การวางแผนการตั้งครรภ์ เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดได้ล่วงหน้า โดยเริ่มตั้งแต่การตรวจสุขภาพของทั้งสองฝ่ายก่อนตั้งครรภ์ หากคุณพ่อคุณแม่แข็งแรงและมีสุขภาพดี ก็ย่อมมีโอกาสคลอดลูกที่แข็งแรงและมีสุขภาพดีเช่นกัน ทำให้ในปัจจุบันมีโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งที่ให้คำปรึกษาสำหรับคู่สมรสที่กำลังวางแผนจะตั้งครรภ์โดยเฉพาะ แต่ก็มีหลายคู่ครับที่แต่งงานกันทันทีหรือมีลูกกันทันทีโดยไม่รู้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจมีโรคที่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ คุณคงไม่อยากให้ลูกเกิดมาโดยไม่สมประกอบ พิการ หรือมีโรคทางพันธุกรรมใช่ไหมครับ ? เพราะมันอาจจะกลายเป็นปัญหาที่สร้างความทุกข์ใจให้กับครอบครัวได้ บางคนอาจเสียอกเสียใจได้แต่โทษว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกต้องเป็นแบบนี้ หรือบางคู่อาจถึงขั้นเกิดการบาดหมางใจกัน เพราะมัวแต่ไปโทษว่าเป็นความผิดอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเราไม่ไปตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ดูสักครั้งล่ะครับ ตรวจให้รู้ไปเลยว่า ร่างกายของทั้งคู่พร้อมหรือยังสำหรับการให้กำเนิดลูกน้อย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยครับ โดยสิ่งที่หมอจะตรวจก็จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ครับ
ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์ก็มีอยู่หลายราคาครับ ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลและแพ็กเกจที่เลือก ถ้าตรวจทั้งพ่อและแม่สองคนรวมแล้วก็จะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 บาทครับ ท่านใดที่ไปตรวจมาแล้วขอความกรุณาแจ้งรายละเอียดในคอมเมนต์ให้ด้วยนะครับ ว่าค่าตรวจเท่าไรและตรวจที่โรงพยาบาลใด เพื่อที่ผมจะได้นำมาอัปเดตให้คนทั่วไปทราบครับ ส่วนข้อมูลด้านล่างนี้คือ “โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์” ที่ได้จากการสอบถามมาครับ
* จากรูปด้านล่างคือตัวอย่างโปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานของโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ครับ คำแนะนำก่อนไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล : โปรดงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด (ยกเว้นน้ำเปล่า) ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และอย่าลืมนำบัตรประจำตัวประชาชนไปด้วยนะครับ อาหารบํารุงก่อนตั้งครรภ์อาหารการกินของคุณแม่ก่อนตั้งครรภ์จัดว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยที่จะเกิดมาในอนาคต คุณแม่ที่ภาวะโภชนาการดีตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์และอยู่ในระยะตั้งครรภ์จะมีสุขดี ทำให้มีอาการแทรกซ้อนน้อย ลูกในครรภ์แข็งแรง หลังคลอดลูกก็มีสุขภาพแข็งแรงดี ดังนั้นผู้เป็นแม่จะต้องเตรียมตัวให้มีภาวะโภชนาการที่สมบูรณ์และไม่ขาดสารอาหารสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีน ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และไอโอดีน
จะเห็นได้ว่า การเตรียมความพร้อมในเรื่องของอาหารการกินของคุณแม่ช่วงก่อนตั้งครรภ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกหากคุณแม่เลือกรับประทานอาหารตามที่ระบุไว้ข้างต้นอย่างหลากหลาย เพราะจะทำให้คุณแม่ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกน้อยที่เกิดขึ้นในอนาคต น้ำหนักแค่ไหนกำลังดี ?คุณแม่ที่เตรียมตัวจะตั้งครรภ์ควรจะสำรวจตัวเองด้วยว่าตนเองมีรูปร่างผอมหรืออ้วนเกินไปหรือไม่ แต่การจะบอกน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบส่วนสูงนั้น ก็คงจะบอกไม่ได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ใด ซึ่งเรามีวิธีการหาค่าดัชนีความหนาของร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า “ดัชนีมวลกาย” หรือ “บีเอ็มไอ” (BMI – Body Mass Index) มีสูตรคือ “BMI = น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม / ส่วนสูงเป็นเมตร x ส่วนสูงเป็นเมตร“ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีน้ำหนัก 58 กิโลกรัม และมีส่วนสูง 169 เซนติเมตร ต้องนำส่วนสูงมาคิดเป็นเมตรก่อน คือ 169 เซนติเมตร จะเท่ากับ 1.69 เมตร แล้วนำมาคูณด้วยส่วนสูงที่คิดเป็นเมตรอีกครั้ง คือ 1.69 x 1.69 = 2.856 จากนั้นให้เอาน้ำหนักคือ 58 กิโลกรัม เป็นตัวตั้ง แล้วจึงหารด้วยค่าส่วนสูงที่คำนวณได้คือ 2.856 ก็จะได้ค่า BMI เท่ากับ 20.308 ซึ่งผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในระหว่าง 18.5-24.9 (มาตรฐานสากล) ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ ถ้าน้อยกว่า 18.5 ก็ถือว่าผอมไปครับ หรือถ้ามากกว่า 24.9 คือมีค่า 25.0 ขึ้นไปก็จะถือว่าอ้วนครับ แต่สำหรับมาตรฐานคนเอเชียแล้วเกณฑ์ปกติจะอยู่ที่ 18.5-22.9 ครับผม แต่ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่อยากคิดเยอะ ก็ดูที่กราฟด้านล่างนี้ได้เลยครับ ถ้าวัดแล้วคุณอยู่ในเกณฑ์ช่วง Healthy weight ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ ไม่อ้วน ไม่ผอมเกินไป แต่ถ้าวัดได้ต่ำกว่า 18.5 จะถือว่าผอมไป อาจส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง และเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ครับ แต่ถ้าวัดแล้วได้ค่า 25.0 ขึ้นไป ตามมาตรฐานสากลจะถือว่าร่างกายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด นิ่วในถุงน้ำดี ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้เองมันจะเป็นตัวช่วยประเมินว่าร่างกายของเรานั้นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและพร้อมที่จะมีลูกแล้วหรือยังนั่นเองครับ สำหรับผู้ที่ผอมไปนั้นอาจจะมีภาวะขาดสารอาหาร พลังงาน และโปรตีน ผมแนะนำว่าคุณควรจะดูแลในเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ร่างกายควรได้รับสารอาหาร พลังงาน และโปรตีนมากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐานก็ยิ่งต้องดูแลสุขภาพและระมัดระวังในเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้นเช่นกัน โดยคุณควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานน้อย ลดอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน และขนมหวาน แต่ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยพยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือพยายามให้ใกล้เคียงที่สุดก่อนจะเริ่มต้นตั้งครรภ์ และที่สำคัญควรหาเวลาในการออกกำลังกายด้วยครับ เพราะนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว การออกกำลังกายยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นด้วยครับ วัยที่เหมาะกับการตั้งครรภ์ในทางธรรมชาติ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนแล้วและไม่มีความผิดปกติใด ๆ ก็สามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกได้ โดยปกติแล้ววัยเจริญพันธุ์จะเริ่มตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป จนถึงวัยหมดประจำเดือนหรือที่อายุประมาณ 49 ปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้หญิงในสมัยก่อนมักจะเริ่มมีลูกกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ หรือมีลูกกันทันทีหลังแต่งงาน เนื่องจากความรู้เรื่องการคุมกำเนิดในอดีตยังไม่แพร่หลายเท่าในปัจจุบัน จึงทำให้บางครอบครัวมีลูกกันเป็นจำนวนมาก (บางคนมีลูกกันถึง 21 คนเลยนะครับ) แต่ตามหลักการแพทย์แล้ว แม่ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ร่างกายจะยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์มากพอ เพราะระยะนี้ร่างกายกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ก็ต้องมาหยุดโตเพราะมีครรภ์ อาหารที่ได้รับเข้าไปก็อาจไม่เพียงพอที่จะไปทำให้ร่างกายคุณแม่เติบโตได้ เพราะยังต้องแบ่งให้ลูกในท้องอีก นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากกว่าวัย 20 ปีขึ้นไป เช่น คุณแม่จะมีอัตราการแท้งบุตรและคลอดลูกก่อนกำหนดได้บ่อยกว่า มีโอกาสคลอดยาก คลอดลำบาก หรือต้องผ่าตัด รวมทั้งยังมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางและครรภ์เป็นพิษสูงกว่าปกติอีกด้วย ดังนั้นหากยังอายุไม่ถึง 20 ปี คุณแม่ควรจะคุมกำเนิดไว้ก่อน แล้วรอให้ถึงอายุ 20 ปี เพราะช่วงอายุ 20-34 ปี นั้น ร่างกายจะมีความสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ และพร้อมที่จะรองรับการตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์ก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้น้อยมาก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งครรภ์ครับ เพราะจากงานวิจัยนั้นพบว่า “เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น โอกาสตั้งครรภ์โดยธรรมชาติจะลดน้อยลง หรือมีลูกยากขึ้นตามอายุ” ดังข้อมูล
ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุมาก ๆ (วัย 35 ปีขึ้นไป) จะยิ่งมีโอกาสเกิดการสูญเสียหรือโรคแทรกซ้อนมากยิ่งขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ถ้าไม่แท้งลูกก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง เบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า รกลอกตัวก่อนกำหนด มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น หรือถ้าตั้งครรภ์ได้จนครบกำหนดก็มีโอกาสคลอดยาก คลอดลูกลำบาก และอาจต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอดหรือผ่าตัดคลอดตามแต่กรณี นอกจากนี้ทารกยังมีโอกาสพิการและปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อคุณแม่มีอายุเกิน 35-40 ปีขึ้นไป และความพิการนี้ก็ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา ดังข้อมูลนี้ครับ
ส่วนคุณพ่อนั้น แต่เดิมเราเข้าใจว่าคุณพ่อไม่มีผลต่อการให้กำเนิดลูกหรือคิดว่าไม่มีความเสี่ยงเหมือนคุณแม่ แต่อย่างไรก็ตามคุณพ่อที่มีอายุมากก็อาจสร้างอสุจิที่มีโครโมโซมผิดปกติได้ครับ (คือผลิตอสุจิมายาวนานหลายปี ทำให้แบบพิมพ์โครโมโซมทำงานหนัก แบบพิมพ์ที่ได้จึงผิดเพี้ยนได้) โดยโรคที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณพ่อ ก็เช่น โรค Achondroplasia (ลูกมีความผิดปกติของกระดูก ลำตัวสั้นและแขนขาสั้นแบบคนแคระ), โรค Duchann Muscular Dystrophy (ลูกมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงและแขนขาลีบ), โรค Marfan Syndrome (ลูกแขนขายาวผิดปกติ และมักมีความผิดปกติของสายตาร่วมด้วย) ฯลฯ ซึ่งปัญหานี้อาจเกิดขึ้นได้กับคุณพ่อที่มีอายุเกิน 45 ขึ้นไปครับ ในโลกยุคปัจจุบันที่มีแนวโน้มว่าคุณแม่จะตั้งครรภ์หลังอายุ 30 ปี มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และหลายคนมีอายุเกิน 35 ปี ซึ่งอาจเป็นเพราะพ่อแม่หลายคู่ให้ความสำคัญถึงความพร้อมในด้านต่าง ๆ ประกอบกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปมากกว่าแต่ก่อน เพราะกว่าจะเรียนจบ เริ่มทำงาน และกว่าจะตั้งตัวได้ ก็อาจพ้นวัยที่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ไปแล้ว คุณแม่ที่เพิ่งตั้งครรภ์แรกในวัย 35 ปีขึ้นไป ย่อมทราบดีถึงความจริงที่ว่าตนเองนั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงต่อการให้กำเนิดลูกที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ (จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงอายุมากจะมีแนวโน้มเสื่อมคุณภาพลง ทำให้มีผลต่อการถ่ายทอดโครโมโซมและยีนที่ให้ลักษณะทางพันธุกรรมผิดปกติ) แต่ก็ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จะหมดหนทางในการมีลูกที่สมบูรณ์แข็งแรงได้นะครับ เพราะเรื่องนี้เราสามารถพึ่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคและนำพาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อย่างเช่น คุณแม่ที่มีอายุมากและตั้งครรภ์ได้ยาก คุณหมอก็อาจใช้ประโยชน์จากฮอร์โมนบางชนิดมาช่วยให้คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น หรือโรคที่อาจเกิดกับลูกของคุณแม่ อย่างโรคดาวน์ซินโดรมหรือกลุ่มที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และมีความบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อความสบายใจคุณแม่ก็สามารถไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจและดูแลอย่างใกล้ชิดได้ครับ
นอกจากข้อเสียแล้ว ถ้าเรามองโลกในแง่ดีบ้าง ก็จะรู้ว่าการเริ่มเป็นคุณพ่อคุณแม่เมื่อมีอายุมากแล้วมันก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างที่เป็นหลักประกันในการเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนที่มีคุณภาพได้ นั่นคือ
การเตรียมตัวในด้านอื่น ๆการตั้งครรภ์เป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้หญิงทั่วไป ดังนั้น การมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า ผลที่ออกมาก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ก็ได้ ซึ่งก็มีคำแนะนำอยู่หลายข้อด้วยกัน ดังนี้
ขอกล่าวโดยสรุปเลยนะครับ การเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์อย่างแรก ผมแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ไปตรวจสุขภาพก่อนเลยครับ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้วางแผนถูก ระหว่างนี้ก็ดูแลสุขภาพไปด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลด ละ เลิกสิ่งไม่ดี และทานอาหารเสริมกรดโฟลิกวันละ 400 ไมโครกรัม โดยทานก่อนตั้งครรภ์ไว้รอประมาณ 3 เดือนครับ เพื่อช่วยให้โอกาสเกิดความผิดปกติในเรื่องระบบประสาทของทารกมีน้อยลง ขอให้โชคดีและสมหวัง มีลูกน่ารัก ๆ กันทุกคนครับ 🙂 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |