สัมภาษณ์งานครั้งแรก pantip

แต่งตัวยังไงดีครับ
- เสื้อเชิ๊ตสีพื้น เช่น ฟ้า น้ำเงิน
- เสื้อกล้ามซับในก่อนเสื้อเชิ๊ต (เป็นผมเหงื่อออกง่ายอ่ะ) ถ้าเสื้อเชิ๊ตมันบางแล้วเห็นรอยเสื้อกล้าม จะดูเด็ก/เนิร์ดไปไหม
- กางแกงสแลค กระบอกเล็ก (ไม่เดฟติดเนื้อ)
- รองเท้าหนัง
OK ไหมครับ

- เวลาเข้าห้องสัมภาษณ์ เราควรนั่งก่อนไหว้ หรือไหว้ก่อนนั่ง
- ตอนท้ายๆที่เค้าบอกมีอะไรจะถามมั๊ย เราควรถามอะไรดี

สัมภาษณ์งานครั้งแรก(ในชีวิต)ไม่ผ่าน ควรผิดหวังไหม?

ตอนนี้เรียนอยู่ ปี 4 เทอม 2 มีโอกาสได้เข้ามาฝึกงาน กทม ที่แบงค์แห่งนึง ที่ต้องใช้ภาษาจีน ระหว่างฝึกงานพี่ HR แนะนำให้ไป สัมภาษณ์งานของแบงค์นี้ แต่อีกสาขานึงที่อยู่ระยอง วันที่ไปสัมภาษณ์เตรียมคำพูดทีจะไปตอบ เกือบหน้าดระดาษ A4 ตอนสัมภาษณ์รู้ตัวว่าตื่นเต้น จนประหม่าลืมคำพูด>< จนตอนหลังรู้ตัวว่าพูด Eng เยอะกว่าจีนอีก เฟลมากกกเรารู้ว่ายังไง เปอร์เซ็นได้มันก็น้อย แต่ก็ยังแอบหวัง แต่พ่อกับแม่อ่ะหวังมากกว่าเราอีก -.- พอผลสัมภาษณ์ออกมาไม่ผ่าน เสียใจอยู่

สัมภาษณ์งานครั้งแรก pantip
แต่พี่ HR ให้กำลังใจเราดีมากๆ
รู้สึกว่าตัวเองพยายามไม่พอ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย…เสียใจที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง

ประสบการณ์ เป็นผู้สัมภาษณ์งานครั้งแรก เข้าใจเลยว่า การลงสนามจริงของเด็กจบใหม่ ทำไมมันถึงยาก

วันนี้เรามีโอกาสได้เป็นกรรมการสัมภาษณ์งาน เข้าใจเลยว่า ตอนเราจบใหม่ๆ ทำไมการหางานมันถึงยาก

โดยเฉพาะ เด็กที่เรียนอย่างเดียวไม่เคยทำกิจกรรมหรืองานอะไรเลยระหว่างเรียน ต่อให้จบเกียรตินิยมก็หายากอยู่ดี

เราเพิ่งรู้ว่า ในหนึ่งคนสัมภาษณ์ เขาต้องเจอคนที่มาด้วยจุดประสงค์เดียวกันจำนวนมาก ถ้าเราเป็นหนึ่งในนั้น เป็นคนธรรมดาไม่ได้แย่ หรือโดดเด่นอะไร เขาจะจำเราไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ยิ่งงานที่ไม่ใช่งานที่ต้องใช้วุฒิเฉพาะ ต่อให้เกรดดีแค่ไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเลยยยย ย้ำว่าเลยยยย

สิ่งที่เขาสนใจคือคุณเคยผ่านงานอะไรมาบ้าง หรือทำกิจกรรมอะไรตอนเรียน ที่เขาจะเอามาต่อยอดได้บ้าง ทัศนคติต่องานที่เคยทำเป็นอย่างไร การแต่งตัว มนุษย์สัมพันธ์ ความสุภาพ กาละเทศะ ไหวพริบ ความเร็วในการคิด การตอบคำถาม และเจาะลึกบ้างในงานหรือกิจกรรมที่คุณเคยทำแล้วมันตรงกับภาระงานที่เขาคิดจะให้คุณทำ

สิ่งที่แย่กว่ามากในการสัมภาษณ์คือ dead air มันแย่กว่าการที่คุณพูดไม่รู้เรื่องเสียอีก การที่เขาไม่มีอะไรจะถามคุณ หรือคุณไม่มีอะไรจะถามเขา มันบอกเป็นนัยๆแล้วว่าเขาไม่ได้สนใจคุณมากไปกว่าคนอื่น

การที่ไปสัมฯ แล้วไม่ได้งานคือไม่ใช่เราไม่ดีนะ แค่สิ่งที่คุณมีกะสิ่งที่เขาตามหามันยังไม่ตรงกัน พยายามตกผลึกความสามารถที่คุณมี นอกเหนือจากการเรียน สรุปออกมาให้ได้ ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆในความคิดคุณ แต่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหาก็ได้ มันมีอยู่แล้วบริษัทที่ตามหาคนแบบคุณ

แต่ถ้าหากเค้นแล้ว ยังไม่พบอะไรที่เราคิดว่าแตกต่างจากคนอื่น เรซูเม่สีสันสดใส พอร์ทที่มีรูปเยอะๆ ก็สามารถช่วยให้เขาสนใจเราได้เหมือนกัน 

เล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆให้อ่าน หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนหางานนะ

Ps. ฝากพ่อแม่ที่บอกลูกว่า ให้ตั้งใจเรียนอย่างเดียว ต้องหันกลับมาดูบ้างแล้วว่า โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เรียนดีไม่ใช่จะได้งานดีๆ เสมอไป ปล่อยลูกไปทำกิจกรรมหรือสิ่งที่ตัวเองรักบ้าง ปล่อยให้เข้าไปอยู่ร่วมกับสังคมอื่นๆบ้าง ของพวกนี้มันติดตัว มากว่าปริญญา หรือเกรด ช่วยได้มากกว่าการเป็นเด็กเรียนธรรมดาๆคนนึง

เพื่อนๆเคยมีประสบการณ์การสัมภาษณ์งานที่แย่ที่สุดในชีวิตมั้ยคะ มาแชร์ให้ฟังกันหน่อยค่ะ

วันนี้เราเพิ่งไปสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตมา

ผลปรากฏว่า เละ มากเลยค่ะ

เราเรียนจบ ป. ตรีมาได้ 2 ปีแล้ว (กำลังเรียนโทอยู่ แต่เป็นอีกคณะนึง) แล้ววันนี้ก็ตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานด้าน ป.ตรีที่เคยเรียนมา

เป็นการสัมภาษณ์ปากเปล่า เป็นเวลา 1 ชม. คนที่สัมภาษณ์เราก็ถามเราเกี่ยวกับทฤษฏีที่เคยเรียนตอน ป. ตรีมา และเป็นสิ่งที่จะต้องใช้ในงาน

เรากลับตอบเค้าแทบไม่ได้เลย (ทิ้งมานานเกิน)

เรารู้สึกแย่ โกรธตัวเองที่เราเตรียมตัวมาไม่ดี และก็อายแทบแทรกแผ่นดินที่เกรดออกมาก็ดูดี แต่กลับออกมาเป็นแบบนี้ (รู้สึกผิด T^T)

หมดความมั่นใจไปเลยจริงๆนะ 555 ตอนนี้คิดว่าคงต้องเอาหนังสือเรียน ป.ตรีออกมากางอ่านให้หมด แล้วค่อยหาญกล้าไปสมัครงานใหม่

แล้วเพื่อนๆล่ะคะ เคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์งานแย่ๆในชีวิตมั่งมั้ยคะ แล้วแก้ปัญหายังไงบ้าง แชร์กันหน่อยนะึคะ

เเชร์ประสบการณ์ "การสัมภาษณ์งานครั้งแรกของเด็กจบใหม่"

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเเชร์เรื่องราวเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานของเรา ให้เพื่อนๆได้ฟังกันค่ะ เเล้วก็มีทริคเล็กๆน้อยๆมาฝากเพื่อนๆกันด้วย บางคนอาจจะยังไม่รู้ ก็ได้รู้ไปเเล้วกัน 555 หรือบางคนอาจจะรู้เเล้วก็สามารถมาเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เลยนะคะ

สัมภาษณ์งานครั้งแรก pantip

ย้อนกลับไปเดือนกันยายน ปี 2562 ตอนนั้นเราโปรยเรซูเม่เเบบสะบัดช่อมากค่ะเว็บไซต์ไหนเปิดรับสมัครงาน เราโปรยหมดค่ะ ไม่รอช้า เเต่ส่วนมากที่เราโปรยเรซูเม่ไป จะเป็นงานเกี่ยวกับงานขายซะส่วนใหญ่

พอหลังจากโปรยเรซูเม่ไปได้ 2–3 เดือน (เริ่มตั้งเเต่เดือนมิถุนายน) ปรากฏว่า มีบริษัทโทรเข้ามาคุยค่ะ ซึ่งตอนนั้นเราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่างานที่เราสมัครไปเป็นของบริษัทอะไร เพราะตอนนั้น โปรยไปเยอะมากจริงๆค่ะ 555 (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะ ที่จริงควรจดไว้ทุกบริษัทที่เรายื่นไป)

เเต่ว่าเราก็ตอบตกลงไปเลยค่ะ ว่าสนใจไปสัมภาษณ์งานค่ะ ด้วยความที่เเบบดีใจมากอ่ะตอนนั้น เพราะว่าโปรยไปนานจริงๆกว่าจะมีบริษัทโทรเข้ามาเรียกตัวไปสัมภาษณ์ เเล้วหลังจากนั้น เราก็มานั่งเช็คทีหลัง ถึงรู้ว่าเป็นบริษัทอะไร สรุปก็คือ งานเซลล์ค่ะ

เเล้วก็พอเราตอบตกลงอะไรเรียบร้อย เค้าก็ขอไลน์เราไว้เพื่อติดต่อค่ะ เเล้วก็เผื่อมีข้อสงสัยอะไรจะได้ทักหาได้ทันทีเลย ส่วนเรื่องสถานที่ เวลา เค้าจะส่งอีเมล์มาคอนเฟิร์มอีกรอบค่ะ อีเมล์นี่สำคัญนะคะเพื่อนๆ ถ้าใครไม่มี รีบสมัครไว้เลยนะ

พอเราได้รับข้อมูลมาหมดทุกอย่างละ เราก็เตรียมตัวเลยค่ะ เเต่ประเด็น!! คือเรามีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงอาทิตย์ค่ะ เรารู้สึกวุ่นวายมากตอนนั้น เเล้วก็กังวลด้วยค่ะ มันรู้สึกกังวลไปหมดทุกอย่างเลยค่ะ

ไหนจะต้องเตรียม เสื้อผ้า รองเท้า เอกสาร เตรียมของจิปาถะต่างๆ พวกเเบบน้ำบ้วนปาก ทิชชู ของจุกจิกอ่ะค่ะ ที่เราคิดว่ามันสำคัญที่จะติดตัวไปด้วย เพราะเราก็ไม่รู้ว่า สถานที่ๆเราจะไปนั้น มีอะไรบ้าง ต้องเผื่อเตรียมพร้อมไว้ทุกสถานการณ์

เราจำได้ว่า ตอนนั้นเราไปหาซื้อรองเท้าคู่ใหม่ เป็นรองเท้าคัชชู เพราะปกติเราใส่รองเท้าผ้าใบค่ะ มันไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ สำหรับตำเเหน่งงานที่เราจะไปสัมภาษณ์ เเล้วก็รีบไปถ่ายรูป สำหรับสมัครงานด้วยค่ะ

เรื่องรูปนี่ส่วนมากเค้าจะใช้ 1 ครึ่ง-2 นิ้วนะคะ ถ่ายเป็นโหลไว้เลยก็ดีนะคะ เผื่อจะได้เอาไปสมัครงานที่อื่นต่อ

ส่วนเรื่องเอกสาร เราไปซื้อเเฟ้มเอกสารมาใส่เลยค่ะ ที่มันเป็นเเบบมีหลายๆช่องเป็นเเฟ้มบางๆ เเล้วก็ใส่เข้าไปในเเฟ้มใหญ่อีกที เพราะเเฟ้มบางมันใส่กล่องรูปหรือปากกา ดินสอไม่ได้ค่ะ

ถามว่าทำไมต้องเป๊ะขนาดนี้? เพราะว่าคนที่เรียกเราไปสัมภาษณ์ เค้าเเทบจะดูทุกกิริยาบถของเราเลยก็ว่าได้ ตั้งเเต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้า หน้าผม ดูว่าเราเตรียมตัวมายังไง เป็นคนยังไง ซึ่งภาพลักษณ์ มันสามารถบอกได้เลยนะคะว่าเราเป็นคน เรียบร้อย เอาใจใส่ หรือเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดไหน เเละอีกเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญกับมันมาก คือ เรื่องเวลา เพื่อนๆต้องรักษาเวลาให้ดีนะคะ เพราะว่ามันจะบอกเลยค่ะว่า เพื่อนๆเป็นคนตรงต่อเวลาขนาดไหน ควรเผื่อเวลาไปถึงอย่างน้อย 30 นาที

หรือถ้าเพื่อนๆเป็นคนไม่ค่อยรู้ทาง หรือดูเส้นทางไม่เก่ง ชอบหลงทิศ ก่อนหน้านั้นถ้ามีเวลาลองไปศึกษาเส้นทางดูก่อนนะคะ พอถึงวันจริงจะได้ไม่กังวล เเล้วก็ช่วยประหยัดเวลาเพื่อนๆด้วยค่ะ

เมื่อเราเตรียมของพวกนี้เสร็จเเล้ว หลังจากนั้นเราไปซ้อมพูดค่ะ ซ้อมพูดตั้งเเต่การเเนะนำตัวเอง พูดเกี่ยวกับว่าเรารู้จักบริษัทขนาดไหน เเล้วก็เตรียมตอบคำถามเรื่องการจะโดดนสัมภาษณ์ค่ะ

เเล้วควรจะพูดยังไงให้น่าฟัง พูดเเล้วดูไม่ตะกุกตะกัก ฟังเเล้วลื่นหู เเล้วก็ไปศึกษาเกี่ยวกับบริษัทว่าเค้ามีที่มา ที่ไป ยังไง

พอถึงวันจริง วันที่เราไปสัมภาษณ์ ตอนเเรกเราไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่นะ คือเฉยๆมากอ่ะ กินข้าวอะไรได้ปกติ กินเยอะด้วย 555 เเล้วเข้าห้องน้ำ บ้วนปากทำอะไรให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้นไปห้องสัมภาษณ์

อ่อ!! เเล้วก็เรื่องกลิ่น สำหรับเราคิดว่ามันสำคัญมากๆเลยนะคะ 😉

เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้ว เราก็ไปที่ห้องสัมภาษณ์เลยค่ะ เเล้วเราก็เดินไปบอกที่เคาน์เตอร์ว่ามาสัมภาษณ์งานค่ะ แล้วจากนั้นเค้าให้เรากรอกใบสมัคร เเล้วก็มีการ Test นิดหน่อย เกี่ยวกับภาษา เเละพิมพ์ดีดค่ะ

เมื่อส่งเอกสารที่กรอกไป เเล้วก็ Test ไปเเล้ว เราก็นั่งรอสัมภาษณ์ เท่านั้นเเหละ จังหวะที่เรานั่งรอสัมภาษณ์ หัวใจเหมือนจะระเบิดอออกมาเลยครับโผมมมมม🤪เเล้วเเถมเป็นคนเเรกอีกที่ได้สัมภาษณ์ เพราะเรากรอกใบสมัคร เเล้วก็ Test เสร็จเป็นคนเเรกค่ะ เรียบร้อยเลยยย 555
เรานั่งทำสมาธิอย่างเดียวเลยค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ว่า กังวลว่าจะพูดยังไง จะทำได้ไหม เเล้วถ้าเข้าไปข้างในเเล้วเกิดพูดตะกุกตะกักขึ้นมาจะทำยังไง กังวลไปหมดซะทุกอย่างเลยค่ะ

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเข้าไปในห้อง เราก็ทักทายสวัสดีพี่เค้า เค้าก็คุยปกติเลยค่ะ พี่เค้าบอกว่า โทษทีนะ รอนานไหม? เพราะเราเข้ามานั่งรอในห้องก่อน ก่อนที่ พี่เค้าจะมาค่ะ คุยปกติเลย เเล้วเราก็รู้สึกว่าผ่อนคลายขึ้นมาบ้างนิดนึง เพราะพี่เค้าดูใจดี เเต่เราก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีนะ 555

พอเราทักทายกันเสร็จเเล้ว พี่ hr เค้าก็เริ่มเลยจ้าา “ไหนเเนะนำตัวเองให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” นึกว่าคนละคนก่อนหน้านี้เลยค่ะ
เราก็พูดเเบบตอนที่เราเตรียมมาเลยค่ะ เค้าก็ถามไปเรื่อยๆ เราก็ยังตอบได้อยู่ เเต่พอมาถึงคำถามสุดท้าย

พี่เค้าบอกเราว่า “ลองสาธิตการขายให้พี่ดูหน่อย จะขายอะไรก็ได้ ” เท่านั้นเเหละ เราไปไม่เป็นเลยค่ะ เราค้างไปสักพักนึงเลย จนพี่เค้าบอกว่า เอาเท่าที่ได้เลยค่ะ เตรียมตัวมายังไงเอายังไงงั้นเลยค่ะ เเต่ความจริงคือ เราไม่ได้เรียมตัวมา เราเลยด้นสดเลยค่ะ เเล้วก็เป็นอันจบการสัมภาษณ์งานค่ะ

สรุปคือ เราไม่ผ่านค่ะ สัมภาษณ์เสร็จปุ๊ป รู้ผลปั๊ปเลยค่ะ เเต่เราคิดในใจไว้เเล้วเเหละว่า ไม่ผ่านเเน่นอน เเล้วก็ไม่ผ่านจริงๆค่ะ

ซึ่งทางพี่ hr เค้าพูดกับเราประโยคเเรกเลยว่า “ยังไม่เคยสัมภาษณ์งานเลยใช่ไหม ที่นี่เป็นที่เเรกเลยใช่ไหมที่มาสัมภาษณ์”

เราก็ตอบเค้าไปว่า “ใช่ค่ะ หนูมาที่นี่เป็นที่เเรกค่ะ หลังจากเรียนจบ” เค้าดูออกเลยว่าเราตื่นเต้นมาก พี่เค้าบอกว่า เข้าใจนะ มันยังใหม่อยู่ เลยไม่มีประสบการณ์มากนัก

เค้าขอบคุณเราด้วยซ้ำว่ายอมมาสัมภาษณ์งานกับเค้าเป็นที่เเรก เเล้วเค้ายังชวนเรามาอีกรอบด้วย ถ้าพร้อมมากกว่านี้เเล้ว ก็กลับมาสมัครใหม่นะ

ไม่ใช่เเค่นั้นนะเพื่อนๆ เค้าบอกเราเลยว่า เรามีข้อผิดพลาดตรงไหนที่สัมภาษณ์ไป เเล้วก็สอนเกี่ยวกับขั้นตอนการขายให้เราฟังด้วย

ซึ่งเราจะบอกเพื่อนๆว่า คนที่เป็น hr ที่ดีควรเป็นเเบบนี้เเหละค่ะ เหมือนที่เราเจอไม่ใช่เเค่บอกว่า ไม่ผ่าน เเล้วก็จบๆไป เเต่ hr ที่ดี ควรจะเเนะนำด้วยว่า คุณผิดพลาดตรงไหน ควรเเก้เรื่องอะไร

อารมณ์เหมือนเเบบ เพื่อนๆโดนไล่ออกจากงาน เเล้วทางบริษัทไม่ได้บอกเหตุผลว่า ไล่ออกเพราะอะไร เพราะบางทีใครจะไปรู้ว่า เค้าไล่คุณออกเพราะอาจจะเเค่ไม่ชอบคุณก็ได้ มันเลยจะทำให้รู้สึกไม่โปร่งใส

เเต่ถ้ามองกลับกัน คุณรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณโดนไล่ออก คุณก็จะเข้าใจมันมากขึ้นว่า เพราะอะไร เราทำอะไรผิด หรือความผิดพลาของเรามันคือตรงไหน เราจะได้พัฒนามันต่อไป

อ่ะ กลับมาที่เรื่องของเราต่อนะ 555 อย่างของเราที่เจอเรื่องข้อผิดพลาดที่เราควรปรับปรุง คือ

  1. เรื่องน้ำเสียง น้ำเสียงเราไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ เค้าบอกว่าควรจะหวานกว่านี้หน่อย เสียงเราค่อนข้างเเข็งไปนิดนึง ได้ยินเเล้วไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่
2. เราไม่ได้พูดปิดการขาย ซึ่งเราไม่ได้เข้าใจมันอย่างถ่องเเท้เลยว่า การขายควรมีอะไรบ้าง หรือมีขั้นตอน เทคนิค ในการพูดยังไง
3. พอพูดเเล้วดูเราไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่

ทั้งหมดนี้ มันคือข้อผิดพลาดของเราค่ะ ที่พี่เค้าอธิบายให้ฟังว่า ทำไมเราถึงไม่ผ่าน ซึ่งทั้งหมดที่ว่านั้น มันคือ หัวใจหลักของการเป็นนักขาย

อ่อออ !! เเล้วก็ที่พี่ hr ไม่ให้เราผ่านอีกเรื่องก็คือ เราต้องไปเจอคนอื่นสัมภาษณ์อีก ไม่ใช่เเค่พี่เค้า เพราะคนที่เราต้องเจอคือ ผู้จัดการ เเล้วหลังจากนั้นจะเป็น ประธานบริษัท

พี่เค้าเลยไม่ให้เราไปต่อ เพราะขืนปล่อยเเบบนี้ไปต่อล่ะก็ เราไม่รอดเเน่นอนค่ะ ไม่ต้องคิดถึงคำถามที่ ผู้จัดการ เเละประธานบริษัทจะถามเลยนะคะ น่าจะหนักหน่วงกว่าพี่ hr คนนี้เเน่นอน 555

เรารู้สึกโอเคนะที่มีคนบอกให้เรารู้ว่า เราทำผิดพลาดตรงไหน เพราะว่าเราจะได้เเก้ไขให้มันดีกว่าเดิม พอเรากับพี่เค้าคุยกันเสร็จ เราก็กลับบ้านค่ะ


จบเเล้วค่าาา สำหรับประสบการณ์ครั้งเเรกของเรา หวังว่าเพื่อนๆคงจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปนะคะ

ถ้าถามว่าเรารู้สึกเฟลไหม? ตอบเลยว่า เราเฟลค่ะ เราเจ็บใจที่ตัวเองไม่รอบคอบค่ะ เเต่ก็ไม่ได้เฟลจนรู้สึกว่า ไม่อยากจะไปหาสมัครงานใหม่ หรือไม่อยากเจอสัมภาษณ์เเล้ว

เเต่เรามองเเบบนี้ค่ะ เราคิดว่ามันเป็นครั้งเเรกของเรา เเล้วอีกอย่างมันไม่ได้มีเเค่ครั้งเดียว เเต่มันยังมีเรื่อยๆ ถ้าเราขยันหาสมัครงานนะ เราคิดว่า เก็บไว้เป็นประสบการณ์ในครั้งต่อไป เเล้วลองไปสมัครงานที่ใหม่ ทำให้ดีขึ้นกว่าครั้งเเรก

เอาข้อผิดพลาดต่างๆมาวางเเผนกันใหม่ เเล้วพัฒนาให้มันดีขึ้นไปอีกขั้น ล้มเเล้วลุกใหม่ เเก้มันให้ไว ปรับปรุงให้มันเร็วขึ้น เเล้วเพื่อนๆจะพัฒนาขึ้นค่ะ
เเละที่สำคัญที่สุด เพื่อนๆต้องรู้จักให้อภัยตัวเองนะคะ มันไม่มีใครที่จะสมบูรณ์เเบบไปหมดซะทุกเรื่อง เราควรทำเรื่องที่เราเป็นจุดเเข็งให้มันดีขึ้น เพื่อที่เราจะได้มีอาวุธไว้คอยต่อกรกับงานในยุคปัจจุบันนี้ค่ะ

ขอให้ทุกคนสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สำหรับวันนี้ไปก่อนนะคะ เเล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ😁