สามัคคีเภทคำฉันท์ from Sp'z Puifai ฉันทลักษณ์ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ “อินทรวิเชียรฉันท์” เป็นชื่อที่เรียกตามแบบไทย แต่ในคัมภีร์วุตโตทัย ท่านเรียกว่า “อินทรวิเชียรคาถา” เป็นติฏฐุภาฉันท์ ฯ “ติฏฐุภา” แปลว่า “ฉันท์ที่เบียดเบียนความไม่ไพเราะในฐานะ ๓ คือ ต้นบาท, กลางบาท และปลายบาท” ฯ “อินทรวิเชียร” แปลว่า “คาถาที่เหมือนคทาเพชรของพระอินทร์ เพราะมีเสียงหนักในหนต้นตลอดหนปลาย” เป็นคาถา ๔ บาท ๆ ละ ๑๑ คำ มีสูตรว่า “อินฺทาทิกา ตา วชิรา ชคา โค” แปลความว่า “คาถาที่มี ต คณะ ต คณะ ช คณะ และครุลอย ๒ ชื่อว่า “อินทรวิเชียร” ในการบัญญัติฉันท์ไทยนั้น ท่านนำสูตรดังกล่าวมาเป็นสูตร โดยนำมาเพียง ๒ บาท แล้วปรับปรุงให้เป็น ๔ วรรค เพราะมีบาทละ ๑๑ คำ จึงเรียกว่า “ฉันท์ ๑๑” แล้วเพิ่มสัมผัสเข้า คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒, คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓, และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำที่พร้อมจะรับในบทที่จะแต่งต่อไป บทประพันธ์ อันภูบดีรา ชอชาตศัตรู ได้ลิจฉวีภู วประเทศสะดวกดี แลสรรพบรรดา วรราชวัชชี ถึงซึ่งพิบัติบี ฑอนัตถ์พินาศหนา ถอดความได้ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายก็ถึงซึ่งความพินาศล่มจม โวหารภาพพจน์ : พรรณนาโวหาร ****************************** เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้นบปรองดอง ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ ถอดความได้ว่า เหตุเพราะความแตกแยกกันต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของตน ผูกโกรธซึ่งกันและกัน ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง โวหารภาพพจน์ : พรรณนาโวหาร ****************************** เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็นมูล จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม ถอดความได้ว่า เชื่อถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงมากไปด้วยความหลง จึงทำให้ถึงซึ่งความฉิบหาย มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศ และชื่อเสียงที่เคยมีอยู่ โวหารภาพพจน์ : พรรณนาโวหาร ****************************** ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์ เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล ถอดความได้ว่า ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการกระทำกลอุบายผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้วในเรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน โวหารภาพพจน์ : พรรณนาโวหาร , เทศนาโวหาร ****************************** ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล ดีสู่ณหมู่ตน บนิราศนิรันดร หมู่ใดผิสามัค คยพรรคสโมสร ไป่ปราศนิราศรอน คุณไร้ไฉนดล ถอดความได้ว่า ความสามัคคีอาจอำนวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกัน สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู่ได้อย่างไร โวหารภาพพจน์ : เทศนาโวหาร, สาธกโวหาร ****************************** พร้อมเพรียงประเสริฐครัน เพราะฉะนั้นแหละบุคคล ผู้หวังเจริญตน ธุระเกี่ยวกะหมู่เขา พึงหมายสมัครเป็น มุขเป็นประธานเอา ธูรทั่วณตัวเรา บมิเห็นณฝ่ายเดียว ถอดความได้ว่า ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก เพราะฉะนั้นบุคคลใดหวังที่จะได้รับความเจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม ก็พึงตั้งใจเป็นหัวหน้าเอาเป็นธุระด้วยตัวของเราเองโดยมิเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว โวหารภาพพจน์ : สาธกโวหาร ****************************** ควรยกประโยชน์ยื่น นรอื่นก็แลเหลียว ดูบ้างและกลมเกลียว มิตรภาพผดุงครอง ยั้งทิฐิมานหย่อน ทมผ่อนผจงจอง อารีมิมีหมอง มนเมื่อจะทำใด ถอดความได้ว่า ควรยกประโยชน์ให้บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง ต้องกลมเกลียว มีความเป็นมิตรกันไว้ ต้องลดทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทำสิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจ โวหารภาพพจน์ : สาธกโวหาร ****************************** ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป ตามน้อยและมากใจ สุจริตนิยมธรรม์ พึงมรรยาทยึด สุประพฤติสงวนพรรค์ รื้อริษยาอัน อุปเฉทไมตรี ถอดความได้ว่า ผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นในมารยาทและความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี โวหารภาพพจน์ : สาธกโวหาร ******************************
ดั่งนั้นณหมู่ใด ผิบไร้สมัครมี พร้อมเพรียงนิพัทธ์นี รวิวาทระแวงกัน หวังเทอญมิต้องสง สยคงประสบพลัน ซึ่งสุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวิการ ถอดความได้ว่า ดังนั้นถ้าหมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ ไม่มีการวิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า |