ผู้นำ กับ ผู้จัดการ ต่าง กัน

ผู้จัดการหรือ Manager ที่ดีจะต้องเป็นผู้นำที่ดีไปโดยปริยายเลยไหม แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่าง Leadership กับ Management

ความแตกต่างที่ชัดเจนเลยระหว่าง Leaders กับ Managers คือ Leaders นั้นจะมีคนที่คอยติดตาม ในขณะที่ Managers จะมีคนที่คอยทำงานให้กับเขา

เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จควรจะเป็นทั้งผู้นำ และผู้จัดการที่แข็งแกร่ง เพื่อที่จะนำพาทีมให้ทำงานได้บรรลุตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ Leaderships คือการทำให้ผู้คนเข้าใจ เชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ และทำงานร่วมกับคุณเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในขณะที่การจัดการนั้นจะเป็นเรื่องของการบริหารและทำให้งานในแต่ละวันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

การเป็น LEADER ที่แข็งแกร่งต้องมีคุณสมบัติหลายอย่าง ลองมาดูกันว่าคุณสมบัติที่สําคัญ ๆ ที่ Leader พึงมีนั้นคืออะไรบ้าง: 

1. ความซื่อสัตย์ และ การยึดถือหลักคุณธรรม : คุณสมบัติทั้ง 2 อย่างนี้มีความสําคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้คนที่ทํางานร่วมกับคุณนั้นเชื่อมั่นในตัวคุณและสิ่งที่คุณกําลังทําอยู่ 

2. วิสัยทัศน์: ทําให้รู้ว่าตอนนี้คุณอยู่ในจุดไหนและทีมของคุณอยู่ตรงไหนของเป้าหมายที่คุณกำลังจะไป 

3. แรงบันดาลใจ: การสร้างแรงบันดาลใจให้คนในทีมได้แสดงศักยภาพออกมาได้มากที่สุด ด้วยการทำให้เค้าเห็นว่าเค้ามีบทบาทอย่างไรต่อองค์กรในภาพรวม

4. ความกล้าที่จะท้าทาย : อย่ากลัวที่จะสร้างความท้าทาย กล้าที่จะทําสิ่งที่แตกต่าง และกล้าที่จะคิดนอกกรอบ 

5. ทักษะการสื่อสาร: การแจ้งให้ทีมของคุณทราบถึงทิศทางที่คุณกำลังจะไปและแชร์ถึงปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะเจอระหว่างทางการทำงาน

คุณลักษณะพื้นฐานที่ Managers ควรจะมีคือ: 

1. ความสามารถในการดําเนินการตามวิสัยทัศน์: มีความเข้าใจในวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และสามารถแบ่งวิสัยทัศน์ออกมาเป็นแผนงานที่มีขั้นตอนเพื่อให้ทีมงานได้ดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้

2. ความสามารถในการชี้นํา: Managers ควรจะทำงานในแต่ละวันของตัวเองได้ และตรวจสอบว่ามีความต้องการตรงไหนเพิ่มเติมบ้าง รวมไปถึงคาดการณ์ความต้องการต่าง ๆ ตลอดการดำเนินงาน

3. การจัดการกระบวนการ: สร้างกฎการทํางาน, กระบวนการการทำงาน, มาตรฐาน และขั้นตอนการปฏิบัติงาน 

4. ความใส่ใจคนรอบข้าง: ดูแลทีม เข้าใจความต้องการของพวกเขา รับฟังและมีส่วนร่วมในการทํางานของพวกเขา

เพื่อให้คุณได้ทำให้พนักงานของคุณมีส่วนร่วมในการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าหรือคู่ค้า คุณจำเป็นที่จะต้องทำให้พวกเขาอยู่ในวิสัยทัศน์ของคุณและเห็นภาพเดียวกับคุณ ต้องทำให้พวกเค้าสนใจสิ่งที่คุณกำลังจะให้เขาทำ และในขณะเดียวกันคุณก็ต้องแน่ใจว่าพวกเขารู้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างไร

เห็นได้ชัดว่าทั้ง 2 ตําแหน่งมีความแต่งต่างกันอยู่ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทั้ง 2 ตำแหน่งจะมีคนที่อยู่ภายใต้ความควบคุมดูแล คุณจําจะเป็นต้องมีคุณสมบัติ ข้างต้นให้ครบและสำหรับผู้นําควรมีทักษะในด้านต่าง ๆ ที่ดี ในปัจจุบันภาษาอังกฤษนั้นก็เป็นเรื่องสําคัญ ถ้าคุณอยู่ในตําแหน่งผู้นํา แต่ความสามารถในการรับรู้และสื่อสารภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรงก็จะทําให้ความน่าเชื่อถือของคุณลดน้องลง Globish

เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาให้คุณได้ ไม่ต้องเดินทาง อยู่ที่ไหนก็สามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้ตลอดเวลา

ถึงแม้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำมักแนะนำว่า “Lead First, Manage Second” (นำก่อน แล้วค่อยจัดการ) ในการเป็นผู้บริหารที่ประสิทธิผล ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจำเป็นต้องใช้ความสามารถทั้งสองด้าน ทั้งการจัดการและภาวะผู้นำ ผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำ มักเป็นผู้ที่ได้พิสูจน์ให้องค์กรเห็นมาแล้วว่ามีความสามารถในการจัดการได้ดี

ทว่าการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้นำคนจำนวนมาก หรือมานำคนที่มีความสามารถมากขึ้น แต่ยังใช้การจัดการแบบเดิมๆ เช่นต้องการเป็นผู้ตัดสินใจเองทุกอย่าง เน้นลงรายละเอียดมากไป หรือต้องการบรรลุผลลัพธ์ของตนหรือหน่วยงานตน โดยมองข้ามผลที่จะเกิดขึ้นต่อองค์กรในภาพใหญ่ หรือในอนาคต ความสามารถในการบริหารจัดการที่เคยเป็นประโยชน์ อาจกลายมาเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จทั้งของตนเองและองค์กรได้ โดยเฉพาะการบริหารในยุคดิจิทัล ที่การทำงานแบบ Silo จะเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิผลขององค์กรอย่างมาก

ผู้นำ กับ ผู้จัดการ ต่าง กัน

การปรับมุมมองและวิธีการคิดเพื่อเพิ่มความเป็นผู้นำ ขึ้นอยู่กับระดับการบริหารและบทบาทหน้าที่ในองค์กรด้วย หากจะกล่าวถึงผู้นำระดับสูง หรืออยู่ในตำแหน่งที่เป็นผู้นำองค์กร มีมิติการปรับที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

  • จากรู้ลึกมาเป็นรู้กว้าง จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจหลากหลาย มองภาพรวมและเข้าใจความเชื่อมโยงของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญของธุรกิจ และมองออกว่าจะประเมินผู้นำในแต่ละหน่วยงานนั้นอย่างไรด้วย

  • จากผู้ลงมือก่อสร้าง มาเป็นผู้ออกแบบองค์กรที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

  • จากนักแก้ปัญหา มาเป็นผู้กำหนดปัญหาที่คนควรให้ความสำคัญ มองเห็นถึงโอกาสและสิ่งที่อาจเป็นภัยคุกคามความสำเร็จของธุรกิจ และกำหนดหัวข้อให้ทีมเห็นว่าเราควรจะเตรียมรับมือกับอะไร รวมถึงอำนวยให้หน่วยงานต่างๆ ประสานความรู้และทรัพยากรระหว่างกันได้ เพื่อช่วยให้องค์กรแก้ไขปัญหาซับซ้อนต่างๆ ได้ดี

  • จากนักรบ มาเป็นนักการทูต จากที่เคยใช้เวลาไปกับการสร้างกองกำลังเพื่อชัยชนะ มาเป็นผู้ที่โน้มน้าวผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างพันธมิตรให้มากขึ้น

การพัฒนาบุคคลให้มีความเป็นผู้จัดการมากขึ้น หรือให้มีภาวะผู้นำมากขึ้น ทำได้อย่างไร ควรเริ่มที่การสร้าง Self-awareness ก่อน ว่ามีจุดแข็งและข้อควรพัฒนาในแต่ละด้านมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและงบประมาณในการเลือกโฟกัสหรือเป้าหมายในการพัฒนา

©Copyright - All rights reserved.

About the author; Atchara (Cara) Juicharern is a winner of Woman Leadership Award and an accomplished leadership and executive coach who has been also developing executives and leaders in the organizations to be successful in coaching. She has trained thousands of executives and leaders from all types of business industries.

With her passion to support leaders and organizations to be successful in creating coaching and mentoring cultures, she also conducts significant coaching studies. She is frequently invited to speak about the coaching trends and the future of coaching in various leadership and HR forums.

Her best-selling book "Leader as Coach" is the first Thai language book that brings practical and simplified coaching methods and conversation to leaders and has received a foreword by the world number 1 Coaching Guru and Thought Leader - Dr. Marshall Goldsmith.

Bennis ชี้ให้เห็น ความแตกต่างระหว่างผู้นำ และ ผู้จัดการอย่างไร

ดังที่นักศึกษาวิจัยสรุปไว้ดังต่อไปนี้ เบนนิส และนานัส (Bennis and Nanus, 1985: 21) ได้สรุปว่า "ผู้จัดการคือ บุคคลที่ทำให้งานสำเร็จ ส่วนผู้นำคือ บุคคลที่ทำสิ่งต่างให้ถูก Managers are people who do things right. And leaders are people who do the right things"

ตําแหน่งManager คืออะไร

หน้าที่ของผู้จัดการคือการประสานการทำงานของคนในทีมกับความต้องการของผู้บริหารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าในการเป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดย่อมทำให้มองเห็นขีดจำกัดของการทำงาน แต่ขณะเดียวกับการเป็นผู้บริหารย่อมมองสถานการณ์ภาพรวมได้ชัดเจนมากกว่า ดังนั้นผู้จัดการจึงต้องใช้ความสามารถในการเจรจาต่อรองเพื่อลด ...

ใครบ้างที่ต้องมีภาวะผู้นำ

1. มุ่งมั่นในการทำงาน ผู้นำต้องมีพลังในการทำงาน มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนทีมให้กระตือรือร้นไปพร้อม ๆ กัน.
2. สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ... .
3. มอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ ... .
4. เป็นผู้ฟังที่ดี ... .
5. มีระบบและระเบียบ ... .
6. มีส่วนร่วมกับทีม ... .
7. เป็นเจ้าของงานและความรับผิดชอบ ... .
8. กล้าหาญและตรงไปตรงมา.