การจ้างงานผู้สูงอายุ ลดหย่อนภาษี

นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาในการดำเนินกิจการต่อผู้ประกอบการ กรมสรรพากรจึงได้มีมาตรการ ขยายระยะเวลาการบันทึกแจ้งข้อมูลการใช้สิทธิหักรายจ่าย 2 เท่า จากการจ้างงานผู้มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งต้องมีการแจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีภายใน 150 วัน ที่มีวันสุดท้ายของการแจ้งข้อมูลจ้างงานผู้สูงอายุภายในหรือหลังวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึง 31 สิงหาคม 2563 โดยขยายเวลาให้บันทึกแจ้งข้อมูลการจ้างงานถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th > บริการอิเล็กทรอนิกส์ > ระบบแจ้งการใช้สิทธิจ้างงานผู้สูงอายุ เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี เงินได้นิติบุคคล

โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสรรพากรได้ออกมาตรการส่งเสริมและสนับสนุน การจ้างงานผู้สูงอายุที่ให้สิทธิบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งนายจ้างสามารถจ้างผู้สูงอายุได้ไม่เกิน 10% ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด ซึ่งในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2561 ที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดการจ้างงานผู้สูงอายุ และก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้สูงอายุสูงถึงกว่า 287 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการที่จ้างงานผู้สูงอายุนอกจากจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการใช้สิทธิหักรายจ่ายได้ 2 เท่าอีกด้วย

ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161

ผู้สูงอายุย่อมเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพการทำงาน ผู้ประกอบการสามารถจ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นลูกจ้างได้ ที่สำคัญยังสามารถหักรายจ่ายภาษีได้ถึง 2 เท่าด้วยนะครับ เงื่อนไขก็ไม่ยาก มีเพียง 4 ข้อดังนี้ครับ

1. ผู้สูงอายุต้องเป็นคนสัญชาติไทย และมีอายุ 60 ปีขึ้นไปครับ

2. เป็นลูกจ้างของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางานครับ

3. ไม่เป็น และไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้นของบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ที่จ้างผู้สูงอายุรายนั้นๆครับ

4. กรณีผู้สูงอายุทำงานในบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่งในเวลาเดียวกัน จะได้รับสิทธิหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เฉพาะบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนแรกที่รับผู้สูงอายุเข้าทำงานครับ

ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็น “สังคมสูงวัย” จึงมีมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานภาคเอกชนจ้างแรงงานผู้สูงอายุเข้าทำงาน

เงื่อนไขการใช้สิทธิ
1.ผู้สูงอายุสัญชาตไทยมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
2.ต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น (แรงงงานต่างด้าวจึงไม่สามารถใช้สิทธิได้)
3.เป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน
4.ไม่เป็นและไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างผู้สูงอายุเข้าทำงาน หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
5.กรณีผู้สูงอายุทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่งในเวลาเดียวกันให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่รับผู้สุงอายุเข้าทำงานก่อนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้

“นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นการสร้างงานให้แก่ผู้สูงอายุที่มากความสามารถและยังคงมีกำลังกายที่สามารถทำงานให้แก่ผู้ประกอบการด้วย”

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี
– ลูกจ้างผู้สูงอายุต้องทำงานเต็มเดือน ตามเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) เนื่องจากการจ้างแรงงาน
– นายจ้างสามารถจ้างได้ไม่เกิน 10 % ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด
– ค่าจ้างไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
– บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้สูงอายุ

ต้องจัดทำรายงานและแจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุดังนี้
– จัดทำรายงานเกี่ยวกับการจ้างผู้สูงอายุและเก็บรักษารายงาน ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
– แจ้งข้อมูลของลูกจ้างผู้สูงอายุ ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ภายใน 150 วัน ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร

SMEs ที่มีการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปสามารถนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้ผู้สูงอายุมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ 2 เท่าตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขใด


รายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุ คือ เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์ที่ผู้จ่ายออกแทนให้เนื่องจากการจ้างแรงงานซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) เงินที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ไม่รวมรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามที่กฎหมายกำหนดขึ้นโดยเฉพาะ เช่น เงินที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม กองทุนส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น


เงื่อนไขตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ

  • เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

  • จ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์

  • ผู้สูงอายุเป็นลูกจ้างของบริษัทอยู่ก่อนแล้วหรือขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน

  • เป็นรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานผู้สูงอายุเฉพาะรายที่ไม่เกิน 15,000 บาท

  • จำนวนผู้สูงอายุที่สามารถใช้สิทธิได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10% ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมดที่ทำงานเต็มเดือนในประเทศไทยในแต่ละเดือน

  • ต้องไม่เป็นและไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้างหรือบริษัทในเครือ

  • ถ้าผู้สูงอายุทำงานหลายแห่งให้บริษัทที่รับทำงานก่อนได้รับสิทธิ

  • ใช้สิทธิได้ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชี ที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

กรณีขอใช้สิทธิต้องปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้

  1. จัดทำรายงานเกี่ยวกับการจ้างผู้สูงอายุที่จะนำมาใช้สิทธิ

  2. แจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุซึ่งจะนำมาใช้สิทธิผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี