ปัญหาของผู้หญิงอย่างเราๆ ที่ต้องพบเป็นประจำอยู่ทุกเดือน คงหนีไม่พ้นอาการปวดท้องในช่วงที่มีรอบเดือนใช่มั้ยล่ะคะ ซึ่งส่วนมากการ ปวดท้องประจำเดือน จะเกิดแค่ใน 1 -2 วันแรกที่มีประจำเดือนค่ะ และจะมีอาการปวดแค่พอรู้สึกรำคาญหรือทานยาก็หาย
แต่หากคุณไม่อยากทานยาหรือไม่อยากต้องมานั่งทนปวดท้องประจำเดือนอยู่ล่ะก็ เรานำสูตรชาสมุนไพรใกล้ตัวมาฝากกันค่ะ ซึ่งหากเราดื่มชาตามสูตรนี้บ่อยๆ อาการ ปวดท้องประจำเดือน จะไม่กลับมากวนใจอย่างแน่นอน ชาใบมิ้นต์ ชาเขียว ชาว่านหางจระเข้ ชาคาโมมายล์ ชาขิง ติดบ้านไว้ ไม่ปวดท้อง 7 สมุนไพรช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด โคเลสเตอรอลสูงซะแล้ว ทำยังไงดี วิธีเลือกกินอาหารให้ถูกต้อง ติดตาม women.trueid.net ได้ที่ สวัสดีค่ะ คุณ Pirunporn Wongsa, อาการปวดท้องประจำเดือน หากเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น หรือเกิดขึ้นในช่วงอายุ 15-25 ปี โดยที่อาการปวดจะเกิดขึ้นก่อนหรือขณะมีประจำเดือนมา และจะหายไปเมื่อประจำเดือนหมดไป และอาการปวดไม่ได้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ ดังนั้นจึงไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด แต่หากไม่เคยมีอาการปวดท้องประจำเดือนมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แลเพิ่งมาเริ่มปวดเมื่อเลยช่วงอายุ 25 ปีไปแล้ว และอาการปวดเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือยังคงปวดต่อเนื่องแม้ประจำเดือนจะหมดไปแล้ว หรือปวดในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือนร่วมด้วย จึงจะถือว่าเป็นอาการปวดประจำเดือนที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุ เช่น มีเนื้องอกมดลูก มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ ซีสต์ที่รังไข่ มีช็อกโกแลตซีสต์ เป็นต้น ในกรณีนี้ ก็ควรไปพบสูติ-นรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ นอกจากนี้ ในช่วงก่อนและขณะมีประจำเดือนมา นอกจากอาการปวดท้องน้อยแล้ว ยังอาจมีอาการอื่นๆ ได้อีก เจ็บเต้านม อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ท้องอืด (ซึ่งก็จะทำให้มีท้องป่อง) มีท้องผูกหรือท้องเสีย ตัวบวมขึ้น มีสิวขึ้น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ อยากทานอาหารมากกว่าปกติ เป็นต้น สำหรับอาการเท้าชาและหน้ามืด ก็อาจเป็นอาการที่พบได้ในช่วงก่อนและขณะมีประจำเดือนมาค่ะ ซึ่งหากประจำเดือนหมดไปแล้ว อาการได้หายไป ก็ไม่ได้อันตรายอะไร แต่หากอาการเกิดขึ้นในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือนด้วย ก็จะถือว่าผิดปกติ และควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุค่ะ
ความเชื่อผิด ๆ เรื่องอาหารกับประจำเดือน
สรุป เรื่องอาหารกับประจำเดือน ในช่วงมีประจำเดือนแนะนำให้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ สมดุล ครบห้าหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ บทความโดย พญ.อสมา วาณิชตันติกุล สูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งวิทยานรีเวชและผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช ประวัติแพทย์ |