09 Aug
โดย รศ.ดร. ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ ในเมื่อคนเรามีความแตกต่างหลากหลาย สังคมประชาธิปไตยควรมีหน้าตาแบบไหนจึงจะทำให้เราอยู่ต่อไปด้วยกันได้? อคติในสังคมทำให้เราให้คุณค่าของ
“ความแตกต่าง” ไม่เท่ากัน เราอดทนอดกลั้นกับความแตกต่างไม่ได้ และผลักให้คนที่คิดต่างและไม่เหมือนเราอยู่ในขั้วตรงข้ามเสมอ การตีตราประณาม กีดกัน และบังคับให้เกิดการหลอมรวมนำมาซึ่งความทุกข์ ความรุนแรงและความแตกแยกในสังคม ยกตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมในโรงเรียนที่เน้นการบังคับหลอมรวมให้นักเรียนทุกคนมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ความกดดันเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโรงเรียน ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นและยอมรับความแตกต่างที่แต่ละปัจเจกบุคคลพึงมีได้ ประชาธิปไตยในลักษณะการยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก 1คน1เสียง
ใช้ระบบตัวแทน และเน้นการเลือกตั้ง อาจไม่ได้เป็นทางออกเสมอไป ประชาธิปไตยลักษณะนี้อาจตายไปแล้ว เพราะในที่สุดแล้ววิธีและระบบการเลือกตั้งทำให้เกิดช่องโหว่ ก่อให้เกิดปัญหาว่าด้วยเรื่องเสียงข้างมาก (adversarial democracy) สร้างความรู้สึกความเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ และภาวะความเป็นศัตรูกัน หากกล่าวถึง ประชาธิปไตยในฐานะวิถีชีวิต คือการร่วมกันคิด ให้เหตุผล ชักจูงโน้มน้าว เคารพซึ่งกันแลกัน การพยายามหาจุดที่ทุกฝ่ายรับได้ และที่สำคัญคือการมีความอดทนอดกลั้น
เป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างหลากหลาย สังคมที่ให้ค่านิยมกับเสรีภาพนั้นต้องมีความอดทนอดกลั้นอยู่คู่กันด้วย ความอดทนอดกลั้นจะเป็นหลักประกันที่ช่วยให้เราอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายได้มากขึ้น มากไปกว่านั้น เราควรสำรวจความคิดและการกระทำของเราอยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังรักษาฐานของการให้คุณค่าที่ไม่เท่าเทียมกันไว้อยู่ด้วยหรือไม่? เรากำลังหล่อเลี้ยงความเหลื่อมล้ำบางประการอยู่หรือไม่? หากเราสามารถให้คุณค่าประชาธิปไตยในฐานะวิถีชีวิตเช่นนี้ได้
มองเห็นคุณค่าของกันและกันจากทั้งมิติของความเหมือนและความต่าง เราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขมากขึ้น ดาวน์โหลด pdf จดบันทึกแบบภาพ โดย ชลิพา จาก Inskru -พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน จดบันทึกโดย นพวรรณ เลิศธารากุล ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีหลากหลายวัฒนธรรมและใช้หลายภาษา (พหุภาษา) แต่ ‘คิดว่าตัวเองเป็นสังคมภาษาเดียว’ จากความพยายามในการสร้าง ‘ชาติ’ และวัฒนธรรม ‘ไทย’ เพื่อรวมคนทั้งประเทศด้วยแนวคิดชาตินิยม ความหลากหลายในยุคนั้นจึงถูกมองเป็นภัยคุกคามประเทศ ผู้มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์จำนวนหนึ่งจึงได้มีความพยายามที่จะหลอมตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมทางการเพื่อให้ได้การยอมรับจากสังคมภายนอก ซึ่งนอกจากจะทำให้คนรุ่นหลังพูดและแสดงออกทางวัฒนธรรมน้อยลงแล้ว ยังส่งผลให้ความคิดและโลกทัศน์ ภูมิปัญญา อย่างดนตรี ภาษาเขียน การแต่งกาย เรื่องเล่า นิทาน องค์ความรู้ สูตรอาหาร หายไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการเรียกร้องให้ให้รัฐเคารพอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการแสดงออก รวมถึงให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สามารถกำหนดวิถีชีวิตตนเอง อย่างไรก็ดีอคติทางสังคมยังคงอยู่ และกลายเป็นช่องว่างระหว่างผู้ที่มีวัฒนธรรมย่อย กับ ‘คนไทย’ ยกตัวอย่าง การที่รัฐไม่ยอมรับว่าคนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นคนของรัฐด้วยการไม่ให้สัญชาติ ซึ่งส่งผลให้พวกเขาเสี่ยงถูกละเมิดสิทธิ์ (ถูกไล่ที่อยู่ที่ทำกิน) และมักถูกละเลยจากกระบวนการการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำปะปา การบริการสาธารณะ การศึกษา การบริการทางการแพทย์ และมากกว่านั้น หนำซ้ำ ยังถูกผลิตซ้ำภาพจำของการ ‘เป็นอื่น’ เป็นผู้อพยพ ผู้ร้าย (เผาป่า ค้ายา) คนด้อยโอกาส และไร้การศึกษา ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและความรู้สึกของผู้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยตรง ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาเรามีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 70 กว่ากลุ่มที่อยู่ในพื้นที่หรือย้ายเข้ามาก่อนการแบ่งเขตแดน หรือก่อนการเป็นประเทศไทยในทุกวันนี้ ส่วนภาษาที่ใช้ในประเทศไทยก็มีถึง 72 กลุ่มภาษา เป็นอย่างต่ำ ซึ่งมีตั้งแต่ภาษาที่มีจำนวนผู้พูดหลักร้อย เช่น ภาษาบีซู (เชียงราย) ภาษากว๋อง (ผู้อพยพชาวจีน) และภาษาชอง (จันทบุรี ตราด) ไปจนถึงหลักแสน เช่น ภาษามลายูถิ่น (ชายแดนภาคใต้) ภาษาเขมรถิ่นไทย (ศรีสะเกษและชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-กัมพูชา) ภาษากะเหรี่ยง (กระจายอยู่ทั่วประเทศ) และภาษาม้ง (เชียงราย แม่ฮ่องสอน และแถบภาคเหนือตอนบน) และหลักล้าน ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นตามภาคต่างๆ และภาษาไทยราชการ เนื่องจากภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้เชื่อมคนเข้ากับสังคมและการเรียนรู้ คนที่พูดได้มากกว่าหนึ่งภาษาจะใช้ภาษาต่างๆ ในบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ภาษาท้องถิ่นในครอบครัว/ชุมชน ใช้ภาษาท้องถิ่นแต่ละภูมิภาคเพื่อติดต่อและค้าขาย และใช้ภาษาไทยราชการเพื่อทำงานติดต่อกับคนนอกพื้นที่และเรียนหนังสือ บ้าน บ้านเป็นกลุ่มสังคมแรกที่เราเข้าไปอยู่ นอกจากบ้านจะปฏิบัติและพูดภาษาตามรากเหง้าตัวเองแล้ว แต่ละครอบครัวมีวัฒนธรรมย่อยในบ้านอีกที ไม่ว่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ระดับความเคร่งครัดของการปฏิบัติตามธรรม ไลฟ์สไตล์ การส่งเสริมคนในบ้านตามคุณค่าที่ยึดถือ บางบ้านสอนลูกฟังและพูดภาษาแม่ (ภาษาแรกที่เราเรียนรู้มักถูกสอนโดยแม่) บางบ้านสอนให้ใช้ภาษากลางเป็นภาษาแรก ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในบ้านเป็นผู้นำ ภาพจาก UNICEF – รายงานโครงการจัดการศึกษาแบบทวิ–พหุภาษา (ภาษาไทย–มลายูถิ่น) จากปัญหาการลดการแสดงออกทางวัฒนธรรมท้องถิ่น และผลกระทบจากกระแสโลกผ่านอินเทอร์เน็ต เศรษฐกิจ ค่านิยมด้านวัฒนธรรมสมัยใหม่ของสังคมและการเมืองทำให้มรดกทางวัฒนธรรมหลายอย่างหายไป ยกตัวอย่างเรื่องการใช้ภาษาถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียนจึงไม่มีการเก็บบันทึกและสืบทอดอย่างเป็นระบบและหลักฐาน และมีผู้พูดเพียงร้อยคนจึงยากที่จะรักษาไว้ มีกลุ่มภาษาอย่างน้อย 25 จาก 72 กลุ่มตกอยู่ในภาวะวิกฤติใกล้สูญหาย โรงเรียน ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจึงเริ่มเกิดขี้นกับนักเรียนชาติพันธุ์ในโรงเรียน เพราะเด็กที่พูดภาษาถิ่นเป็นภาษาแรกนั้นมีอุปสรรคในการสื่อสาร ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ครูพูดและบทเรียนได้ เมื่อสอบออกมาก็ได้คะแนนน้อย และในกรณีเรียนรวมกับเด็กกลุ่มที่พูดภาษาไทยหรือภาษาท้องที่เป็นภาษาแม่ เด็กชาติพันธุ์ก็มักจะต้องต่อสู้กับการถูกล้อเลียนเรื่องสำเนียง การใช้คำมากกว่าเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้เด็กเกิดความทุกข์ ไม่สนุกกับการเรียน และไม่อยากไปโรงเรียน ขาดเรียนบ่อย และอาจออกกลางคันในที่สุด ที่ทำงาน/ชุมชน/สังคม นอกจากอคติที่ทำให้พวกเขาเป็นอื่นในสังคมและไม่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการอย่างเท่าเทียมแล้ว กลุ่มผู้มีวัฒนธรรมหลากหลายยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะไม่มีรายได้และที่ทำกิน ย้อนกลับไป พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าหรือแหล่งธรรมชาติทำให้อาชีพดั้งเดิมของพวกเขาเป็นการทำเกษตรหรือทำประมงเป็นหลัก แต่ในปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและมีการห้ามไม่ให้อาศัยหรือทำมาหากินในพื้นที่ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนหนึ่งถูกสั่งย้ายถิ่นฐาน ซึ่งทำให้วิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยน อาจปรับตัวกับชุมชนใหม่ไม่ทันและไม่สามารถตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ เกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ ตามข่าว การเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในหารายได้ แต่งานส่วนใหญ่ที่คนชาติพันธุ์ทำมักจะเป็นงานแรงงาน หาเช้ากินค่ำมากกว่างานในระดับสูงที่ได้ค่าตอบแทนมากกว่าและมั่นคงกว่า รวมไปจนถึงทำงานผิดกฎหมาย (เช่น เด็กไร้สัญชาติออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อไปทำงานบ่อนการพนัน เนื่องจากได้ค่าแรงมากกว่ารอเรียนจนจบมัธยมด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เรียนจบสูง ออกไปทำงานก็ถูกกดค่าแรงอยู่ดี) Interesting Facts
Challenges!
Our favorite projects to bridge the gapHear & Found เข้าใจกันผ่านดนตรี ขอบคุณภาพจาก Facebook Page: Hear & Found เมและรักษ์ทำงานกับชุมชนและบ่อยครั้ง พบว่าดนตรีถิ่นนั้นมีความเฉพาะตัวสูง มีเครื่องเล่นดนตรีและเสียงที่แปลกและเพราะ แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ ทั้งจากคนนอกชุมชนและคนในชุมชน อีกทั้งพวกเธอยังพบว่าคนชาติพันธุ์ถูกเข้าใจผิด จากภาพจำผิดๆ และภาพจำเหล่านั้นมีผลกับวิถีชีวิต ความรู้สึก สิทธิ์ที่พวกเขาควรจะได้รับ ซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรมหลากหลายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พวกเธอพบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เชื่อมคนเข้าหากันได้ และด้วย background ที่เรียนด้านดนตรีและการสื่อสาร พวกเธอจึงก่อตั้ง Hear & Found เพื่อสร้างพื้นที่ให้คนเข้าใจกันผ่านดนตรี เริ่มจากการทดลองจัดคอนเสิร์ตให้คนเมืองมาฟังดนตรีและเรื่องเล่าจากศิลปินโดยตรง ลบล้างความเชื่อผิดๆ ที่มีเกี่ยวกับชาติพันธุ์นั้นๆ และยังได้สนับสนุนรายได้ให้กับนักดนตรีด้วย ปัจจุบัน Hear & Found กำลังทำ Music Library เพื่อเป็นศูนย์รวมดนตรีถิ่นและเสียงธรรมชาติให้คนทั่วโลกได้ฟังและหยิบไปใช้ต่อยอดในงานของตัวเอง โดยที่ให้ค่าลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมแก่เจ้าของดนตรี ซึ่งในกระบวนการเก็บเสียงดนตรีและที่มาที่ไปนั้น พวกเธอก็ได้ช่วยถอดตัวโน้ตให้ดนตรีถิ่นที่มักจะถูกสอนโดยไม่มีโน้ต ได้เทียบกับหลักดนตรีสากล เป็นการเก็บรักษาวัฒนธรรมไม่ให้สูญหายไปอย่างน่าเสียดาย โครงการฝึกอบรมล่ามเพื่อให้บริการกับคนชาติพันธุ์ ขอบคุณภาพจาก The Cloud วิวัฒน์ ตามี่ ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นคนชนเผ่าที่ทำงานกับกลุ่มคนชนเผ่า ทำให้เห็นชนกลุ่มน้อยถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบโดยตลอด รวมถึงการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ด้วยปัญหาด้านการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูดกันคนละภาษา หรือความพยายามที่จะการสื่อสารแต่เกิดความผิดพลาด ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เกือบ 5 แสนคน ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล โครงการฝึกอบรมล่ามจึงเกิดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ชาวเผ่าและคนชายขอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ให้ได้รับบริการที่เท่าเทียมกับบุคคลผู้ถือสัญชาติไทย ปัจจุบันโครงการล่ามชนเผ่าทำงานกับ 4 กลุ่มชนเผ่าใหญ่ๆ ได้แก่ ลีซู ลาหู่ กะเหรี่ยง และไทใหญ่ โดยการอบรมล่ามนั้นมีความเข้มข้นเพราะต้องเรียนรู้คำศัพท์และเสริมความรู้ทางการแพทย์เชิงเทคนิคหรือองค์ความรู้ที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษด้วย อ่านเพิ่มเติม
สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ TK DreamMakers เพื่อทำความเข้าใจประเด็นนี้ในชุมชนและพื้นที่ของตนเอง การยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม คืออะไร3.2 การยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรม หมายถึง การที่ครูยอมรับและปรับเปลี่ยน ความคิดของตนให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมที่ประสบ ประกอบด้วย การปรับแนวคิดของตนตามบริบททาง วัฒนธรรมได้ มองเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นๆ และความพร้อมจะรับค่านิยมใหม่ๆที่ไม่ขัดแย้งกับค่านิยมไทย 4. ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ระดับพฤติกรรมของครูในการ ...
มีวิธีการยอมรับในสังคมและวัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างไร- สังเกตทัศนคติของตนเองอยู่เสมอพยายามอย่าใช้ทัศนคติแบบเหมารวม รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นในเรื่องการเคารพความแตกต่างหลากหลายในสังคม - ระลึกอยู่เสมอว่าลูกคอยฟังสิ่งที่คุณพูดอยู่เสมอ แม้ว่าคุณไม่ได้พูดกับเขาก็ตาม ระวังถ้อยคำและน้ำเสียงที่คุณใช้พูดถึงคนที่แตกต่าง ไม่ควรล้อเลียนภาพลักษณ์ของคนอื่น
ความตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมหมายถึงอะไรความเข้าใจความแตกต่างทาง วัฒนธรรม (Culture Awareness) คือ การตระหนักรู้เข้าใจและยอมรับ ความแตกต่างที่หลากหลาย ทั้งการ เลี้ยงดูจากครอบครัว สังคม และ วัฒนธรรม ท าให้สามารถตอบสนอง ต่อการท างาน และพัฒนาความ สัมพันธ์กับคนในองค์กรได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
การยอมรับความแตกต่างคืออะไรการยอมรับความแตกต่าง (Inclusion) หมายความว่า การให้คุณค่าและการยอมรับต่อความ แตกต่างของบุคคล
|