แย้งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงประเด็นที่

ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงที่แน่นอน หรือประเด็นที่โต้กันแล้วจะทำให้เกิดการแตกแยก

เข้าใจผิด ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

การโน้มน้าวใจ

การโน้มน้าวใจ คือ การใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติค่านิยมและการกระทำของบุคคลอื่น ด้วยกลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลนั้น จนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตามที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ

ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์กับการโน้มน้าวใจ

ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์สร้างทัศนคติความเชื่อค่านิยม รวมทั้งกระทำพฤติกรรมอื่น ๆ อีกนานัปการ เพื่อสนองความต้องการ ของตน เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ถูกเร้าจนประจักษ์ว่า  ถ้าตนได้ปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำไปตามแนวทางที่ถูกรบเร้านั้นแล้ว ตนก็จะได้รับสิ่ง ซึ่งสนองความต้องการ ขั้นพื้นฐาน ตามความปรารถนา เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ถูกโน้มน้าวใจได้  หลักสำคัญที่สุดของการโน้มน้าวใจคือการทำให้มนุษย์ประจักษ์แก่ใจตนเองว่า ถ้าเชื่อเห็นคุณค่าหรือกระทำตามที่ผู้โน้มน้าวใจชี้แจงหรือชักนำ ก็จะได้รับผลที่ตอบสนองความต้องการขึ้นพื้นฐานของตน

การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจ

๑. การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจโดยธรรมดาบุคคลที่มี

คุณลักษณะ ๓ ประการ คือ มีความรู้จริง มีคุณธรรม และมีความปรารถนาดี ต่อผู้อื่น                      ย่อมได้รับความเชื่อถือจากบุคคลทั่วไป

๒. การแสดงให้ประจักษ์ ตามกระบวนการของเหตุผลผู้โน้มน้าวใจต้องแสดงให้ประจักษ์

ว่า เรื่องที่ตนกำลังโน้มน้าวใจมีเหตุผลหนักแน่น และมีคุณค่าควร แก่การยอมรับ อย่าง

แท้จริง

๓. การแสดงให้ประจักษ์ถึงความรู้สึก และอารมณ์ร่วมบุคคลที่มีอารมณ์ร่วมกันย่อมคล้อย

ตามกันได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อใดที่ผู้โน้มน้าวใจ ค้นพบ และ

แสดงอารมณ์ร่วมออกมา การโน้มน้าวใจก็จะสัมฤทธิ์ผล

๔. การแสดงให้เห็นทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสียผู้โน้มน้าวใจต้องโน้มน้าวผู้รับสารให้                     เชื่อถือ หรือปฏิบัติเฉพาะทางที่ตนต้องการ โดยชี้ให้ว่าสิ่งนั้น มีด้านที่เป็นโทษ อย่างไร                       ด้านที่เป็นคุณอย่างไร

๕. การสร้างความหรรษาแก่ผู้รับสารการเปลี่ยนบรรยากาศ ให้ผ่อนคลายด้วยอารมณ์ขัน จะ                 ทำให้ผู้รับสารเปลี่ยนสภาพจากการต่อต้านมาเป็นความรู้สึกกลาง ๆ พร้อมที่จะคล้อย              ตามได้

๖. การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เมื่อมนุษย์เกิดอารมณ์ขึ้นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าดีใจ

เสียใจ โกรธแค้น อารมณ์เหล่านี้ มักจะทำให้มนุษย์ไม่ใช่เหตุผลอย่างถี่ถ้วน พิจารณาถึง                ความถูกต้องเหมาะควร เมื่อมีการตัดสินใจ ก็อาจจะคล้อยไปตามที่ผู้โน้มน้าวใจเสมอ

แนะนำได้ง่าย

น้ำเสียงของภาษาที่โน้มน้าวใจ

ควรใช้ภาษาในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอน หรือเร้าใจซึ่งในการใช้ถ้อยคำให้เกิดน้ำเสียงดังกล่าว จะต้องเลือกใช้คำที่สื่อความหมายตามที่ต้องการ โดยคำนึงถึง จังหวะและความนุ่นนวลในน้ำเสียง

การพิจารณาสารโน้มน้าวใจลักษณะต่าง ๆ

๑.  คำเชิญชวน

เป็นการแนะให้ช่วยกันกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง กลวิธีคือ การชี้ให้เห็นผู้ถูก

โน้มน้าวใจเกิดความภาคภูมิใจว่า ถ้าปฏิบัติตามคำเชิญชวน จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำประโยชน์

แก่ส่วนรวม

๒. โฆษณาสินค้าหรือโฆษณาบริการ

ลักษณะสำคัญของโฆษณาสินค้าคือ

๒.๑ จะมีส่วนนำที่สะดุดหูสะดุดตาซึ่งมีผลทำให้สะดุดใจสาธารณชน

๒.๒ ตัวสารจะไม่ใช่ถ้อยคำที่ยืดยาว มักเป็นรูปประโยคสั้นๆ หรือวลีสั้นๆ

๒.๓ เนื้อหาจะชี้ให้เห็นถึงความดีของสินค้า

๒.๔ ผู้โฆษณาจะโน้มน้าวใจที่มุ่งสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์

๒.๕ เนื้อหาของการโฆษณา จะขาดเหตุผลที่หนักแน่นและรัดกุม

๒.๖ สารโฆษณาจะปรากฏทางสื่อต่าง ๆ ซ้ำ ๆ กัน

๓. โฆษณาชวนเชื่อ

เป็นการพยายามโดยจงใจเจตนา ที่จะเปลี่ยนความเชื่อและการกระทำของบุคคล

ให้เป็นไปในทางที่ตนต้องการ ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยไม่คำนึง ถึงความถูกต้อง ของเหตุผลและ

ข้อเท็จจริง ผู้โฆษณามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนความเชื่อและอุดมการณ์ของคน ให้นิยม

เลื่อมใสในอุดมการณ์ฝ่ายตน และกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ ตามที่ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ

ต้องการ

กลวิธีในการโฆษณาชวนเชื่อ

๑. การตราชื่อ

เป็นการเบนความสนใจและผู้รับสารไปจากเหตุผลและข้อเท็จจริง ผู้รับสารควร

พิจารณาหลักการและเนื้อหาต่าง ๆ ให้รอบคอบเสียก่อน โดยไม่ใช้ความคิด หรือเหตุผล

ตรวจสอบ

๒. การกล่าวสรุปรวม ๆ ด้วยถ้อยคำหรูหรา

ผู้โน้มน้าวใจมักจะใช้ถ้อยคำที่ผูกพันความคิด หลักการ บุคคล สถาบันและ

อุดมการณ์ ทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เลื่อมใส ด้วยความคิด บุคคลและสถาบัน

๓. การอ้างบุคคลหรือสถาบัน

ผู้โฆษณาจะเน้นการใช้วิธีอ้างถึงสถาบันหรือบุคคลที่ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ผู้ฟังเกิด

ทัศนคติที่ดี หรือเกิดความนิยมชมชอบนโยบาย หลักการหรืออุดมการณ์ของตน

๔. การทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา

ผู้โฆษณาจะเชื่อมโยงตนเองและหลักการหรือความคิดของตน ให้เข้าไปผูกพันกับ

ชาวบ้านเพื่อแสดงตนว่า ตนเป็นพวกเดียวกับ ชนเหล่านั้น

                ๕. การกล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน

ผู้โฆษณาจะเลือกนำแต่เฉพาะแง่ที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากล่าวโดยพยายาม

กลบเกลื่อนแง่อื่นที่เป็นโทษ

๖. การอ้างคนส่วนใหญ่

ผู้โฆษณาชวนเชื่อพยายามชักจูงให้ผู้รับสารเกิดความตระหนักว่าคนส่วนใหญ่

ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้

การโน้มน้าวใจจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ก็ต่อเมื่อ ผู้โน้มน้าวใจมีเจตนาที่ลวง กลบเกลื่อน หรือปิดบังไม่ให้ผู้รับการได้รับรู้ความจริงและเหตุผลที่จะเป็นต้องรู้

คำชี้แจง                 ให้นักเรียนทำเครื่องหมาย ¡  หน้าตัวเลือกที่เห็นว่าถูกต้อง

๑. ข้อความใดเป็นข้อสรุปของข้อสนับสนุนต่อไปนี้

“ มนุษย์รู้จักนำคำที่มีความหมายเป็นรูปธรรมไปใช้เป็นความหมายแก่สิ่งนามธรรม ”

ก. เสียงของคำ จึงเพี้ยนและกลายไป

ข. ความหมายของคำ จึงย้ายที่และแคบเข้า

ค. ฐานะของคำ จึงสูงขึ้นตามความหมายที่ใช้

ง. ความหมายของคำ จึงขยายออกไปกว้างขวาง

๒. ข้อใดมิใช่ภาพพจน์กล่าวในทำนองเดียวกับสำนวนว่า “ คอแห้งเป็นผง ”

ก. มีสองตานี้สุดรู้ที่จะดูสีดามารศรี

ข. จากนางพ่างเพียงตกเมรุมาศ

ค. นาวาจะคลาชล ณ คลอง ขณะแล้งจะลอยไฉน

ง. แม้มีคู่ชูชิดสนิทนุ่ม เหมือนห่อหุ้มผ้าทิพย์สักสิบผืน

๓. ข้อใดไม่ใช่ การลำดับความจากข้อสนับสนุนไปสู่ข้อสรุป

ก. ขนมปังไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าว ราคาแพงกว่า อย่าซื้อกินบ่อย ๆ เลย

ข. ความโกรธเป็นอารมณ์ที่ทำลายความสุข ผู้ที่ปล่อยให้โกรธง่ายจึงเป็นผู้ที่ทำลายตนเอง

ค. ฉันไม่ชอบการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ทุกคนในที่ทำงานของฉันเขาทำแม้แต่

ผู้บังคับบัญชา แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร

ง. การเว้นวรรคเมื่อจบความเป็นสิ่งสำคัญในการเขียนภาษาไทย เพราะภาษาไทยไม่ได้

เขียนแยกคำ เหมือนบางภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ

๔. ข้อความใดเป็นข้อสนับสนุนของข้อสรุปต่อไปนี้

“ ราคาข้าวในตลาดโลกคงพุ่งสูงขึ้น ”

ก. ราคาสินค้าย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ปีนี้ปริมาณการผลิตข้าวของโลกมีน้อย

ข. ปริมาณการผลิตข้าวของโลกในปีนื้สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง ๑๒.๕ ล้านตัน

ค. ราคาข้าวในประเทศสูงน่าพอใจ ปีนี้ไทยจะส่งข้าวออกสู่ตลาดโลก ๒.๕ ล้านตัน

ง. ราคาสินค้ามักแปรผันตรงข้ามกับปริมาณผลผลิต ปีนี้ประเทศส่งออกผลิตข้าวได้น้อย

๕. “ หมู่บ้านนี้มีผู้คนอาศัยเกือบหนึ่งพันครอบครัวแต่ไม่มีสถานที่ที่ชาวบ้านจะพักผ่อนหย่อนใจได้

     เลย  บริเวณนี้เป็นที่ว่างแห่งเดียวที่เหลืออยู่การสร้างอาคารพาณิชย์ในบริเวณนี้จึงเป็นการกระทำ

     ที่ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมแม้แต่น้อย ”  ในข้อความนี้ ประเด็นในการโต้แย้งคืออะไร

ก. ควรจัดหาบริเวณที่ว่างให้มากขึ้นสำหรับชาวบ้านหรือไม่

ข. สถานที่พักผ่อนหย่อนใจไม่จำเป็นสำหรับชาวบ้านหรือไม่

ค. ควรสงวนที่ว่างที่มีอยู่ไว้สำหรับชาวบ้านหรือไม่

ง. ควรสร้างอาคารพาณิชย์ในหมู่บ้านหรือไม่

๖. ข้อความใดเป็นสารโน้มน้าวใจชนิดโฆษณาชวนเชื่อเชิงการค้า

ก. หมดปัญหาเรื่องอ่านหนังสือไม่ทันสอบ เพราะวิเคราะห์ข้อสอบเก่าและแนะแนวการทำ

โจทย์ต่าง ๆ รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียว

ข. อาคารพาณิชย์บนทำเลทองเช่นนี้ ยิ่งตัดสินใจเร็วเท่าใด คุณก็มีโอกาสเลือกทำเลที่เหมาะ

ที่สุดได้มากขึ้นเท่านั้น

ค. คุณเป็นคนสำคัญเสมอไม่ว่าจะอยู่มุมใดของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณพกบัตร

เครดิตของเราติดตัวไปด้วย

ง. เก็งแนวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลาย พ.ศ. พร้อมเฉลยและแนวคิดเพื่อพิชิตข้อสอบ

๗.  “ ในภาวะที่เศรษฐกิจตกตํ่า นักท่องเที่ยวต้องประหยัดค่าใช้จ่ายธุรกิจโรงแรมชั้นสองใน

      กรุงเทพ ฯ จึงกลายเป็นสถานพำนักที่คลาคลํ่าไปด้วยผู้คนโรงแรมชั้นหนึ่งขนาดหลายร้อยห้อง

      ซึ่งแข่งขันกันเกิดเมื่อไม่กี่ปีก่อนบัดนี้กำลังซบเซา ”  ข้อความนี้มีโครงสร้างในการใช้ภาษาที่

แสดงเหตุผลเป็นอย่างไร

ก. ดี เพราะมีโครงสร้างครบทั้งข้อสนับสนุนและข้อสรุป

ข. ดี เพราะมีการเปรียบเทียบเป็นข้อสรุปอย่างเห็นชัดเจน

ค. ไม่ดี เพราะมีโครงสร้างเฉพาะส่วนที่เป็นข้อสนับสนุน

ง. ไม่ดี เพราะมีโครงสร้างเฉพาะส่วนที่เป็นข้อสรุป

๘. ข้อใดเป็นประเด็นการโต้แย้ง

ก. รัฐบาลมีนโยบายถาวรที่จะแก้วิกฤติการณ์ขาดแคลนนํ้ามันบ้างไหม

ข. รัฐบาลและประชาชนควรร่วมกันบริหารการใช้นํ้าอย่างไร

ค. ปัญหาการขาดแคลนนํ้าเกิดจากการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้ามากเกินไปใช่หรือไม่

ง. ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ความต้องการใช้กระแสไฟลดลงเพียงใด

๙. การแสดงทรรศนะในข้อใดไม่สมเหตุสมผล

ก. ภาษาไทยเป็นภาษาที่ดี เพราะมีตัวอักษรและตัวเลขเป็นของตนเอง

ข. ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะดอกไม้ชนิดนี้มีประโยชน์มากมาย

ค. พืชผลของชาวไร่บริเวณนี้เสียหายเนื่องจากกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกจากปล่องโรงงาน

ง. ปัจจุบันช้างไม่ได้ลากซุงเช่นในอดีต เนื่องจากมีเครื่องทุ่นแรงเข้ามาแทนที่

๑๐. พ่อค้าข้าวสาร              :              นี่คุณ ! เมื่อวานผมซื้อเนื้อหมูคุณ ๑ กิโล แต่พอกลับไปชั่งได้ ๙

ขีดเอง

พ่อค้าหมู                     :              ไม่ใช่ความผิดของผม เพราะผมใช้ข้าวสาร ๑ กิโล ที่ซื้อมาจาก

คุณแทนลูกตุ้มในตาชั่ง

ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่สัมพันธ์กับบทสนทนาข้างต้น

ก. ขนมผสมนํ้ายา

ข. จุดไต้ตำตอ

ค. เกลือจิ้มเกลือ

ง. ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่