พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ณ ดินแดน ที่เป็นเสมือนทิพย์วิมาน ในเทพนิยาย หรือ สวรรค์บนพื้นแห่งพิภพยามเช้าในฤดูหนาว กลุ่มสายหมอกจะลอยพาดผ่านยอดดอยแห่ง พระตำหนักฯ หมู่มวลดอกไม้นานาพันธุ์ จะคลี่กลีบดอกงามรับสายหมอกและท่ามกลางแสงแห่งตะวัน ดอกกุหลาบหลากสีต่างเบ่งบาน กลีบอันสดใส ดูแล้วงดงามซึ่งยากยิ่งในอันที่จะพบได้จากที่แห่งใด ในผืนแผ่นดินไทย นอกจาก ณ พระตำหนักแห่งนี้ “พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์” พระราชนิเวศน์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๓๗๓.๑๙๗ เมตร ในเนื้อที่โดยรอบพระตำหนักประมาณ ๔๐๐ ไร่ นั้น แบ่งเป็นบริเวณที่ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมประมาณ ๒๐๐ ไร่ คำว่า “ดอยบวกห้า” เป็นชื่อเรียก ตามคำพื้นเมือง ดอยหมายถึงภูเขา บวกหมายถึงหนองน้ำ ห้าหมายถึงต้นหว้า หมายความว่า ที่ยอดดอยแห่งนี้มีหนองน้ำอุดมไปด้วยต้นหว้าขึ้นปกคลุมทั่วบริเวณหนองน้ำนั้น พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปีพ.ศ. ๒๕๐๔ และพระราชทานนาม พระตำหนักองค์นี้ว่า ภูพิงคราชนิเวศน์โดยทรงเลือกจาก หนึ่งใน ๒ ชื่อ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครั้งเป็นที่ พระศาสนโสภณ เป็นผู้คิดชื่อถวาย คือ “พิงคัมพร” กับ “ภูพิงคราชนิเวศน์” พระตำหนักแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือรวมทั้งเพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในโอกาสต่างๆ การที่ทรงเลือกสร้างที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย ภูมิประเทศสวยงามอีกทั้งเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน ผู้คนพลเมืองยังดำรงรักษาจารีตขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามไว้ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีลักษณะเป็นแผนผังแบบเรือนไทยภาคกลางที่เรียกว่า “เรือนหมู่”มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นไทยประเพณีประยุกต์ ก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูงหลังคาทรงไทยภายในประกอบไปด้วยท้องพระโรง ห้องเสวย ห้องบรรทม และห้องสรง สำหรับพระราชอาคันตุกะตั้งอยู่คนละด้าน มีเฉลียงใหญ่ และพลับพลาหอนกเป็นที่ประทับทอดพระเนตรทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ชั้นบนเป็นที่ประทับ ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของมหาดเล็ก และคุณข้าหลวง ออกแบบแปลนโดยหม่อมเจ้า สมัยเฉลิมกฤดากร สถาปนิกพิเศษ กรมศิลปากร ออกแบบรูปด้าน โดยหม่อมราชวงศ์ มิตรารุณ เกษมศรีและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ดำเนินการก่อสร้าง โดยมีหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี และนายประดิษฐ์ ยุวพุกกะจากกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรเป็นผู้ช่วย และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกหลวงกัมปนาทแสนยากร องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในการวางศิลาฤกษ์พระตำหนักเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๔ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๔๙ นาที การก่อสร้างพระตำหนักใช้เวลา ๕ เดือนก็แล้วเสร็จ จากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี เป็นทั้งสถาปนิก และมัณฑนากรออกแบบ ตกแต่ง ภายในพระตำหนักทั้งในส่วนที่ประทับและส่วนที่ใช้รับรอง พระราชอาคันตุกะทั้งหมด โดยออกแบบให้เป็นแบบไทยประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้แบบสากลมากขึ้น และได้ใช้พระตำหนัก ในการรับรอง พระราชอาคันตุกะเป็นครั้งแรกคือ สมเด็จพระเจ้าเฟรดเดริคที่ ๙ และ สมเด็จพระราชินีอินกริด แห่งเดนมาร์ก เมื่อเดือนมกราคมพ.ศ. ๒๕๐๕ หลังจากนั้นก็มีประมุขของประเทศต่าง ๆ เป็นพระราชอาคันตุกะมาประทับและพักที่พระตำหนักภูพิงค์ฯ ในเวลาต่อมา อีกหลายประเทศ เช่น สมเด็จพระนางเจ้าจูเลียน่าและเจ้าชายเบอร์ฮาร์ท จากประเทศเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง และพระราชินีฟาบิโอล่าแห่งประเทศเบลเยี่ยม ฯลฯ เป็นต้น ส่วนตัวอาคารอื่น ๆ ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง
1223 ถนน ศรีวิชัย ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200053 294 599 พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,373.197 เมตร ในเนื้อที่โดยรอบประมาณ 284 ไร่ คำว่า “ดอยบวกห้า” เป็นชื่อเรียกตามคำพื้นเมือง "ดอย" หมายถึงภูเขา "บวก" หมายถึงหนองน้ำ "ห้า" หมายถึงต้นหว้า รวมหมายความว่า ... พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง ใช้เส้นทางเดียวกันกับพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักฯอยู่เลยจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร พระตำหนักภูพิงค์ฯ เป็นพระตำหนักประทับในวโรกาสที่เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะที่เสด็จฯเยือนประเทศไทยซึ่งแต่เดิมจะประทับรับรองแต่ในพระนครหลวงเท่านั้น โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2504 ในครั้งแรกได้ก่อสร้างเฉพาะองค์พระตำหนักที่ประทับและเรือนรับรองเท่านั้น ส่วนอาคารอื่นๆได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมต่อมาในภายหลัง ภายในพระตำหนักฯ มีสถานที่น่าชม ดังนี้ เรือนปีกไม้ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เรือนรับรอง พลับพลาผาหมอนและสวนเฟิร์น อ่างเก็บน้ำ พระตำหนักต่างๆ และหอพระ โดยระหว่างเส้นทางเยี่ยมชมจะผ่านสวนกุหลาบเป็นระยะ โดยปกติแล้วจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวัน แต่ทั้งนี้จะงดการเข้าชมพระตำหนักฯ ระหว่างเสด็จแปรพระราชฐาน (ประมาณเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม) นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อสอบถามที่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ โทร. 0 5322 3065 หรือ website: www.bhubingpalace.org จำหน่ายบัตรทุกวัน เวลา 8.30-11.30 และ 13.00-15.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย : ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท (กรุณาแต่งกายสุภาพ) และมีบริการรถไฟฟ้านำชม ค่าบริการ 300 บาท/คัน(ไม่เกิน 3 ท่าน) ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท.เชียงใหม่
0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 8605 แก้ไขล่าสุด 2016-04-22 17:33:12 ผู้ชม 26519 การเดินทาง แผนที่ ที่เที่ยว/ที่พัก กดติดตามการเดินทางของเราใน Youtube ด้วยนะคะพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ การเดินทางมายังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์แห่งนี้ใช้เส้นทางเดียวกันกับวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวลาดชันพอสมควร แต่ด้วยการสร้างถนนที่มีช่องทางจราจรหลายช่อง ก็ทำให้การเดินทางขึ้นเขาดอยสุเทพไม่ใช่เรื่องยากมากนัก เมื่อมาถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพให้ตรงไปเรื่อยๆ ตามถนน จะมาถึงลานจอดรถหน้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีรถเข้า-ออกกันเยอะมาก นักท่องเที่ยวที่มาสักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพส่วนใหญ่จะแวะมาชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ด้วยเสมอ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์จะปิดพักกลางวันเวลา 11.30 - 13.00 น. เป็นประจำทุกวัน เว้นแต่จะมีกรณีพิเศษจะเปิดโดยไม่พักกลางวัน พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ซื้อบัตรเข้าชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เมื่อจอดรถในลานจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเดินเข้าไปชมพระตำหนักต้องซื้อบัตรเข้าชมให้เรียบร้อยก่อน ห้องจำหน่ายบัตรเป็นอาคารที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าพระตำหนัก ราคาคนไทย 20 บาท ที่ห้องจำหน่ายบัตรจะมีป้ายแสดงพันธุ์กุหลาบต่างๆ ที่ปลูกประดับรอบๆ บริเวณพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ กุหลาบเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจเข้าเยี่ยมชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เพราะมีปลูกไว้มากมายหลายสายพันธุ์ หลากสี หลายกลิ่น ในพื้นที่ที่กว้างขวางมากของพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ แผนผังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ภาพจากเว็บไซต์พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นแผนผังแสดงสถานที่ต่างๆ ในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ควรศึกษาไว้ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินเข้าไปภายใน สถานที่ต่างๆ ในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ได้แก่ จุดเริ่มต้นเดินชมพระตำหนัก เมื่อนำบัตรเข้าชมมาแสดงตรงประตูทางเข้าแล้ว เจ้าหน้าที่จะตรวจดูแลการแต่งกายของนักท่องเที่ยว ภายในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ไม่อนุญาตให้ผู้แต่งกายไม่สุภาพได้แก่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เสื้อแขนกุด ฯลฯ เข้าชม โดยจะมีผ้านุ่งให้บริการซึ่งต้องนำมาคืนเมื่อกลับออกมา จากนั้นเดินไปตามเส้นทางเดินหรือใช้บริการรถไฟฟ้านำเที่ยวของพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จะผ่านร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่ม ของที่ระลึก ฯลฯ เรือนรับรองพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เดินชมดอกไม้มาเรื่อยๆ จะพบเห็นดอกไม้มากมายหลายชนิดหลากสี ปลูกไว้ทั้งเป็นกระเช้า กระถาง หรือเป็นแปลง ที่ได้รับความนิยมมากจะเป็นแปลงกุหลาบ ในที่สุดก็จะมาถึงเรือนรับรอง ดอกไม้มากมายหลากสี สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจกันอย่างมากคือดอกไม้ตามเส้นทางเดินที่ปลูกไว้ทั่วบริเวณ มีหลายจุดหลายมุมที่คนอยากจะถ่ายรูปคู่กับดอกไม้จำนวนมากนี้ ดอกไม้ที่จะเห็นได้บ่อยๆ ก็มี เจอราเนียม แฟนซี กุหลาบซีโฟม กุหลาบปิแอร์เดอรองซาร์ด ฯลฯ กุหลาบขาวสวยๆ ก็จะมีไวท์มาสเตอร์พีซ แต่มีไม่บ่อยนัก บริการถ่ายรูป เป็นมุมที่จัดไว้เป็นพิเศษใกล้ๆ เรือนรับรอง มีบริการถ่ายรูป ราคารูปละ 50 บาทที่มุมที่จัดไว้นี้ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จากเรือนรับรองเข้ามาไม่ไกลมากนักก็จะเห็นพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีทางเดินเข้าไปด้านหน้า แต่อาคารและพระตำหนักต่างๆ ในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จะไม่อนุญาตให้เข้าไป รวมทั้งแปลงดอกไม้ทุกแปลงที่เราเห็นก็ไม่ให้เดินเข้าไปในแปลงดอกไม้โดยเด็ดขาด ทุกจุดจะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ สวนกุหลาบสีเหลืองจำนวนมากปลูกไว้ด้านหน้าพระตำหนัก นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ อีกมากมายสุดจะบรรยายได้หมด โคมญี่ปุ่น กุหลาบเฟิรสต์ไพรซ์ First Prize สีชมพูเหลือบ ดอกขนาดใหญ่มาก ประมาณ 5-6.5 นิ้ว มีกลิ่นหอมเล็กน้อย ทรงพุ่มสูง 120-135 ซม. กว้าง 150 ซม. ลำต้นใหญ่แข็งแรง หนามขนาดใหญ่ กุหลาบปิแอร์เดอรองซาร์ด Pierre De Ronsard ดอกประมาณ 3 นิ้ว สูง 6-8 ฟุต กุหลาบซีโฟม Sea Foam ดอกขนาดใหญ่ 2-2.5 นิ้ว กลีบซ้อนกัน 35-50 กลีบ มีกลิ่นหอมปานกลาง ทรงพุ่มสูง 80-100 ซม. ลำต้นแข็งแรง ดอกพวง หนามใหญ่ ทางเดินไปพลับพลาผาหมอน จากด้านหน้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จะมีทางเดินตามเส้นทางบนเนินเขาไปยังอ่างเก็บน้ำและพระตำหนักสิริส่องภูพิงค์บนยอดเนินเขา เส้นทางนี้หากไม่มีบันไดเป็นขั้นๆ ก็จะไม่ต่างอะไรกับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติในป่าตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ เพราะพันธุ์ไม้ตามเส้นทางเดินคงสภาพเหมือนสวนป่าธรรมชาติไม่นานก็จะถึงพลับพลาผาหมอน พักให้หายเหนื่อยแล้วเดินต่อไปยังอ่างเก็บน้ำทางไม่ชันมากนัก ฟิวเชีย เป็นดอกไม้ที่พบเห็นได้มากช่วงทางเดินจากพลับพลาผาหมอนไปยังอ่างเก็บน้ำ บันไดช่วงสุดท้าย มาถึงบันไดตรงช่วงนี้ก็จะมีร้านค้าบริการ ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดที่เป็นเส้นตรงไปยังอ่างเก็บน้ำ ก่อนถึงอ่างเก็บน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ถึงศาลาหลังนี้ก็เป็นขอบของอ่างเก็บน้ำแล้วครับ บริเวณศาลาที่พักนี้ปลูกดอกไม้สวยๆ มากมายหลายสี ก่อนที่จะเดินกันต่อไปหลายๆ คนก็จะนั่งพักชมดอกไม้กันให้หายเหนื่อยก่อน อ่างเก็บน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มากครับ สร้างน้ำพุไว้หลายจุดในอ่างเก็บน้ำ มีการแสดงน้ำพุประกอบจังหวะดนตรีให้ชมอย่างสวยงาม รอบอ่างเก็บน้ำมีดอกไม้เยอะมาก อีกด้านหนึ่งของอ่างเก็บน้ำก็จะมองเห็นพระตำหนักสิริส่องภูพิงค์ หรือพระตำหนักยูคาลิปตัส เดินเลยจากอ่างเก็บน้ำไปด้านซ้ายมือก็จะเป็นทางลงกลับไปที่ประตูทางเข้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีทางแยกขวามือสำหรับไปชมสถานที่อื่นๆ ได้แก่ พระตำหนักพยัคฆ์สถิต พระตำหนักพฤกษาวิสุทธิคุณ หอพระ เป็นต้น แต่ละสถานที่ก็จะมีสวนกุหลาบสวยๆ ให้ชมกันอีกด้วย แต่สำหรับทริปนี้ขอเอาภาพมาให้ชมกันเท่านี้ก่อน แล้วจะมาเพิ่มเติมส่วนที่เหลือในโอกาสหน้าครับ |