ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2564 ยังคงมีการเติบโตเล็กน้อยที่ 0.3% เนื่องจากเศรษฐกิจหรือจีดีพีของประเทศไทยมีการขยายตัวต่ำ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์จีดีพีปี 2564 อยู่ที่ 0.7% เท่านั้น จากผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีแล้ว “ในปี 2565 เชื่อว่าตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะกลับมาโตได้ 3-4% จากกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะจากภาคท่องเที่ยวถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักหน่อย รวมถึงการส่งออกที่ไม่ติดขัด การจ้างงานที่เริ่มคืนกลับมา แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูภาพรวมสถานการณ์ของโควิด-19 ด้วย และคงจะต้องเฝ้าระวังดูสถานการณ์กันแบบรายไตรมาสกันไป” สำหรับทิศทางของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านประจำปี 2565 ที่จะมาถึงนั้น มองว่าเป็นโอกาสของทุกกลุ่มสินค้าที่จะกลับมาโตทั้งหมด แต่ที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าในช่วงเวลาไหนเท่านั้นเอง ส่วนสถานการณ์การแข่งขันของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในปี 2565 มั่นใจว่าจะมีการแข่งขันทางด้านราคาลดน้อยลง หรือทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม กันน้อยลง เพราะต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของซัปพลายเชน วัตถุดิบ และโดยเฉพาะค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงมองว่าในปี 2565 การแข่งขันของแต่ละแบรนด์จะมุ่งไปในเรื่องของการเพิ่มแวลู แอด หรือการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ยกระดับราคาสินค้าให้สูงขึ้นเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ทำให้บริษัทต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และมีความยืดหยุ่น เพิ่มความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัว พลิกแพลงกลยุทธ์การทำตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนช่องทางการจำหน่ายต้องบุกหนักออนไลน์หรือ e-commerce มากขึ้น
ด้านนายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า ในปี 2565 บริษัทพร้อมใช้งบตลาด 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เทียบกับปี 2564 โดยจะเน้นออกสินค้าใหม่รวมกว่า 40-50 SKU ภายใต้แผนการทำตลาดที่จะมุ่งนำเสนอสินค้าใหม่ เพิ่มไลน์สินค้ากลุ่ม Smart Home และสินค้ารุ่นไฮเอนด์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ตอบโจทย์ Smart Life และ Self-Care ทำให้ผู้บริโภคสะดวกสบายมากขึ้น เช่น อีโคซิสเต็มของ Smart Home รองรับฟังก์ชันการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant และ Alexa เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังเป็นปีแห่งการพลิกโฉมแบรนด์ให้เป็นระดับพรีเมียมและลักชัวรีมากขึ้น ทั้งหมดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายวงกว้าง จากเจเนอเรชันเอ็กซ์ และเจเนอเรชันวาย ขยายไปสู่คนรุ่นใหม่ และกลุ่มเจเนอเรชันซีนั่นเอง
ดังนั้น แผนการดำเนินงานในปีนี้จะเน้นเคลียร์สินค้าเก่ามากกว่าส่งสินค้าใหม่ลงตลาด เพราะสินค้าใหม่จะต้องทำโปรโมชันการขาย ในช่วงแรกอาจจะไม่คุ้ม ที่สำคัญจะเน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น จากปัจจุบันยอดขายออนไลน์มีสัดส่วนไม่ถึง 3% ของยอดขายรวม เชื่อว่าในปี 2565 ยอดขายออนไลน์จะเติบโตขึ้น 5 เท่า อย่างไรก็ตาม Beko ได้มีการปรับแผนการดำเนินงานมาตั้งแต่ในไตรมาสสี่ปี 2564 ที่ผ่านมา โดยจะเน้นช่องทางขาย เพิ่มชอป รวมถึงออนไลน์ ภายใต้แผนการทำตลาดที่จะเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงผู้บริโภคครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านห้างสรรพสินค้าและดีลเลอร์ทั่วประเทศไทย และ Beko Online Official Store กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ Lazada และ Shopee สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคปัจจุบันที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19
สำหรับ Beko เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 จากฝั่งยุโรป ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา 85% ของยอดขายสินค้ากลุ่มพรีเมียมของ Beko ขับเคลื่อนด้วยสินค้าฮีโร่ 3 ชนิด ได้แก่ ตู้เย็น 40% เครื่องซักผ้า 30% และเครื่องปรับอากาศ 15% และมีทิศทางที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Beko พร้อมเปิดตัวเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่นใหม่ Beko AquaTechTM ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในกลุ่มคนเมือง ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Beko ‘Live Like a Pro’ ที่มุ่งยกระดับสุขภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนให้แก่คนไทย ด้วยกลยุทธ์แบรนด์สู่การเป็นโซลูชันเพื่อสุขภาพชีวิตที่ดีกว่า “จากการที่บริษัทได้เห็นถึงเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่มีความหลากหลายและเห็นถึงศักยภาพของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ Beko สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเข้ามาเติมเต็มความต้องการ และมอบความสุขให้แก่ผู้บริโภค พร้อมตอบโจทย์การยกระดับสุขภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนของคนไทยตามวิสัยทัศน์ของแบรนด์ ซึ่งบริษัทตั้งใจที่จะส่งมอบสินค้าและบริการเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนยิ่งขึ้นต่อไป” นายพรชัยกล่าว
|