ทำงาน สำนักงาน บัญชี Pantip

เราเขียนกระทู้นี้ เพื่อบอกเล่าการทำงานออดิต ให้กับเพื่อนๆ หรือน้องๆ ที่อยากทำงานสายตรวจสอบบัญชี หรืออยากเป็น ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA ค่ะ อาจจะมีหลายคำถามว่า เราจะทำได้ไหม ? เกรดเราเท่านี้ เท่านั้น เราจะทำได้ไหม? เราอยากบอกว่าเราต้องลองค่ะ ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ ลองให้รู้ไปเลยว่าเราทำได้หรือไม่ได้ เราจะได้รู้ว่าเราเคยทำเเล้ว มันไม่ใช่ตัวเรา หรือถ้าทำเเล้วรู้สึกยังไม่โอเค ก็ขอให้ทบทวนตัวเองดีๆนะคะ ว่าเราไม่ชอบงานหรือเราอยู่ผิดที่ ค่ะ  เพราะว่าสภาพเเวดล้อมก็ทำให้เราหมดไฟ หมดเเรงได้เช่นกัน ทั้งๆที่เราอาจจะโอเคกับงาน..


เราขอเเนะนำ ตัวก่อนนะคะ เราจบบัญชี นะคะ ตอนมัธยมเราเรียนสายวิทย์คณิตค่ะ  เราทำงานเกี่ยวกับสายงานนี้มาประมาณ 2 ปีกว่าเเล้วค่ะ   ตั้งเเต่เรียนจบมาเเล้วก็ยังทำต่อไปเรื่อยๆ เคยลงสอบเเล้วเเต่สอบไม่ผ่าน .  อาจจะมีคำถามเกี่ยวกับสายงานนี้หลายอย่างมากเช่น





ทำไมถึงมาทำงานสายนี้?


เราเลือกที่จะทำงานสายนี้เพราะเราคิดว่ามันอยู่กับเราได้ไปจนเราเเก่เลยค่ะ เเละเป็นอะไรที่เก๋เเละเท่ มาก ยั่งยืนมากๆ  ภาพที่เรามองคนที่ทำงานนี้คือเขาเก่งมาก CPA ก็ได้ยากมาก ถ้าได้เป็นนะคะ ยิ่งกว่าเราเรียนจบปริญญาโทหรือเอกอีก อย่างที่รู้กันว่า ถ้าเราอยากเป็น CPA เราต้องมาเก็บชั่วโมง 3 ปี ขั้นต่ำ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ทำงาน เเละสอบให้ได้ ซึ่งเมื่อเราสอบได้เเล้ว เราจะสามารถเซ็นต์งบได้ไปตลอดที่เรามีเเรงจะเซ็นต์งบ. ในเนื้องานดูมีความเป็นอิสระ ได้เดินทางไปหลายๆที่  ถ้าไปต่างจังหวัดก็ได้เที่ยว ซึ่งเราชอบค่ะ ภาพสวยงามที่เราเห็นเเละได้ยินทำให้เราอยากมาทำ อยากลอง ทั้งนี้เราได้ลองฝึกงานในวิชาสหกิจเเล้ว เราว่ามันไม่จำเจ ได้ใช้ความรู้เยอะ จะตรวจอะไรก็ต้องมีความรู้ ทำให้เราเกิดความเเอคทีฟ เเละเดินหน้าตลอด (ถึงเราจะไม่อยากอ่านหนังสือ หรือหาความรู้เเต่ด้วยเนื้องานที่จำเป็นต้องใช้ ก็จะทำให้เราต้องหาอ่าน หาความรู้ตลอดเพื่อที่จะใช้ทำงาน)  อาจจะด้วยเราฝึกงานเพียง4-5 เดือน เเล้วเรายังไม่ได้รับมอบหมายงานอะไรมากนัก ยังไมไ่ด้รับเเรงกดดันมาก เป็นเด็กความรับผิดชอบจะน้อย  ภาระส่วนใหญ่จะอยู่ที่พี่ที่มอบหมายงานให้เราที่ต้องตรวจงานเรา รับผิดชอบเรา  เพราะเขามองว่าเรามาฝึกงานไม่ได้มาทำงานเต็มเวลายาวๆ  ทำให้เราได้รับเเต่สิ่งดีๆ เเละทำให้เรามีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับงานสายนี้ อาจจะด้วยสภาพเเวดล้อมด้วยที่ทำให้เรารู้สึกโอเคกับงาน ทำให้เมื่อเราจบมาเราจึงเลือกทำงานสายนี้ ถึงเเม้จะมีอีกหลายเสียงบอกหนักนะ เหนื่อยนะ กดดันนะ เจอลูกค้าวุ่นวายนะ เครียดนะ เเต่เราก็อยากเสี่ยง  อยากลองค่ะ เพราะเราไม่ชอบงานลูทีน เเบบที่ทำเหมือนเดิมทุกวัน จะทำอีก 1 ปีก็คือทำเหมือนเดิม เราว่าทุกงานทุกอาชีพมีเรื่องปวดหัว วุ่นวาย กดดันเหมือนกันค่ะ เเต่ว่าคนละเเบบ ( เราเคยพาททามในช่วงวันหยุด ลองทำงานหลายเเบบเเล้วเราว่าเราไม่ชอบงานไสตล์เเบบนั้น ถ้าต้องทำในระยะยาว เเบบถ้าทำเเเค่4เดือนเราว่าเราก็สนุกก็โอเค เเต่ถ้าเป็น1 ปี 2 ปี .. เราคงไมไ่หวค่ะ เราเบื่อ 5555+ เเต่ตอนเป็นเด็กเราไม่ได้มีความฝัน ไม่มีจุดมุ่งหมาย  ในตอนนั้นเราก็ชอบนะ ชอบมากเลยเเหละ ทำงานเดิมๆๆที่เราชินเเล้ว เเล้วพอสิ้นเดือนก็ได้เงิน ซึ่งก็เยอะพอๆกับที่เราเรียนจบมาเเล้วทำนี่เเหละค่ะ ในบางงานก็อาจจะได้เยอะกว่าด้วย เเต่มันไม่เติบโตไปได้มากกว่านั้น )





เงินเดือนเยอะจริงไหม?? สวัสดิการ ?


ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่า เราไม่เก่งภาษาเลย เเละเราก็ไม่มีความทะเยอทะยานมากพอที่จะไปอยู่ในบริษัทระดับต้นๆ เช่น BIG4 หรือบริษัทอินเตอร์ ทำให้เราหางาในรายชื่อ บริษัทที่กลต.รับรองเท่านั้น (เผื่อได้ตรวจบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์- มีงบไตรมาส )  เราไม่ไ่ด้สอบโทอิคหรืออะไรเลย เมื่อเราจบมาเราก็ไปหาบริษัทสอบบัญชีในรายชื่อที่กลต.รับรอง เเละส่งเรซูเม่ยไปสมัครงาน ค่ะ ซึ่งการเข้าทำงานก็จะมีสอบ ที่ไม่เหมือนกันในเเต่ละบริษัท เช่นสอบความรู้คอมพิวเตอร์ ให้ทดสอบใช้ microsoft พิมพ์ดีด เเละทำข้อสอบ มีทั้งภาษาไทยเเละอังกฤศ เเละสัมภาษณ์  (บางที่สัมภาษณ์หลายรอบมา)  ซึ่งเราว่าขนาดบริษัทเล็กๆยังขนาดนี้เเล้วถ้าเราไป บริษัทอินเตอร์ เเน่นอนว่าข้อสอบคืออังกฤศล้วน เราจึงไม่ไปสมัครในบริษัทอินเตอร์เลยค่ะ (ถ้าใครที่ภาษาพอได้ เราเเนะนำให้ไปลองนะคะ เพราะว่าทุกบริษัทไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ทำงานหนักเหมือนกัน เนื้องานเหมือนๆกัน เเต่บริษัทอินเตอร์เงินเดือนสูงกว่ามากๆๆ ตามความสามารถเลยค่ะ เเละก็ไมได้หนักมากไปกว่ากันหรอกค่ะ )





ทีนี้เราจะรีวิวเงินเดือนนะคะ เเต่เราไม่ขอบอกชื่อบริษัทนะคะ เพราะว่าเเต่ละคนเข้าไปสมัครอาจจะได้ไม่เท่ากัน ตามความสามารถพิเศษ ของภาษาอังกฤศเป็นต้น (ทั้งนี้เรารีวิวเป้นบริษัทในรายชื่อที่กลต.รับรองนะคะ )


>บริษัท A Start 17,000 บาท + เบี้ยขยัน 2,000บาท ถ้าไม่ขาดลามาสายเเม้เเต่วันเดียว (ยกเว้นลาพักร้อน ซึ่งต้องทำงานครบ 1 ปีถึงจะมีสิทธิ์) หากยังไม่ผ่านโปร(3-4เดือน)เเล้วลาเช่นลารับปริญญาจะโดนหักเงินค่ะ ซึ่งเเต่นอนว่าเราเป็นเด็กที่เพิ่งจบมาเรายังไม่ริบปริญญา เราจึงโดนหักเงิน 3-4 วันค่ะ ทั้งนี้เรื่องค่ารถค่าเดินทางสำหรับไปจ้อบ หรือค่านอนค้างคืน (ไปต่างจังหวัดคืนละประมาณ200บาท) จะได้นอกรอบเงินเดือน ในการทำงานหน้างบ (เดือน ม.ค-พ.ค.)ซึ่งต้องเลิกดึก จะมีค่าข้าวให้ รายวันที่เราเลิกดึก ไม่มีโอทีนะคะ


บริษัทนี้มีโนตบุคให้นะคะ เราใช้ของบริษัทเลยค่ะมีอะไร ติดต่อไอทีได้เลย เขาทำให้เราทุกอย่าง น่ารักมาก





>บริษัท B Start 19,000 บาท ไม่มีอื่นๆบวก (เป็นเงินเเดือนที่รวมค่ารถ ค่าครองชีพเเล้ว ซึ่งฐานจริงๆเพียง 13,000บาทในการคิดโบนัสค่ะ) ซึ่งต่างจากบริษัท A ที่คิดจากฐาน 17,000 บาท ค่าค้างคืนเป็นเรตรายวัน ประมาณ 200 บาท (เรตประมาณนี้ทุกบริษัทนะคะ อาจต่างกันไม่มาก ตามตำเเหน่งด้วยค่ะ) ซึ่งเเน่นอนว่า ถ้าเราไม่ได้สลิปเงินเดือนหากเราไม่เเจ้งความจำนงขอค่ะ (เเทบทุกบริษัทนะคะที่เขาจะไม่เเจกสลิปเงินเดือน) เเต่ ในหน้างบ บริษัทนี้จะได้ โอทีค่ะ เเต่เป็นโอทีเหมานะคะ คืิอ เรตสูงสุดคือ 200 บาทต่อวันค่ะ ซึ่งการจ่ายโอทีไม่ได้ให้พร้อมเงินเดือนในเดือนถัดไปนะคะ เเต่จะเป็นรอบค่ะ ซึ่งเเล้วเเต่กำหนด ไม่มีกฎตายตัวค่ะ .บริษัทนี้ต้องใช้โนตบุคตนเองนะคะ ถ้าเกิดอะไรไฟล์หายไฟล์พังก็คือต้องจัดการเองค่ะ ไอทีของที่บริษัทจะไมไ่ด้ช่วยอะไรเราเท่าไหร่ ส่วนมากไฟล์ฟัง หาย ก็ทำใหม่ค่ะ น่าเศร้าใช่ไหมล่ะคะ สำหรับเด็กจบใหม่ที่ต้องรับปริญญา เเน่นอนว่าเราไม่โดนหักเงินค่ะ เพียงเเค่หัวหน้าเราอนุญาต เราลาได้เลยค่ะ ถ้าเรารับปริญญาในช่วงที่งานไม่ได้มีมากอยู่เเล้ว สำหรับการลายาวเช่นรับปริญญาต่งจังหวัด ก็ลาได้เลยนะคะ





>บริษัท C Start 17,000บาท + 1,000 บาท ค่าบำรุงรักษาโนตบุคตนเอง ซึ่งฐานเงินเดือนคือเท่านี้เลยค่ะ หากได้เกรดนิยม หรือมีโทอิค ก็อาจะจได้บวกตามความสามารถค่ะ ซึ่เงินเดือนรสตารทเเรกเริ่มในเรื่องบวกๆๆ จะไม่เท่ากันในเเต่ละคนค่ะ เพราะว่าหากเรามีความสามารถมาก เราก็อาจจะได้เงินเดือนเเรกเริ่มที่สูงขึ้นอีกค่ะ ทั้งนี้บริษัทนี้มี โอทีเป็นรายชั่วโมงค่ะ คือคิดจากฐานเงินเดือน หาร 12 (ปี) หาร8(ชั่วโมงต่อวัน) หรือ ถ้าเราอยากหยุด เราสามารถนำโอทีนี้ไปเป็นวันหยุด หรือหักกับวันที่มาสายได้ค่ะ  เนื่องจากในปี มีวันหยุดน้อยมาก (13วันตามกฎหมายเเรงงาน สำหรับคนที่อยากกลับบ้านต่างจังหวัด ก็อาจจะอยากได้วันหยุดยาว) ซึ่งเเน่นอนว่าหากเราเลิกดึกนั้นเราก็จะได้เงินในปริมาณที่มากขึ้นตามชั่วโมงเลยค่ะ (ในบางจ้อบที่ค่าสอบไม่สูง เราก็อาจจะเบิกไม่ได้ ซึ่งในทีมจะรู้ว่าเราจะไม่ได้โอที ค่ะ) สำหรับการลารับปริญญา ในกฎระเบียบมีกำหนดในเรื่องวันลารับปริญญาให้กับเด็กที่เพิ่งจบนะคะ ไม่ต้องกลัวเงินเดือนจะหายค่ะ





ซึ่งในการทำงานสายนี้โอกาสที่เราจะได้หยุดตามวันสำคัญ หรือตามเทศกาล เช่นในช่วงหน้างบ ม.ค.-พ.ค. จริงๆ ตั้งเเต่ ต.ค. -ธ.ค.จะมีนับสินค้า ก็อาจจะไม่ได้หยุดซะส่วนมาก อย่างสงกรานต์ โอกาสที่จะได้หยุดยาวๆ หรือมีวันพักร้อน คิดว่ามาใช้ในตอนหยุดปีใหม่ สงกรานต์ ก็คือเเทบจะไม่มีโอกาสนั้นเลยค่ะ เพราะว่างานจะเยอะมาก เเล้วหลายบริษัทก็มีกฎว่าไม่ให้ลาพักร้อนช่วงหน้างบค่ะ หรือถ้าหัวหน้าเราไม่อนุญาต ก็จะลาไม่ได้ ค่ะ





เนื้องานที่ทำ ต่างจากทำบัญชีปกติในบริษัทยังไง?


ซึ่งเเน่นอนว่าการออกไปทำงานหรือออกจ้อบตรวจเเต่ละครั้งนั้นที่เขาเรียกว่าออดิต เราจะได้ประสบการณ์เเละความรู้ใหม่ๆๆ ต่อให้เราตรวจในเรื่องเดิม เเต่ละบริษัทก็ไม่เหมือนกัน เราจะเจอสิ่งเเปลกใหม่ที่ไม่ซ้ำ หรือไม่เหมือนเดิม คือในความเหมือนเดิม ก็ไม่เหมือนเดิมค่ะ หรือปีก่อนกับปีนี้ก็ไม่เหมือนกัน อย่างที่รู้กันว่างานของเราคือการออกหน้ารายงาน ให้ความเห็น (สำหรับงบปี) การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (งบไตรมาส) ซึ่งเราไม่ได้ตรวจ 100% อย่างที่หน้ารายงานได้เขียนไว้ ที่เราเรียนในวิชาสอบบัญชีนั้นเเหละค่ะ ซึ่งเราจะมีค่าที่เรายอมรับได้ ที่เรียกว่า MAT ซึ่งจะคิดมาจากการที่เราทดสอบระบบเเล้วว่าถ้าระบบดี เราจะใช้ MAT ที่สูง คือการเลือกจำนวนเงินในการตรวจที่สูง เพื่อที่การตรวจเอกสารนั้น จะมีปริมาณที่ลดลง เเต่ถ้าบริษัทที่มีการควบคุมภายในที่ไม่ดี เราจะใช้ MAT ที่ต่ำลงมา (ก็ระบบเขาไม่ดีอะ เเปลว่ามีโอกาสผิดมาก เราก็ต้องตรวจมาก ขึ้น) ทั้งนี้ในทีมจะต้องมีการทำ MAT ในการตรวจสอบขึ้นมา ของเเต่ละเรื่อง เช่นเงินสด ลูกหนี้ ..รายได้ ค่าใช้จ่าย งานของออดิตคือการตรวจว่าเขาทำถูกต้องไหม ? มีรายการที่เกิดเเต่ไม่บันทึก รายการที่บันทึกเเต่ไม่ได้เกิดไหม ซึ่งในการตรวจเเต่ละเรื่องจะมีวัตถุประสงค์การตรวจสอบอยู่ ค่ะ เเน่นอนว่าเราต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆที่เราจะตรวจ ไม่งั้นเราจะรู้ได้ไงว่าเขาทำผิดใช่ไหมล่ะคะ ทีนี้ความท้าทาย ความสนุกมันอยู่ตรงนี้เเหละค่ะ เราเข้าไปทำงานเเรกๆ เราก็จะได้ตรวจค่าใช้จ่าย (เป็นเรื่องที่เหมือนจะง่ายเเต่วุ่นวาย มากๆๆเลยค่ะ) ซึ่งลูกค้าที่มีความรู้เเล้วหลบเก่ง ซ่อนเก่ง ก็จะต้องใช้ประสบการณ์ของเรา หรือเทคนิคารตรวจสอบต่างๆ ให้เหมาะสมกับเรื่องที่เราจะตรวจ หรือประเภทของธุรกิจที่เราตรวจเขา ซึ่งใช้ไม่เหมือนกัน ตามความเหมาะสมค่ะ






ความสนุกของการทำงานออดิต คือ เราจะได้เจออะไรใหม่ๆๆ จะเป็นทั้งเเบบบริษัทที่เราเข้าตรวจเดิม เเต่ละปีคนทำไม่ใช่คนเดียวกัน หรือ คนละบริษัท เรื่องเดียวกัน เจอประเด็นไม่เหมือนกัน ..หรือหน้าตาไฟล์ เอกสาร การทำงานที่เเต่ละบริษัท ทำงานไม่เหมือนกัน ใช้คนละโปรเเกรม การทำงานที่เหมือนกันเเต่ก็ใช่วิธีการทำไฟล์ไม่เหมือนกันนะคะ ซึ่งหน้าตากระดาษทำการตรวจสอบที่เราต้องทำ นั้น ก็จะเปลี่ยนเเปลงไปตามความถนัด หรือข้อมูลทีไ่ด้รับมา ซึ่งไม่มีรูปเเบบที่ตายตัว เเละความชำนาญในการทำงาน ซึ่งมาจากประสบการณ์ทำงานของเรา เเน่นอนว่าเมื่อทำงานไปหลายๆปี เเล้วเราก็จะทำงานได้ไวขึ้น เจออะไรเยอะขึ้น .. ที่เห็นว่าไม่มีอะไรจริงๆๆ คืออาจจะมีเเต่เราไม่เจอค่ะ เราจะต้องเจอลูกค้าที่หลากหลายมาก ทักษะการพูด การอ้อนวอนขอเอกสารต่างๆ จากเขา หรืออะไรมากมาย เราต้องงัดมาใช้ทุกไม้ค่ะ  บางทีเเค่หน้าตาเราดุ  หรือน่าเกรงขาม ลูกค้าก็จะไม่ดื้อนะคะ  เพราะไม่งั้นงานเราก็ไม่เสร็จ บางทีก็จะล่าช้ามากๆๆ เนื่องจากลูกค้าดื้อกับเราค่ะ บอกให้ทำอะไรก็ไม่ทำ ไม่ให้เลย พอเราออกจากจ๊อบปุ๊บ ทวงงานเราปั๊บ หรือบางทีก็ทวงทั้งๆที่เรายังไม่ได้อะไรจากเขาเลยด้วยซ้ำ ความปวดหัวส่วนใหญ่ ก็จะอยู่ที่ตรงนี้ค่ะ เเต่ลูกค้าน่ารักๆก็มีนะคะ มีหลายรูปเเบบค่ะ เราต้องได้เยอะอีกเยอะ..





หัวใจของการทำงานออดิต..


จากที่เราทำงานมาได้พักนึงเเต่ก็ไม่นาน เราว่าสิ่งสำคัญของงานนี้คือ ความตั้งใจ เเน่วเเน่ อดทน ค่ะ ถ้าเรามีจุดหมายที่เราอยากไปให้ถึง เช่น CPA เราจึงจำเป็นต้องเดินสายนี้ค่ะ เเต่หัวใจของงานออดิตเราว่าคือการทำงานเป็นทีมค่ะ เราว่าทุกๆเรื่อง ทุกๆงานมีความสำคัญ การร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้งานสำเร็จ ที่ใครๆก็ว่าสามัคคีคือพลัง เราว่ามันคือเรื่องจริงนะคะ การที่เราเป็นส่วนหนึ่งของทีม การที่ทีมมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราว่านี่เเหละที่จะทำให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงได้







ในเรื่องเงินเราว่าการทำงานสายนี้ได้อะไรเยอะนะคะ   ในะระยะยาว ต่อให้เราทำไม่นานมาก เเล้วเราออกไปทำสายงานอื่น   ก็เหมือนเรามีความรู้ที่มาก   เช่นเราทำสายงานนี้ไปสัก 3 ปีเเล้วเราก็ออกไปทำบัญชี    เราอาจจะได้ทำในตำเเหน่งที่สูงขึ้น เงินเดือนเพิ่มเเบบก้าวกระโดด    เราว่าการทำงานทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียค่ะ อยู่ที่เราจะมองเเละยอมรับมัน






ที่เราเขียนกระทู้นี้ เราเพียงอยากบอกเล่าประสบการณ์ของเราให้เพื่อนๆ น้องๆที่อยากเดินสายนี้รู้เกี่ยวกับงาน หรือรู้เกี่ยวกับอีกมุมหนึ่งของคนที่ทำงานสายนี้เเล้วไม่ได้อยู่ในบริษัทอินเตอร์ หรืออยู่ในภาพมโน ที่เราฝันว่าเราจะใช้ชีวิตสวยงามในทุ่งดอกไม้...เเบบที่เราเคยคิดเวลาได้ยินใครบอก เราว่าทุกอาชีพ เดินทางด้วยความลำบากคนละเเบบค่ะ ไม่มีเส้นทางไหนโรยด้วยกลีบกุหลายหรอกค่ะ มันจะมีช่วงที่มีหิน มีหนาม อยู่เเล้ว เราเเค่ต้องอดทน เหนื่อยก็พัก เเล้วเดินต่อ ทั้งนี้เราต้องถามใจเราว่าปลายทางนั้นใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆไหม ความสุขของเรา ไม่ได้หายไปใช่ไหมในระหว่างทาง.. เราไม่ได้ฝืนใช่ไหม     สำหรับคนที่ทำงานเเล้วท้อ เราอยากให้นึกถึงวันเเรกที่เราก้าวเข้ามาสมัครงาน ว่าทำไมตอนนั้นเราถึงตัดสินใจที่จะมาทำงานนี้ เเน่นอนว่าทึกคนมีบางอารมณ์ที่เหนื่อย หมดไฟ  หมดเเรง   ... สู้ๆนะคะ