raponsan: ask1 ans1 ask1 ans1 บทที่ ๕ แดนมนุษย์ กำเนิด ๔ ประเภท บรรดาสัตว์ที่เกิดในโลกมนุษย์นี้มีการเกิดด้วยกำเนิดทั้ง ๔ ประเภท กำเนิดในครรภ์มีมากกว่ากำเนิดประเภทอื่น การกำเนิด ๓ ประเภทมีปรากฏเป็นบางครั้งเท่านั้น การกำเนิดในครรภ์ของคนทั้งหลายมีดังนี้ หญิงสาวทั้งหลายที่ควรจะมีบุตร บริเวณใต้ท้องน้อยภายในที่จะมีผู้มาเกิดนั้นจะมีก้อนเลือดทารกก้อนหนึ่ง แดงอย่างลูกผักปลัง เมื่อหญิงนั้นถึงระดูรอบเดือน และมีระดูไหลออกจากท้องแล้ว ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน จึงนับได้ว่ามีครรภ์ ต่อจากนั้นระดูจะไม่ไหลอีกเลย หญิงยังไม่แก่ชรา อาจมีบุตรได้ทุกคน หญิงที่ไม่มีบุตรเป็นเพราะบาปกรรมของผู้มาเกิด ทำให้เกิดเป็นลมในครรภ์ ลมนั้นพัดถูกสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ทำให้แท้งตายไป บางครั้งมีตัวตืด พยาธิ ไส้เดือน ในครรภ์ ซึ่งกินสัตว์ผู้มาเกิด ทำให้หญิงนั้นไม่มีบุตร สัตว์เกิดในครรภ์นั้น แรกทีเดียวมีขนาดเล็กมากเรียกว่า “กลละ” ซึ่งมีขนาดเหมือนนำผมของมนุษย์มาผ่าออกเป็น ๘ ซีก แต่ละซีกมีขนาดเท่ากับผมของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำเส้นผมของมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปเส้นหนึ่งมาชุบน้ำมันงาอันใสงามมาสลัด ๗ ครั้งแล้วถือไว้ น้ำมันที่ไหลย้อยลงปลายเส้นผมยังใหญ่กว่ากลละนั้น หรือเทียบเหมือนขนของเนื้อทรายชื่อ อุณาโลม ที่อยู่เชิงเขาหิมพานต์ เส้นขนของเนื้อทรายนั้นเล็กกว่าเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำขนทรายอุณาโลมเส้นหนึ่งชุบน้ำมันงาที่ใสสะอาดงาม สลัดทิ้ง ๗ ครั้งแล้วถือไว้ น้ำมันที่หยดลงที่ปลายขนทรายนั้นจึงจะมีขนาดเท่ากลละนั้น กลละนั้นใสงามราวกับน้ำมันงาที่ตักใหม่ งามดังน้ำมันเปรียงใหม่ ต่อจากนั้นจึงมีธาตุลม ๕ อย่าง ก่อตัวขึ้นพร้อมกันอยู่ในกลละนั้น @@@@@@ เมื่อแรกเกิดเป็นกลละนั้น มีรูป ๘ รูป ได้แก่ รูปดิน รูปน้ำ รูปไฟ รูปลม รูปกายประสาท รูปหญิงหรือชาย รูปหัวใจ และชีวิตรูป(คือสิ่งที่ทำให้มีธาตุยืนอยู่ได้) ในบรรดารูปทั้งหมดนี้ เกิดมีชีวิต ๓ รูปก่อน ๓ รูปนี้ คือ รูปใดบ้าง คือ ถ้าเป็นบริวารของรูปกาย เมื่อรวมกับรูปกายจะรวมเป็น ๙ ถ้าเป็นบริวารของรูปหญิงหรือชาย เมื่อรวมกับรูปหญิงหรือชายจะรวมเป็น ๙ และถ้าเป็นบริวารของรูปหัวใจเมื่อรวมกับรูปหัวใจจะรวมเป็น ๙ กลุ่มองค์ ๙ ทั้ง ๓ กลุ่มนี้ รวมกับชีวิตรูปจะได้กลุ่มรูป ๑๐ จำนวน ๓ กลุ่ม เกิดมีขึ้นพร้อมกันตั้งแต่แรกมีการเกิดในครรภ์ บรรดาสัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา แรกทีเดียวมีขนาดดังกล่าวแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น รวม ๔ รูปนี้ จึงเกิดเป็นลำดับต่อมา รูปเหล่านี้เกิดจากกรรม ต้องปฏิสนธิจึงเกิด (ต่อจากนั้นเกิดรูปอาหาร ต้องมีอาหารที่แม่กินจึงเกิด
เกิดหลังจากเกิดรูป ๒ กลุ่ม ดังกล่าวแล้ว) @@@@@@ รูปที่จะเกิดเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี
เกิดตั้งแต่แรกเป็น กลละ แล้วโตขึ้นวันละเล็กละน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดังน้ำล้างเนื้อเรียกว่า “อัมพุทะ” รูปของสัตว์เกิดในครรภ์มี ๑๘๔ รูป คือ ส่วนกลาง (ตั้งแต่คอถึงสะดือ) มี ๕๐ รูป รูปส่วนบน (ตั้งแต่คอถึงศีรษะ) มี ๘๔ รูป รูปส่วนเบื้องต่ำ (ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า) มี ๕๐ รูป สัตว์เกิดในครรภ์นั่งอยู่กลางท้องมารดาหันหลังมาติดหนังท้องมารดา อาหารที่มารดารับประทานเข้าไปก่อน จะอยู่ใต้สัตว์เกิดในครรภ์ ส่วนอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปใหม่ จะอยู่บนสัตว์เกิดในครรภ์ @@@@@@ สัตว์เกิดในครรภ์มีความลำบากอย่างยิ่ง น่าเกลียด น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ทั้งชื้นสกปรกมีกลิ่นเหม็น ตัวตืดและพยาธิไส้เดือน ๘๐ ตระกูลที่อาศัยปนกันอยู่ในท้องมารดา ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะในท้องมารดานั้น ท้องมารดาของสัตว์ที่เกิดในครรภ์เป็นที่คลอดลูก เป็นที่เกิด เป็นที่แก่ เป็นที่ตาย เป็นป่าช้าของพยาธิเหล่านั้น เหล่าตัวตืดและพยาธิไส้เดือนเหล่านั้นได้ชอนไชสัตว์เกิดในครรภ์นั้นเหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า และในอาจมนั้น สายสะดือของสัตว์เกิดในครรภ์กลวงดังสายบัวอุบล ปากสะดือกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องมารดา ข้าว น้ำ อาหาร และโอชารสที่มารดากินเข้าไป เป็นน้ำชุ่มซึมเข้าไปตามสายสะดือในท้องสัตว์ที่เกิดในครรภ์ทีละน้อย ๆ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ได้กินอาหารดังกล่าวทุกวัน ทุกเช้าเย็น อาหารเข้าไปอยู่เหนือศีรษะทับศีรษะสัตว์เกิดนั้น สัตว์เกิดนั้นได้รับทุกข์มากนัก สัตว์เกิดนั้นจะอยู่เหนืออาหารที่มารดากินเข้าไปก่อน เบื้องหลังสัตว์นั้นติดกับหนังท้องมารดา นั่งยอง ๆ อยู่ กำมือทั้ง ๒ ไว้ที่หัวเข่า คู้หัวเข่าทั้งสอง เอาศีรษะไว้เหนือหัวเข่า ขณะนั่งอยู่เลือดและน้ำเหลืองหยดลงเต็มตัวทีละหยดทุกเมื่อ เหมือนลิงเมื่อฝนตกนั่งกำมือซบเซาอยู่ในโพรงไม้นั้น ในท้องมารดานั้นร้อนรุมนักหนา ดุจดังคนเอาใบตองไปจุดไฟเผาและต้มน้ำในหม้อ อาหารทุกสิ่งที่มารดากินเข้าไปถูกเผาไหม้และย่อย ส่วนสัตว์ที่เกิดขึ้นในครรภ์ ไฟธาตุไม่ไหม้ เพราะบุญของสัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่ไหม้และไม่ตายเพราะเหตุนั้น @@@@@@ อนึ่ง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ไม่หายใจเข้าหายใจออกเลย ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเช่นเราท่านทั้งหลายนี้แม้แต่ครั้งเดียว ต้องเจ็บปวดตนเหมือนถูกขังไว้ในไหที่คับแคบมาก คับแค้นใจและเดือดร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเหมือนถูกขังในที่แคบ เมื่อมารดาเดินก็ดี นอนก็ดี ลุกขึ้นก็ดี สัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเจ็บปวดประหนึ่งว่าจะตาย เหมือนลูกเนื้อทรายคลอดใหม่ตกอยู่ในมือคนเมาเหล้า ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนดังลูกงูที่หมอเอาไปเล่น นับได้ว่าความทุกข์ลำบากใจนักหนา ไม่ได้ลำบากเพียง ๒ วัน ๓ วัน แล้วพ้นความลำบาก ต้องอยู่ยากลำบาก ๗ เดือน บางคราว ๘ เดือน บางคราว ๙ เดือน บางคราว ๑๐ เดือน บางคน ๑๑ เดือน
บางคนครบหนึ่งปีจึงคลอดก็มี @@@@@@ เมื่อถึงเวลาจะคลอด จะมีลมในท้องมารดาพัดผันตนสัตว์ที่เกิดให้ขึ้นเบื้องบน ให้ศีรษะลงเบื้องต่ำสู่ที่จะคลอด เหมือนเหล่าสัตว์นรกถูกยมบาลจับเท้า หย่อนศีรษะลงในขุมนรกที่ลึกร้อยวา สัตว์ที่เกิดนั้นเมื่อจะคลอดออกมาจากท้องมารดา ออกมายังไม่ทันหลุดพ้น ตัวจะเย็นเจ็บปวดยิ่งนัก ประดุจดังช้างสารที่คนชักเข็นออกจากประตูขนาดเล็กและคับแคบ ออกยากลำบากยิ่งนัก
หรือเปรียบเหมือนดังสัตว์นรกถูกภูเขาคังไคยหีบบดขยี้นั่นเอง - ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่นรกหรือมาจากเปรตจะคิดถึงความทุกข์ลำบาก เมื่อคลอดออกมาจะร้องไห้ @@@@@@ แต่มนุษย์ผู้อยู่ในโลกนี้หรือในจักรวาลอื่นๆ เมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาก็ดีในกาลทั้ง ๓ นี้ จะหลงลืมไม่รู้ตัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่สิ่งเดียวเลย ผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี เป็นพระอรหันตขีณาสพก็ดี และเป็นพระอัครสาวกก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี ทั้ง ๒ ระยะย่อมไม่หลง และคำนึงรู้อยู่ทุกสิ่ง พระโพธิสัตว์ในชาติที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแรกกำเนิดก็ดี ระหว่างอยู่ในพระครรภ์พระมารดาก็ดี และขณะจะประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็ดี จะไม่หลงลืมแม้ครั้งเดียว จะระลึกรู้ทุกประการ @@@@@@ เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระครรภ์พระมารดา จะไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ติดกับหลังพระครรภ์พระมารดา ประทับนั่งสมาธิ ดังนักปราชญ์ผู้สง่างามนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ มีพระวรกายเรืองงามดังทอง เห็นแสงรังรองเหมือนกับจะเสด็จออกมาภายนอกพระครรภ์ พระมารดาพระโพธิสัตว์ก็ดี มนุษย์อื่น ๆ ก็ดี จะเห็นพระโพธิสัตว์รุ่งเรืองงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาวฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์จะเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ลมอันเป็นบุญมิได้พัดผันพระเศียรลงเบื้องต่ำ และพัดพระบาทขึ้นเบื้องบนเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงเหยียดพระบาทออก และเมื่อจะเสด็จออกจากพระครรภ์จะทรงลุกขึ้นแล้วจึงเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา อนึ่ง พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ในหลายๆชาติ จะเป็นประดุจครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ซึ่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ไม่เคยมีในชาติก่อน ๆ ที่ล่วงมาแล้ว มีสภาพเป็นปกติธรรมดาเหมือนคนทั้งหลายทั้งปวง เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดาก็ดี เมื่อประสูติก็ดีจะเกิดแผ่นดินไหวทั่วหมื่นจักรวาล น้ำอันรองแผ่นดินก็ไหว น้ำในมหาสมุทรเกิดคลื่นฟูมฟอง ภูเขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ พระผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น @@@@@@ มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดิ ครั้นคลอดออกจากท้องของมารดาแล้ว จะได้ดูดกินโลหิตในอกมารดาที่กลายมาเป็นน้ำนมไหลออกจากอกมารดาด้วยความรักลูกนั้น สิ่งนี้เป็นธรรมดาวิสัยของโลกทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายเจริญวัยโดยลำดับโดยอาศัยบิดามารดา เมื่อบิดามารดาพูดภาษาใดๆ ก็ดี บุตรธิดาได้ยินบิดามารดาพูดภาษานั้นๆ ก็จะพูดภาษานั้นๆ ตามบิดามารดา ถ้าบุตรธิดาเจริญเติบโตใหญ่กล้าแข็งแรงไม่รู้ภาษาใด ๆ เลย บุตรธิดาก็จะพูดภาษาบาลีตามที่ท่านว่าไว้ เมื่ออายุ ๑๖ ปี จึงหย่านม ยังมีต่อ โปรดติดตาม.... raponsan: ประเภทของมนุษย์ - 4 ทวีป บุตร ๓ จำพวก @@@@@@ มนุษย์ ๔ จำพวก @@@@@@ มนุษย์ ๔ ทวีป มนุษย์มี ๔ จำพวกได้แก่ :- ลักษณะของมนุษย์ ๔ ทวีป :- อายุของมนุษย์ ๔ ทวีป :- @@@@ มนุษย์ในบุรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีปและอุตตรกุรุทวีป ถือเบญจศีลตลอด :- @@@@ ที่ตั้งของโลกมนุษย์ ในบุรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีปและอุตตรกุรุทวีป :- - แผ่นดินทางทิศตะวันออกภูเขาพระสุเมรุมีทวีปใหญ่ชื่อ “บุรพวิเทหทวีป” กว้างได้ ๗,๐๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๒๑,๐๐๐ โยชน์ มีทวีปเล็ก ๕๐๐ ทวีปล้อมรอบเป็นบริวาร เหล่ามนุษย์ในบุรพวิเทหทวีปมีหน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีแม่น้ำใหญ่แม่น้ำเล็ก มีภูเขา มีเมืองใหญ่เมืองน้อย เหล่ามนุษย์ที่อยูในทวีปนั้นมีมากนัก มีท้าวพระยาและนายบ้านนายเมือง - แผ่นดินทางทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุมีทวีปชื่อว่า “อุตตรกุรุทวีป” กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็ก ๆ ๕๐๐ ล้อมรอบเป็นบริวาร มนุษย์ในทวีปนั้นมีหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบทวีป มีคนทั้งหลายอาศัยอยู่ในทวีปนั้นมาก มีความเป็นอยู่ดีกว่าคนในทวีปอื่น เพราะบุญของเขา เพราะเขารักษาศีล @@@@@@ ลักษณะเฉพาะของอุตตรกุรุทวีป แผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้นราบเรียบเสมอกัน ไม่มีที่ลุ่มที่ดอนหรือที่ขรุขระปรากฏให้เห็น และมีต้นไม้นานาพันธุ์ มีกิ่งก้านสาขางาม มีค่าคบใหญ่น้อยมากมาย เหมือนเขาตั้งใจสร้างไว้เป็นบ้านเรือนดูงามดั่งปราสาท เป็นที่อยู่อาศัยของคนในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม้นั้นไม่มีตัวแมลงตัวด้วง ไม่มีส่วนที่คดที่งอ ที่กลวง ที่เป็นโพรง ต้นตรงกลมงามมาก ผลิดอกออกผลตลอดเวลาไม่เคยขาด ที่ใดที่เป็นบึง หนอง ตระพัง จะดาดาษด้วยดอกบัวแดง บัวขาว บัวเขียว บัวหลวง และกุมุท อุบล จงกลนี นิลุบล บัวเผื่อน บัวขม เมื่อลมพัดต้องก็โชยกลิ่นหอมขจรขจายไปโดยรอบอยู่ทุกเวลา ชาวอุตตรกุรุทวีปมีรูปร่างสมทรง ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่อ้วนไม่ผอม ดูงามด้วยรูปทรงสมส่วน มีเรี่ยวแรงกำลังกายคงที่ไม่เสื่อมถอยไปตามวัย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ พวกเขาไม่มีความกังวลในเรื่องทำมาหากิน ไม่ต้องทำไร่ทำนาหรือซื้อขายกัน @@@@ ชาวอุตตรกุรุทวีปมีข้าวชนิดหนึ่งชื่อ “สัญชาตสาลี” คือข้าวที่เกิดเอง เขาไม่ต้องหว่านหรือไถดำ ข้าวนั้นเกิดเป็นต้นเป็นรวงเป็นข้าวสารเอง ข้าวนั้นหอม ไม่มีแกลบมีรำ ไม่ต้องตำ ไม่ต้องฝัด ชาวอุตตรกุรุทวีปชวนกันกินข้าวนั้นอยู่เป็นประจำ ในอุตตรกรุทวีปยังมีหินชนิดหนึ่งชื่อ “โชติปาสาณ” คนเหล่านั้นจะเอาข้าวสารกรอกใส่หม้อทองเรืองงาม ยกไปตั้งบนแผ่นหินโชติปาสาณนั้น ชั่วครู่หนึ่งจะเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวสุก ไฟจะดับเอง เมื่อเขาเห็นไฟดับก็รู้ว่าข้าวสุกจึงคดใส่ถาดและตะไลทองงาม สำหรับกับข้าวนั้นก็ไม่ต้องจัดหา เมื่อนึกว่าจะกินสิ่งใดก็จะปรากฏขึ้นอยู่ใกล้ ๆ เขาเอง ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง สูง ๑๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ วัดโดยรอบได้ ๓๐๐ โยชน์ ผู้ใดปรารถนาอยากจะได้ทรัพย์สินเงินทองหรือเครื่องประดับตกแต่งทั้งหลาย เป็นต้นว่า เสื้อสร้อยถนิมพิมพาภรณ์ ผ้านุ่งผ้าแพรพรรณต่างๆก็ดี หรือเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นย่อมบังเกิดขึ้นแต่ค่าคบของต้นกัลปพฤกษ์นั้น ให้สำเร็จสมตามความปรารถนาทุกประการ @@@@ สตรีทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินนั้นงามทุกคน รูปร่างไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไป ไม่ขาวดำเกินไป มีรูปทรงสมส่วน ผิวพรรณงามดั่งทองสุกเหลือง เป็นที่พึงใจของชายทุกคน นิ้วมือนิ้วเท้ากลมกลึง
มีเล็บสีแดงเหมือนน้ำครั่งที่ทาแต้มไว้ แก้มใสนวลงามดั่งผัดแป้ง ใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลาปราศจากมลทินคือ ไฝ ฝ้า มีลำแข้งขาเรียวงาขาวเหมือนลำกล้วยทองฝาแฝด มีท้องที่ราบเรียบเสมอ ลำตัวอ้อนแอ้นเกลี้ยงกลมงาม @@@@ ชายทั้งหลายในอุตตรกุรุทวีปก็มีรูปร่างผิวพรรณงามเหมือนหนุ่มน้อยอายุ ๒๐ ปี ไม่มีแก่เฒ่า เป็นหนุ่มอยู่ดังนั้นตลอดชีวิตทุกคน คนเหล่านั้นกินข้าวน้ำและอาหารอย่างดี มีรสอันอร่อย เขาแต่งแต่ตัว เขาจะทากระแจะจันทน์น้ำมันอย่างดี ทัดทรงดอกไม้หอมต่าง ๆ แล้วพากันไปเที่ยวเล่นตามสบาย บ้างก็ฟ้อนรำทำเพลงดุริยางคดนตรี บ้างก็ดีดสีตีเป่า ขับร้องกันสนุกสนานเป็นหมู่มากมาย มีเสียงฆ้อง กลอง แตรสังข์ กังสดาล มโหรทึกดังกึกก้อง มีการทำพิธี มีดอกไม้งามต่าง ๆ มีจวงจันทน์กฤษณา
เหมือนดั่งเป็นเทวดาบนสวรรค์เขาเล่นสนุกด้วยกันตลอดเวลา @@@@ บางหมู่ก็ชวนกันเล่นในสวนผลไม้อันมีผลสุกงอมหอมหวาน เช่นว่า ขนุนบางผลนั้นใหญ่เท่าไห บางผลใหญ่เท่ากระออม หอมหวานมาก เขาชวนกันกินเล่นเป็นที่สนุกสนานเบิกบานใจในสวนนั้น บางพวกก็พากันเล่นที่หาดทราย เมื่อจะพากันลงอาบน้ำนั้น พวกเขาจะถอดเครื่องประดับออกวางไว้ที่หาดทรายแล้วลงไปอาบ ว่ายเล่นกับในแม่น้ำ เมื่อผู้ใดขึ้นมาจากน้ำก่อน จะเอาเครื่องประดับและผ้านุ่งผ้าห่มของใครมาประดับนุ่งห่มได้ไม่ว่ากัน ไม่โกรธกัน ไม่ด่าหรือถกเถียงกัน @@@@ เมื่อเขาเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มสาว เมื่อแรกรักกันจะอยู่ครองเรือนเป็นสามีภรรยากัน เขาจะร่วมรักกันเพียง ๗ วันเท่านั้น ต่อจากนั้นเขาจะไม่ร่วมรักกันเลย จะอยู่เย็นเป็นสุขตราบเท่าสิ้นอายุ ๑,๐๐๐ ปีของพวกเขานั้น ไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งใด ดังเป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสทั้งปวงแล้ว ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อมีครรภ์และจะคลอดลูก
นางจะไม่เจ็บท้องเลย และไม่ว่ามารดาจะอยู่ที่ใด ครั้นเมื่อจะคลอดจะเกิดมีแท่นที่นอนขึ้นมารองรับ นางจะไม่เจ็บท้องเวลาจะคลอดเลย และทารกที่คลอดออกมาก็ไม่มีเลือดฝาดและเมือกขาวเป็นมลทิน งามดังแท่งทอง อันสุกใสปราศจากราคีต่างๆ @@@@ ครั้นทารกเติบโตขึ้นสามารถเดินไปมาได้แล้ว ถ้าหากเด็กนั้นเป็นผู้ชายจะไปอยู่รวมกลุ่มกับเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นหญิงก็จะไปอยู่รวมกลุ่มกับเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้นลูกเขาจึงโตขึ้นเอง ลูกไม่รู้จักพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ไม่รู้จักลูก เพราะคนเหล่านั้นมีรูปร่างงามสง่าเหมือนกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเริ่มรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน แม่และลูกก็ดี พ่อและลูกก็ดี จะไม่อยู่ครองเรือนเป็นสามีภรรยากัน เพราะพวกเขานั้นมีบุญ เทวดาจึงบันดาลทุกสิ่งให้เป็นธรรมดา เมื่อพวกเขาตายจากกันไป ก็มิได้มีความทุกข์เศร้าโศกเสียใจร้องไห้ถึงกันเลย พวกเขาจะเอาศพนั้นอาบน้ำแต่งตัวทากระแจะจันทน์น้ำมันหอม นุ่งห่มผ้าให้ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง แล้วจึงเอาไปวางไว้ในที่แจ้ง ก็จะมีนกชนิดหนึ่งซึ่งบินทั่วไปในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนั้น มาคาบเอาศพไปยังรังนกนั้นเพื่อมิให้สกปรกรกแผ่นดิน @@@@ คนทั้งหลายในอุตตรกุรุทวีป เมื่อตายไปแล้วย่อมไม่ไปเกิดในจตุราบายทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้นเลย แต่พวกเขาจะไปเกิดในที่ดี คือ สวรรค์ชั้นฟ้า เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ตลอดเวลา เครื่องหมายคุณความดีของคนเหล่านั้นก็ยังปรากฏอยู่ไม่มีที่สิ้นสุดบริบูรณ์อยู่ตราบจบบัดนี้ ในคัมภีร์ฉบับหนึ่งแสดงไว้ว่า แผ่นดินในอุตตรกุรุทวีปนั้นราบเรียบเสมอกัน งามมาก มิได้เป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระ คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในที่นั้นไม่มีความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเลย และพวกสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย อาทิ หมู หมี หมา และงู ตลอดจนสรรพสัตว์อันดุร้ายนานาชนิด ไม่มาเบียดเบียนทำร้ายคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นเลย @@@@ และยังมีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่า “ฉวินยา” งอกขึ้นในแผ่นดินนั้น มีสีเขียวงาม ดำดังแววนกยูง ละเอียดอ่อนดังฟูก ดังสำลีงอกขึ้นพ้นดิน ๔ นิ้ว และมีน้ำใสเย็นสะอาด ดื่มกินมีรสอร่อย ไหลเซาะท่าน้ำ แลดูงามล้วนไปด้วยทอง เงิน และแก้ว ๗ ประการ ไหลเสมอฝั่ง เมื่อนกกามาดื่มกิน ก็กินโดยไม่ต้องชะโงกหัวลงดื่ม คนทั้งหลายในที่นั้น บางคนมีรูปร่างสูงเท่าคนในบุรพวิเทหทวีป และคนในอุตตรกรุทวีปนั้น เขานุ่งห่มผ้าขาวที่เขานึกอธิษฐานเอาจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น ต้นกัลปพฤกษ์นั้น สูง ๑๐ วา ๒ ศอก กว้าง ๑๐ วา @@@@ หมู่ชนทั้งหลายที่เป็นหนุ่มสาวในอุตตรกุรุทวีปนั้น เมื่อรักกับชอบกันก็จะอยู่ร่วมกันเอง เป็นสามีภรรยากันโดยไม่ต้องเสียสิ่งหนึ่งสิงใด เมื่อเขารักกันเขาก็อยู่ด้วยกันเอง ตราบเท่าถึงไฟไหม้กัลป์ ดังสิ่งทั้ง ๔ นี้ อันได้แก่
คนเหล่านั้นตั้งแต่หนุ่มสาวจนถึงแก่เฒ่า เขาร่วมรักด้วยกันเพียง ๔ ครั้ง บางคราวก็มิได้ร่วมรักกันเลย @@@@ มีผลไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า “ตุณหิรกะ” มีรูปร่างเหมือนหม้อข้าว เขาจะเอาข้าวน้ำใส่แล้วตั้งบนก้อนหินที่เรียกว่า “โชติปาสาณะ” ซึ่งเกิดเป็นไฟลุกขึ้นได้เอง เมื่อข้าวนั้นสุกดีแล้วไฟนั้นจะดับไปเอง ข้าวที่พวกเขาคดมารับประทานนั้นมีรสอร่อยยิ่งนัก ชนชาวอุตตรกุรุทวีปไม่ได้สร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย แต่มีไม้ชนิดหนึ่งที่งามเหมือนทองเรียกว่า “มัญชุสถา” เป็นเหมือนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชนชาวแผ่นดินอุตตรกุรุทวีป ที่มา : vajirayana.org/ไตรภูมิกถาฉบับถอดความ/บทที่-๕-แดนมนุษย์ ยังมีต่อ โปรดติดตาม.... |