บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก Show
สำหรับภาพยนตร์ ดูที่ อโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราช (สันสกฤต:अशोकः; พ.ศ. 239 — พ.ศ. 312 ครองราชย์ พ.ศ. 270 — พ.ศ. 311) เป็นจักรพรรดิอินเดียโบราณแห่งราชวงศ์โมริยะ หรือเมารยะผู้ปกครอง อนุทวีปอินเดีย เกือบทั้งหมดพระองค์เป็นราชนัดดา (หลาน) ของผู้ก่อตั้งราชวงศ์เมารยะคือ พระเจ้าจันทรคุปต์ ผู้สร้างหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียโบราณและจันทรคุปต์สละทั้งหมดแล้วบวชเป็นนักบวชเชน พระเจ้าอโศกเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียพระองค์ขยายจักรวรรดิของพระเจ้าจันทรคุปต์และครอบครองเหนือดินแดนตั้งแต่ทางทิศตะวันตกคือพื้นที่ ประเทศอัฟกานิสถาน ในปัจจุบันขยายออกไปทางทิศตะวันออกถึงบังกลาเทศ เป็นพื้นที่ครอบคลุมอนุทวีปของชาวอินเดียทั้งหมดยกเว้นพื้นที่ที่เป็น รัฐทมิฬนาฑู ในปัจจุบัน คาร์นาตากาและรัฐเกรละ เมืองหลวงของจักรวรรดิคือเมืองปาฏลีบุตร (ในแคว้นมคธปัจจุบันนี้คือเมืองปัฏนะ) พร้อมด้วยเมืองหลวงต่างจังหวัดคือเมือง ตักศิลา และเมืองอุชเชน หรือ อุชเชนี ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าอโศกมหาราชจักรพรรดิ ประมาณ พ.ศ. 283 หรือ 260 ปีก่อนคริสตกาลพระเจ้าอโศกทำสงครามทำลายล้างอย่างยืดเยื้อกับแคว้นกาลิงคะ (รัฐโอริศาในปัจจุบัน) พระองค์เอาชนะแคว้นกาลิงคะได้ซึ่งไม่เคยมีบรรพบุรุษของพระองค์ทำได้มาก่อน เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าพระองค์ยอมรับศาสนาพุทธ ตำนานบอกว่าพระองค์เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธหลังจากประสบพบเห็นกับคนตายที่มากมายในสงครามแคว้นกาลิงคะ พระองค์เองหมดความรู้สึกยินดีกับความต้องการชัยชนะ พระเจ้าอโศกทรงตระหนักถึงสงครามแคว้นกาลิงคะ ซึ่งผลของสงครามมีคนตายมากกว่า 100,000 คน และ 150,000 คนถูกจับเป็นเชลยศึก สุดท้ายตายประมาณ 200,000 คน พระเจ้าอโศกเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธประมาณ 263 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ให้บันทึกพระบรมราชโองการไว้บนเสาศิลาเรียกว่าเสาอโศก และส่งสมณทูตเพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศศรีลังกาและเอเชียกลาง ให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานสำคัญในช่วงชีวิตของพระพุทธเจ้าขึ้นมากมายซึ่งเรียกว่าสังเวชนียสถาน นอกจากพระราชโองการของพระเจ้าอโศก การให้รายละเอียดถึงชีวประวัติของพระองค์อาศัยตำนานซึ่งเขียนขึ้นในหลายร้อยปีต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ได้แก่อาศัยตำนานอโศกาวทาน (เรื่องราวของพระเจ้าอโศกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของติวิยาวทาน Divyavadana) และในประเทศศรีลังกา อาศัยข้อความในคัมภีร์มหาวงศ์ สัญลักษณ์ของสาธารณรัฐอินเดียก็ดัดแปลงมาจากสิงโต 4 ตัวหันหลังเข้าหากันหันหน้าไปยังทิศทั้ง 4 ของพระเจ้าอโศก พระนามของพระเจ้าอโศก หมายความว่า ไม่มีความทุกข์ หรือไม่มีความเศร้าโศกในภาษาสันสกฤต แยกศัพท์ออกเป็น น ปฏิเสธ แปลงเป็น อ แปลว่า ไม่ และคำว่า โสกะ แปลว่า ความโศกเศร้า หรือความทุกข์ใจ ในพระบรมราชโองการของพระองค์ พระองค์ได้ใช้พระนามว่าเทวานัมปริยะ (Devānāmpriya) บาลีเป็น เทวานมฺปิย (Devānaṃpiya) แปลว่า ผู้เป็นที่รักของทวยเทพ และพระนามว่า ปริยทรรศศิน (Priyadarśin) บาลีเป็น ปิยทัสสี (Piyadasī) แปลว่า ผู้เห็นทุกคนด้วยความรัก พระนามของพระองค์มีความสัมพันธ์กับต้นอโศก เพราะพระองค์ชอบต้นไม้ชื่อว่าต้นอโศกซึ่งเป็นการอ้างอิงในคัมภีร์อโศกาวทาน เอช. จี. เวลส์ H.G. Wells ได้เขียนถึงพระเจ้าอโศกในหนังสือของเขาชื่อ The Outline of History ว่าในจำนวน 10,000 พระนามของพระมหากษัตริย์มากมายในตารางของประวัติศาสตร์ การได้รับการยกย่อง ความเป็นผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ สันติสุข การได้รับความจงรักภักดีและความชื่นชมของพระมหากษัตริย์เหล่านั้น พระนามของพระเจ้าอโศกส่องสว่าง เจิดจรัสเป็นดาวดวงเดียวที่โดดเด่นทึ่สุด พระเจ้าอโศกมหาราชเดิมมีพระอัธยาศัยโหดร้าย ชอบการทำสงครามกับแว่นแคว้นต่าง ๆ จนได้รับสมญานามว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม) แต่หลังจากที่พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธ พระองค์ก็ทรงกลายเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์ ผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ และจากพระราชกรณียกิจมากมายนานัปการที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญด้วยทศพิธราชธรรมอย่างแท้จริง ทำให้ภายหลังทรงได้รับการขนานพระราชสมัญญานามว่า ธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม) เนื้อหา
พระราชสมภพพระเจ้าอโศกเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพินทุสาร กับพระนางสุภัทรางคี (Subhadrangī) มีพระราชโอรสธิดา 11 พระองค์ พระเจ้าอโศกเป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของพระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมริยะ พระเจ้าจันทรคุปต์ประสูติในครอบครัวที่ต่ำต้อย พระองค์ถูกทอดทิ้งและเป็นลูกเลี้ยงเติบโตในครอบครัวอื่น แล้วพระองค์ได้รับการฝึกฝนอบรมและคำสอนของ ชานัคยาหรือจาณักยะ Chanakya จาก Arthashastra ผู้มีชื่อเสียง ถึงจุดสูงสุดสามารถสร้างหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียโบราณได้ พระเจ้าจันทรคุปต์ผู้เป็นพระอัยกาเจ้า (ปู่) ของพระเจ้าอโศกทรงละทิ้งทั้งหมดและมาบวชเป็นนักบวชในศาสนาเชน ตามบันทึกของ Appian นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันว่า พระเจ้าจันทรคุปต์พระอัยกาของพระเจ้าอโศกได้ผูกมิตรกับพระเจ้าเซลลูคัส I นิเคเตอร์ Seleucus ด้วยการแต่งงานกับพระธิดาของพระเจ้า Seleucus ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า พระเจ้าอโศกมีพระอัยยิกา (ย่า) เป็นชาว Seleucid กรีก ต้นฉบับข้อมูลทางโบราณ Puranic ของอินเดีย บทว่าด้วย Pratisarga Parva แห่ง Bhavishya Purana บรรยายว่า พระเจ้าจันทรคุปต์แต่งงานกับเจ้าหญิงชาวยะวะนะหรือโยนก (Yavana) (ชาวอินเดียเรียกพวกกรีกว่า "ชวนะ" หรือ ยวนเยาวนะ ต่อมากลายเป็น "โยนก" เพี้ยนมาจากคำ Ionia) ผู้เป็นธีดาของพระเจ้าเซลิวคัส (Seleucus) บันทึกโบราณของศาสนาพุทธศาสนาฮินดูและศาสนาเชนให้เรื่องราวชีวประวัติที่แตกต่างกัน ข้อความในอวทานบรรยายว่าราชมารดาของพระองค์คือพระนางสุภัทรางคี Subhadrangī ตามบันทึกในอโศกาวทานพระนางเป็นลูกสาวของ Brahmin มาจากเมืองจำปา Champa พระนางตั้งชื่อให้พระองค์ว่า อโศก แปลว่า ผู้ไม่เศร้าโศก ในคัมภีร์ Divyāvadāna บอกเล่าเรื่องราวที่คล้าย ๆ กัน แต่ให้พระนามของพระราชินีว่า Janapadakalyānī พระเจ้าอโศกมีพี่น้องพี่อายุมากกว่าหลายพระองค์ ทั้งหมดเป็นพี่ชายครึ่งหนึ่งของพระองค์ซึ่งประสูติจากพระมเหสีพระองค์อื่นของ Bindusara พระบิดา พระเจ้าอโศกได้รับการฝึกฝนทางทหารในพระราชวัง ขึ้นสู่อำนาจจักรวรรดิโมริยะช่วงรุ่งเรืองที่สุดประมาณ พ.ศ. 278ข้อความในพุทธศาสนาอธิบายว่า พระเจ้าอโศกไปปราบปรามการลุกฮือขึ้นของกบฏอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของรัฐมนตรีที่ชั่วร้ายให้สงบลง เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลารัชกาลของพระเจ้าพินทุสาร บันทึกของนักบวชลามะชื่อ Taranatha บอกว่า ชานัคยา Chanakya หัวหน้าที่ปรึกษาของพระเจ้าพินทุสาร ทำลายล้างขุนนางและกษัตริย์ของเมือง 16 เมืองและตั้งพระเจ้าอโศกเป็นเจ้าของดินแดนเหล่านั้นทั้งหมดระหว่างดินแดนจากฝั่งทะเลตะวันออกกับฝั่งทะเลตะวันตก นักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่า นี่เป็นข้อบ่งชี้ถึงการพิชิตที่ราบเดคคาน(Deccan) ของพระเจ้าพิทุสาร ในขณะที่คนอื่น ๆ พิจารณาว่าเป็นการปราบปรามการจลาจล ตามดังกล่าวนี้ พระเจ้าอโศกถูกส่งไปประจำการอยู่ที่เมืองอุชเชน Ujain เมืองหลวงของ มัลวา Malwa ในฐานะเจ้าเมือง เมื่อพระเจ้าพินทุสารสวรรคตในปี 272 ก่อนคริสตกาลก็นำไปสู่สงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ของรัชทายาท ตามที่บันทึกใน Divyavadana พระเจ้าพินทุสารต้องการที่จะให้พระโอรสองค์โตของพระองค์พระนามว่า สุสิมะ Susima เป็นรัชทายาทของพระองค์ แต่พระเจ้าอโศกได้รับการสนับสนุนจากบรรดาอำมาตย์รัฐมนตรีของพระราชบิดาของพระองค์ เพราะบรรดารัฐมนตรีที่ปรึกษาเห็นว่าพระเจ้าสุสิมะ Susima เป็นคนหยิ่งและไม่สุภาพต่อพวกเขา รัฐมนตรีชื่อ Radhagupta ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในการขึ้นครองบัลลังก์ของพระเจ้าอโศก คัมภีร์อโศกาวทานบันทึกว่า Radhagupta ได้เสนอมอบช้างหลวงแก่พระเจ้าอโศกเพื่อเป็นพาหนะนั่งไปสู่สวนแห่งศาลาทองคำสถานที่ซึ่งพระเจ้าพินทุสารกำหนดเลือกผู้สืบทอดราชบัลลก์ ต่อมาพระเจ้าอโศกได้กำจัดองค์รัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลลงจากบัลลังก์ โดยการหลอกล่อองค์รัชทายาทให้เข้าไปยังหลุมเป็นหลุมที่เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ส่วน Radhagupta นั้น อโศกาวทานบันทึกว่า ต่อมาภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีที่สำคัญโดยพระเจ้าอโศกในฐานะที่ครั้งหนึ่งได้ให้การช่วยเหลือพระองค์ในการขึ้นครองบัลลังก์ คัมภีร์ทีปวงศ์ Dipavansa และคัมภีร์มหาวงศ์ Mahavansa ได้กล่าวถึงพระเจ้าอโศกได้สังหารพี่น้องไป 99 พระองค์ เหลือไว้เพียงแค่คนเดียว ชื่อว่า วิทาโศก หรือ ทิสษา Vitashoka or Tissa แม้ว่าเรื่องนั้นยังไม่ชัดเจนที่จะพิสูจน์ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ (บันทึกดังกล่าวเต็มไปด้วยองค์ประกอบทางตำนาน) พิธีราชาภิเษกมีขึ้นเมื่อ 269 ปีก่อน ค.ศ. สี่ปีหลังจากการสำเร็จรัชกาลของพระองค์เพื่อขึ้นครองบัลลังก์ รัฐตำนานชาวพุทธบอกว่า พระเจ้าอโศกเป็นคนอารมณ์ร้อนและเป็นคนโหดร้าย พระองค์สร้างนรกอโศก Ashoka's Hell หรือเรียกว่า นรกาลัย และสร้างห้องทรมานอันซับซ้อนให้เป็นเหมือนนรกบนสวรรค์เรียกว่า "Paradisal Hell" อันมีความแตกต่างระหว่างภายนอกอันสวยงามกับการกระทำข้างในที่ดำเนินการโดยเพชฌฆาตผู้ที่พระองค์แต่งตั้ง Girikaa เพราะเหตุนี้ทำให้พระองค์ได้รับนามว่า จัณฑาโศก (Caṇḍa Aśoka) แปลว่า อโศกพูดผู้ดุร้าย ในภาษาสันสกฤต ศาสตราจารย์ Charles Drekmeier อ้างว่า ตำนานของชาวพุทธโน้มเอียงออกไปทางแนวละครเป็นการใส่สีใส่ไข่ที่พระพุทธศาสนาใส่เข้าไปให้แก่พระองค์ อันได้แก่ ความโหดร้ายที่ผ่านมาของพระเจ้าอโศกและศรัทธาที่แก่กล้าของพระองค์หลังจากการเปลี่ยนศาสนาจึงดูเกินจริง เมื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้าอโศกทรงแผ่ขยายจักรวรรดิของพระองค์ออกไปกว้างขวางในอีกแปดปีข้างหน้า จากแคว้นอัสสัมในตะวันออกไปจนถึงบาลูจิสถาน Balochistan ทางตะวันตก จากหุบเขา Pamir Knot ในอัฟกานิสถานทางเหนือไปจนถึงคาบสมุทรภาคใต้ของอินเดีย ยกเว้นรัฐทมิฬนาฑูและรัฐเกรละในปัจจุบันนี้ซึ่งถูกปกครองโดย 3 อาณาจักรทมิฬโบราณ การพิชิตรัฐกาลิงคะในขณะที่ช่วงต้นของการครองราชย์ของพระเจ้าอโศกเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างกระหายเลือด พระองค์กลายมาเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหลังจากการพิชิตแคว้นกาลิงคะทางชายฝั่งด้านตะวันออกของอินเดีย ปัจจุบันนี้คือรัฐโอริสสาและทางตอนเหนือของอันตรประเทศ Andhra Pradesh แคว้นกลิงคะเป็นรัฐที่หยิ่งทรนงบนอำนาจอธิปไตยและประชาธิปไตยของพวกเขาพร้อมด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐสภาและสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นรัฐที่ค่อนข้างเป็นที่หลีกเลี่ยงของชาวอินเดีย (ภารตะ) โบราณ รัฐนั้นรับแนวคิดของ Rajdharma ซึ่งเป็นแนวคิดการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำ รัฐนั้นถูกปลูกฝังอยู่ภายใต้ด้วยแนวคิดแห่งความกล้าหาญและธรรมะ สงครามแคว้นกาลิงคะเกิดขึ้นเป็นเวลา 8 ปี หลังจากการราชาภิเษกของพระองค์ จากจารึกในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ของพระองค์ ทำให้พวกเราถึงรู้ว่าการรบมีขนาดใหญ่โตและทำให้มีทหารและราษฎรผู้ที่ลุกขึ้นต่อต้านตายมากกว่า 1 แสนคน มากกว่า 150,000 คนถูกเนรเทศ เมื่อพระองค์เสด็จเดินผ่านทุ่งของแคว้นกาลิงคะ หลังจากการพิชิตของพระองค์ ความดีใจแห่งชัยชนะของพระองค์ก็มลายหายไป เพราะจำนวนของซากศพที่กองระเกะระกะและความสะอื้นจากความสูญเสีย พระบรมราชโองการฉบับที่ 13 แห่งพระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกบนศิลาจารึกสะท้อนถึงการสำนึกผิดที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าอโศกทรงรู้สึกสำนึกผิดหลังจากการตรวจดูการทำลายล้างแคว้นกาลิงคะดังนี้ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกสำนึกผิดต่อผลของชัยชนะที่มีต่อแคว้นกาลิงคะ เพราะว่าในระหว่างการปราบปรามแคว้นที่ยังไม่เคยถูกพิชิตมาก่อนหน้านี้นั้น การสังหาร ความตาย และการจับประชาชนเป็นเฉลยศึกเกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกโศกเศร้าพระทัยอย่างมากและเสียพระทัยอย่างมาก” พระบรมราชโองการยังบอกกล่าวถึงระดับของความเศร้าโศกและความเสียใจอย่างมากมายอันเป็นผลมาจากการเข้าใจของพระเจ้าอโศกว่า บรรดาเพื่อนและครอบครัวของผู้ตายจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเหมือนกัน ตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งหลังจากสงครามจบลงพระเจ้าอโศกกล้าเสด็จออกไปเดินเตร่ในเมืองและพระองค์น่าจะทอดพระเนตรเห็นบ้านที่ถูกไฟไหม้และซากศพที่กระจัดกระจาย สงครามที่รุนแรงได้เปลี่ยนแปลงจักรพรรดิผู้เต็มไปด้วยความหึกเหิมให้มากลายเป็นจักรพรรดิผู้หนักแน่นมั่นคงและมุ่งสันติภาพ และพระองค์กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตามที่ได้บันทึกในอินเดียวิทยาที่สำคัญกล่าวว่า ศาสนาส่วนตัวของพระเจ้าอโศกกลายมาเป็นศาสนาพุทธ ถ้าไม่ก่อนก็หลังสงครามแคว้นกลิงคะแน่นอน อย่างไรก็ตาม การบรรยายของ A. L. Bashamนักประวัติศาสตร์และนักอินเดียวิทยาบอกว่า ธรรมะที่เผยแผ่อย่างเป็นทางการโดยพระเจ้าอโศกไม่ใช่เป็นธรรมะในทางพระพุทธศาสนาเลย แม้กระนั้น การเผยแผ่ของพระองค์ก็นำไปสู่การขยายวงกว้างออกไปของพระพุทธศาสนาในจักรวรรดิโมริยะและอาณาจักรอื่นๆในยุคเดียวกับที่พระองค์ปกครอง และออกไปสู่ต่างประเทศมากมายจาก จากประมาณปี 250 ก่อนคริสตกาล บุคคลที่โดดเด่นในกรณีนี้คือพระโอรสของพระองค์พระนามว่า พระมหินทเถระ (Mahinda) และพระธิดาของพระองค์พระนามว่า สังฆมิตตาเถรี (สังฆมิตตา แปลว่า เพื่อนของสงฆ์) ผู้ที่สถาปนาพระพุทธศาสนาขึ้นในเกาะซีลอน (ทุกวันนี้คือประเทศศรีลังกา) คัมภีร์อรรถกถาสมันตปาสาทิกาบอกว่า เวลาที่พระโอรสและพระธิดาทั้ง 2 องค์ผนวช พระเจ้าอโศกทรงอภิเษกครองราชย์ได้ 6 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ มีความดุร้ายและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ได้สั่งฆ่าขุนนางที่กระด้างกระเดื่อง จำนวน 500 ใครไม่เชื่อฟัง หรือ ขัดคำสั่งของพระองค์ให้ฆ่าเสีย ในคราวหนึ่ง นางสนมกำนัลไปหักกิ่งรานกิ่ง ดอกและต้นอโศกเล่น พระองค์ทรงกริ้วมาก จึงจับนางสนมกำนัลเหล่านั้นเผาทั้งเป็น ด้วยเหตุนี้จึงได้รับฉายาว่า จัณฑาโศก แปลว่า อโศกผู้ดุร้าย ต่อมาเมื่อไปรบที่แคว้นกลิงคะ (ปัจจุบันอยู่รัฐโอริศา) มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จึงเกิดความสลดสังเวชในบาปกรรม และตั้งใจแสวงหาสัจธรรมและพบนิโครธสามเณรที่มีกิริยามารยาทสงบเรียบร้อย จึงทรงนิมนต์พระนิโครธโปรดแสดงธรรม พระนิโครธก็แสดงธรรม จึงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ต่อมาได้ฟังพระธรรมจากพระสมุทรเถระ ทรงส่งกระแสจิตตามพระธรรมเทศนาจนเข้าถึงพระรัตนตรัย พระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ ศิลาจารึก มหาวิทยาลัยนาลันทา ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ และเลิกการแผ่อำนาจในการปกครอง มาใช้หลักธรรม (ธรรมราชา) ปกครอง นอกจากนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงส่งสมณทูตไปเผยแพร่ศาสนา โดยแบ่งเป็น 9 สาย สายที่ 8 มาเผยแพร่ที่ สุวรรณภูมิ โดยพระโสณะและพระอุตระเป็นสมณทูต และพระองค์เป็นผู้จัดการสังคายนาครั้งที่สามในศาสนาพุทธ ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป เป็นพระอัครศาสนูปถัมภกทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท ตามพระราชประวัติในคัมภีร์อโศกาวทานของฝ่ายมหายาน ในสมันตปาสาทิกา ทีปวงศ์ และมหาวงศ์ ของฝ่ายเถรวาท และทรงอุปถัมภ์ผู้ที่นับถือศาสนาเชนโดยการถวายถ้ำหลายแห่งให้แก่เชนศาสนิกเชนเพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา ต่อมาก็โปรดเกล้าให้สร้างบ่อน้ำ ที่พักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัดสาธารณูปโภคและสาธารณะตามหลักพุทธธรรม ต่อจากนั้นก็เสด็จไปพบสังเวชนียสถาน 4 แห่งเป็นคนแรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และต่อมาพระองค์ทรงได้สมญานามว่า ธรรมาโศก แปลว่า อโศกผู้ทรงธรรม ทรงครองราชย์ได้ 41 ปี พระเจ้าอโศกครองราชย์เป็นระยะเวลาประมาณ 36 ปีและสิ้นพระชนม์ในปี 232 ก่อนคริสตกาล ตำนานรัฐกล่าวว่า ในระหว่างพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระสรีระของพระองค์ได้ไหม้เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ราชวงศ์เมารยะคงอยู่แค่ 52 ปี จนกระทั่งจักรวรรดิของพระองค์ขยายออกไปเกือบครอบคลุมชมพูทวีปทั้งหมด พระเจ้าอโศกทรงมีพระมเหสีหลายพระองค์และมีพระโอรสหลายพระองค์ แต่พระนามของพระองค์เหล่านั้นส่วนมากก็หายไปตามกาลเวลา พระอัครมเหสี ของพระองค์ผู้ที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระบรมราชินีสำหรับการเคียงคู่ราชบัลลังก์ของพระองค์พระนามว่า อสันธิมิตรา ผู้ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีพระโอรส เมื่อพระองค์มีพระชนมายุมากขึ้น พระองค์ดูเหมือนจะตกอยู่ในมนต์สะกดของพระมเหสีสาวผู้มีอายุน้อยที่สุดพระนามว่า ติษยรักษา มีคนพูดว่า พระนางมีเสน่หาในพระโอรสของพระเจ้าอโศกพระนามว่า พระเจ้ากุณาล ผู้เป็นอุปราชในเมืองตักษศิลาและเจ้าชายก็มีความชอบธรรมในการขึ้นครองบัลลังก์ แต่ก็ต้องมาถูกทำให้พระเนตร (ตา) บอดเพราะโดนอุบายเล่ห์เหลี่ยม เจ้าหน้าที่เพฌชฆาตไว้ชีวิตเจ้าชายกุณาล และเจ้าชายกลายมาเป็นนักขับร้องเพลงและอยู่ร่วมกับองค์หญิงผู้เป็นที่รักพระนามว่ากาญจนมาลา ในเมืองปาฏลีบุตร พระเจ้าอโศกทรงได้ยินเสียงเพลงของเจ้าชาย และทรงตระหนักว่า ความโชคร้าย (ที่ต้องตาบอดและกลายมาเป็นนักร้อง) ของเจ้าชายกุณาล อาจเป็นผลมาจากการที่พระองค์สั่งให้ลงโทษอันเกิดจากความผิดในอดีตของจักรพรรดิอย่างพระองค์เอง พระองค์สั่งประหารพระมเหสีสาวติษยรักษา และกลับมาแต่งตั้งเจ้าชายกุนนลาในตำแหน่งผู้พิพากษา ในอโศกาวทานบรรยายว่า เจ้าชายกุณาลได้ให้อภัยแก่ติษยรักษา และได้บรรลุความเห็นแจ้ง (ปัญญา) ด้วยการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ในขณะที่พระองค์อ้างว่าพระเจ้าอโศกทรงให้อภัยแก่พระนางเหมือนกัน พระเจ้าอโศกไม่ทรงตอบสนองด้วยการให้อภัยไร ๆ เลย พระเจ้ากุณาลได้รับการสือทอดทอดรัชกาลโดยพระเจ้าสัมประติ พระโอรสของพระองค์ ประวัติศาสตร์ช่วงสมัยของพระเจ้าอโศกเมารยะอาจจะหายไปไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ เหมือนกันเวลาที่ผ่านเลยไปแล้ว พระองค์ก็ไม่เหลือบันทึกของรัชกาลของพระองค์ไว้ในเบื้องหลังเลย บันทึกเหล่านี้ได้มาจากจารึกเสาศิลาและจารึกแผ่นหินพร้อมด้วยกิจกรรมอันมากมายและการสอนที่พระองค์ต้องการที่จะให้เป็นสื่อไปถึงอาณาประชาราษฎร์ภายใต้พระนามของพระองค์ ภาษาที่ใช้ในการจารึกคือภาษาปรากฤต เป็นภาษาที่ใช้ทั่วไปในยุคนั้น โดยใช้อักษรพราหมีในการเขียน ในปี 185 ก่อนคริสตกาลประมาณ 50 ปีหลังจากพระเจ้าอโศกสิ้นพระชนม์ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์เมารยะพระองค์สุดท้ายพระนามว่า พระเจ้าพฤหัทรถ ถูกลอบสังหารโดยนายพลผู้เป็นเสนาบดีของกองทัพแห่งราชวงศ์เมารยะ ปุษยมิตร ศุงคะ ในขณะที่พระองค์กำลังดำเนินตรวจทหารองครักษ์กองเกียรติยศเดินสวนสนาม ปุษยมิตร ศุงคะ แห่งราชวงศ์ศุงคะได้สถาปนาจักรวรรดิศุงคะในปี 185 - 75 ก่อนคริสตกาลและปกครองเพียงแค่ส่วนเมื่อเทียบกับราชวงศ์เมาระยะ คือส่วนมากของดินแดนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิเมารยะ (ปัจจุบันนี้คือประเทศอัฟกานิสถานและประเทศปากีสถาน) ต่อมากลายเป็นอาณาจักรอินโดกรีก พระเจ้าอโศกเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์เมารยะแห่งอินเดีย มีการพิจารณาว่าพระองค์เป็นหนึ่งในผู้ปกครองแบบอย่างผู้สูงส่ง ผู้เป็นอมตะตลอดกาล พระเจ้าอโศกเกือบจะถูกลืมโดยนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษในช่วงต้น แต่เจมส์ปริ๊นเซส James Prinsep มีส่วนร่วมในการเปิดเผยแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์คนอื่นที่สำคัญคือนักโบราณคดีชาวอังกฤษ John Hubert Marshall ผู้เป็นอธิบดีแห่งกรมสำรวจโบราณสถานของอินเดีย ความสนใจหลักหลักของเขาคือสถูปสาญจี Sanchi และสารนาถ Sarnath รวมทั้งเมืองฮารับปา Harappa และโมเฮนโจดาโร Mohenjodaro เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม Sir Alexander Cunningham นักโบราณคดีชาวอังกฤษและวิศวกรกองทัพซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นบิดาแห่งการสำรวจโบราณคดีของอินเดียได้เปิดเผยชื่อสถานที่มรดกทางวัฒนธรรมเช่นสถูปบาร์ฮัต Bharhut สถูปสาญจี Sanchi และเจดีย์มหาโพธิ Mahabodhi Temple นักโบราณคดีชาวอังกฤษ Mortimer Wheeler ยังเปิดเผยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของพระเจ้าอโศกโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองตักสิลา Taxila ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตและการครองราชย์ของพระเจ้าอโศกมาจากแหล่งข้อมูลพระพุทธศาสนาที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ โดยเฉพาะคัมภีร์สันสกฤตอโศกาวทาน(เรื่องราวของพระเจ้าอโศก)เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 2 และพงศาวดารบาลี 2 เล่มของประเทศศรีลังกาคือคัมภีร์ทีปวงศ์และคัมภีร์มหาวงศ์ (the Dipavamsaand Mahavamsa) ให้ข้อมูลที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในปัจจุบันเกี่ยวกับพระเจ้าอโศก ข้อมูลเพิ่มเติมถูกเปิดเผยโดยศิลาจารึกที่เรียกว่า พระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศก Edicts of Ashoka เป็นการบันทึกที่น่าเชื่อถือในที่สุดถึงพระเจ้าอโศกกษัตริย์ตำนานชาวพุทธหลังจากการค้นพบบัญชีรายนามพระราชวงศ์ที่ปรากฏพระนามสำหรับลงพระนามในพระบรมราชโองการคือ ปริยทรรศี (Priyadarshi—พระองค์ผู้เป็นที่เคารพของทุก ๆ คนด้วยความรัก) อันเป็นพระนามที่ขึ้นต้นหรือพระนามสร้อยของพระเจ้าอโศกเมารยะ ซากโบราณสถานแห่งยุคของพระองค์ได้ถูกค้นพบที่ Kumhrar, Patna รวมไปถึงเสาศิลา 80 ต้นของหอประชุม (80-pillar hypostyle hall) Edicts of Ashoka - พระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกเป็นจารึกมี 33 ชุด collection บนเสาศิลาของพระเจ้าอโศก Pillars of Ashoka เช่นเดียวกับบนแผ่นหินและบนผนังถ้ำ ซึ่งจารึกขึ้นในช่วงยุคของรัชกาลของพระองค์ จารึกเหล่านี้ถูกพบแพร่กระจายอยู่ทั่วประเทศปากีสถานและประเทศอินเดียในทุกวันนี้ แสดงหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่ามีอยู่จริงครั้งแรกของพระพุทธศาสนา พระบรมราชโองการยังอธิบายรายละเอียดการออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางครั้งแรกผ่านการสนับสนุนจากหนึ่งในพระมหากษัตริย์ทรงอำนาจสูงสุดในประวัติศาสตร์ของชาวอินเดีย และแสดงข้อมูลที่มากมายของเจ้าหน้าที่ข้าราชการของพระเจ้าอโศกรวมไปถึงศีลธรรมคุณธรรมศีลธรรมทางศาสนาและพระราชดำริของพระองค์เกี่ยวกับสังคมและสวัสดิภาพความปลอดภัยของสัตว์ Ashokavadana – อโศกาวทานเป็นข้อความเกี่ยวกับตำนานของพระเจ้าอโศก ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2 ตำนานถูกแปลเป็นภาษาจีนโดยหลวงจีนฟาเหียนในปี ค.ศ. 300 เป็นข้อความของนิกายหินยานเป็นหลัก โลกของตำนานคือเมืองมธุราและอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ ความสำคัญของข้อความที่รู้จักกันนิดหน่อยนี้ คือการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์และองค์กรคณะสงฆ์ การตั้งอุดมคติของชีวิตทางศาสนาสำหรับฆราวาส โดยการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแสวงประโยชน์ทางศาสนา สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือการเปลี่ยนศาสนาของพระเจ้าอโศกไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับสงครามแคว้นกาลิงคะ ซึ่งไม่เคยถูกบรรยายไว้ ที่น่าแปลกพอ ๆ กันคือการบันทึกการใช้อำนาจรัฐในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปแบบที่แน่วแน่ ตำนานของ Veetashoka ให้ข้อมูลเชิงลึกถึงลักษณะของพระเจ้าอโศกแต่ไม่เป็นไปในทางเดียวกันกับบันทึกบาลีที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เหรียญเครื่องหมายหมัด(กำปั้น)ของพระเจ้าอโศกเหรียญเงิน กษาปณ์ (karshapana) จักรวรรดิ์เมารยะ, ยุคของพระเจ้าอโศก 272-232 ก่อน ค.ศ., โรงงานเมืองมถุรา. ด้านหัว: สัญลักษณ์รวมไปถึงพระจันทร์และสัตว์ ด้านก้อย: สัญลักษณ์ ขนาด: 13.92 x 11.75 มม. น้ำหนัก: 3.4 ก.สัญลักษณ์คทางูไขว้บนเหรียญเครื่องหมายหมัด(กำปั้น)ของจักรวรรดิ์เมารยะในอินเดีย, ในศตวรรษที่ 3-2 ก่อน ค.ศ.Mahavamsa - คัมภีร์มหาวงศ์ (มหาพงศาวดาร) เป็นบทกลอนทางประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษาบาลีเป็นพงศาวดารของพระมหากษัตริย์แห่งศรีลังกา พงศาวดารนี้ครอบคลุมตั้งแต่ยุคการปรากฏขึ้นของกษัตริย์วิชัยแห่งแคว้นกาลิงคะ (รัฐโอริสสาโบราณ) ในปี 543 ก่อนคริสตกาลถึงการครองราชย์ของกษัตริย์มหาเสนา (134 - 361 ก่อนคริสตกาล) และคัมภีร์มหาวงศ์มักอ้างถึงราชวงศ์ของอินเดียบ่อย ๆ คัมภีร์มหาวงศ์ยังมีคุณค่าต่อนักประวัติศาสตร์ผู้ที่ต้องการวันที่และความสัมพันธ์ทางราชวงศ์ร่วมยุคร่วมสมัยกันในอนุทวีปของชาวอินเดีย และเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญมากในการกำหนดช่วงยุคเวลาของพระเจ้าอโศก Dwipavamsa - คัมภีร์ทีปวงศ์ (พงศาวดารแห่งเกาะ(ลังกา)ในภาษาบาลี) เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศศรีลังกาที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เป็นพงศาวดารที่เชื่อกันว่าถูกรวบรวมขึ้นจากอรรถกถาและแหล่งข้อมูลอื่น ในราวคริตศตวรรษที่ 3-4 พระมหากษัตริย์พระนามว่า Dhatusena ในคริตศตวรรษที่ 4 รับสั่งให้สาธยายคัมภีร์ทีปวงศ์ในงานเทศกาลพระมหินทร์ (ภิกษุผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศก) Mahinda festival ที่จัดขึ้นทุกปีในเมืองอนุราธปุระ Anuradhapura สัญลักษณ์สัญลักษณ์ของเหรียญเครื่องหมายหมัด (กำปั้น) Punch-marked coins แห่งจักรวรรดิเมารยะในอินเดียมองดูเหมือนสัญลักษณ์คทางูไขว้มากอายุ 200-300 ก่อนคริสตกาล การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเหรียญให้ข้อมูลว่าสัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอโศก เรียกสัญลักษณ์ส่วนพระองค์ (ส่วนตัว) นี้ว่า มุทรา (Mudra) สัญลักษณ์นี้ยังไม่ถูกใช้บนเหรียญเครื่องหมายหมัด (กำปั้น) ของกษัตริย์ก่อนยุคราชวงศ์เมารยะ แต่ถูกใช้บนเหรียญของยุคราชวงศ์เมารยะเท่านั้น พร้อมกับด้วยสัญลักษณ์เนินเขาโค้งสามเนิน Three arched-hill symbol สัญลักษณ์นกยูงบนเนินเขา peacock on the hill สัญลักษณ์สามเกลียว Triskelis และสัญลักษณ์เมืองตักสิลา Taxila mark การใช้แหล่งข้อมูลทางพระพุทธศาสนาในการประติดประต่อพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกมีอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้ถึงพระองค์ รวมไปถึงการตีความคำสั่งสอนของพระเจ้าอโศก นักวิชาการก่อนหน้านั้นยกย่องพระเจ้าอโศกในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ชาวพุทธที่สำคัญผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและรับภาระอย่างกระตือรือร้นในการช่วยเหลือและสนับสนุนองค์กรสงฆ์ทางพระพุทธศาสนา นักวิชาการชื่อ Romila Thappar เขียนเกี่ยวกับพระเจ้าอโศก ว่า พวกเราต้องการเห็นพระองค์ทั้งในฐานะรัฐบุรุษในบริบทของการสืบทอดและการคงไว้ซึ่งอาณาจักรในยุคประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงและในฐานะบุคคลที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมผ่านสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเผยแผ่ของ จริยธรรมทางสังคม โองการของพระเจ้าอโศกเป็นแหล่งข้อมูลแหล่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและแหล่งข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าอโศกเป็นชาวพุทธ ในพระบรมราชองการของพระองค์ พระเจ้าอโศกทรงแสดงออกถึงการสนับสนุนศาสนาใหญ่ใหญ่ทั้งหมดในยุคของพระองค์ คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน และศาสนาอาชีวก Ajivikaism ในพระบรมราชโองการของพระองค์ที่ส่งไปยังพื้นที่ที่มีประชากรขนาดใหญ่ โดยทั่วไปพระองค์มุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางศีลธรรมที่สมาชิกของทุกศาสนายอมรับได้ และ Amartya Sen เขียนไว้ว่า จักรพรรดิชาวอินเดียพระนามว่าอโศกในปีที่ 300 ก่อนคริสตกาล นำเสนอจารึกทางการเมืองจำนวนมากในการสนับสนุนความอดทนและเสรีภาพของแต่ละบุคคล ทั้งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐและในความสัมพันธ์ของประชาชนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามพระบรมราชโองการได้ระบุชี้ชัดลงไปว่าพระองค์เป็นชาวพุทธ ในพระบรมราชโองการหนึ่งบรรยายพิธีกรรมที่เล็กน้อยของพระองค์และพระองค์ทรงห้ามการบูชายัญด้วยสัตว์ตามคัมภีร์พระเวท ข้อมูลที่หนักแน่นเหล่านี้ทำให้เห็นว่าพระองค์อย่างน้อยก็ไม่ได้มองไปที่แนวทางตามคัมภีร์พระเวท นอกจากนั้นโองการจำนวนมากก็ได้แสดงถึงความเป็นชาวพุทธของพระองค์ หนึ่งในพระบรมราชโองการพระเจ้าอโศกทรงประกาศพระองค์เองว่าเป็นอุบาสก upasaka และในที่อื่นๆพระองค์แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมใกล้ชิดโดยข้อความทางพระพุทธศาสนา พระองค์สร้างศิลาจารึกเรียกว่าเสาอโศก ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าสังเวชนียสถาน แต่ไม่ปรากฏว่าพระองค์ทำอย่างนั้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่น พระองค์ยังใช้คำว่าธรรมะ dhamma สำหรับการสั่งสอนอันจะนำไปสู่คุณภาพของจิตใจเพื่อจะรองรับการกระทำที่ประกอบด้วยศีลธรรม นี่เป็นการใช้คำของชาวพุทธอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างไรก็ตามพระองค์ใช้คำในด้านเชิงจิตวิญญาณมากกว่าวินัยที่เข้มงวด Romila Thappar เขียนว่าธรรมะของพระองค์ไม่ได้ส่งมาจากแรงบันดาลใจจากพระเจ้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการปฏิบัติตามพันธสัญญาจากสวรรค์ สวรรค์ ธรรมะของพระองค์สอดคล้องกับด้วยคุณธรรมแบบมีเหตุผลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตรรกะทางธรรมของพระองค์มุ่งประสงค์ไปที่ความเต็มใจปฏิบัติตามระเบียบวินัยของประชาชนในความปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่ประชาชนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน ตำนานอโศกจนกระทั่งจารึกของพระเจ้าอโศกถูกค้นพบและถูกถอดรหัส เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าอโศกอยู่บนฐานข้อมูลเชิงตำนานของพระชนม์ชีพของพระองค์และไม่เคร่งครัดตามความจริงทางประวัติศาสตร์ ตำนานเหล่านั้นถูกพบในแหล่งข้อมูลต้นฉบับทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับข้อความของอโศกาวทาน อโศกาวทานเป็นชุดย่อยของชุดใหญ่ของตำนานในติวิยาวทาน (Divyavadana) ต่อไปนี้คือตำนานเล่าเรื่องในอโศกาวทานเกี่ยวกับพระเจ้าอโศก: 1) หนึ่งของเรื่องที่พูดถึงกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระชนม์ชีพในอดีตชาติของพระเจ้าอโศก คือ เมื่อพระองค์เป็นกุมารน้อย นามว่า ชะยะ (Jaya) ในขณะนั้น ชยกุมารกำลังเล่นอยู่ที่ริมถนน พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง กุมารก็หยิบดินเต็มกำมือใส่ในชามขอทาน (บาตร) ของพระพุทธเจ้าถวายเป็นทานเพื่อประกาศความปรารถนาของตนที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ การแย้มนั้น ได้ส่องสว่างทั่วจักรวาลพร้อมด้วยรัศมีแห่งแสงสว่าง รัศมีแห่งแสงสว่างเหล่านั้นมีแล้วก็กล่าวถึงการเข้าไปสู่อุ้มพระหัตถ์เบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า มีความหมายว่าชยกุมารนี้จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอนาคต พระพุทธเจ้าได้ทรงหันไปตรัสกับพระอานนท์ศิษย์ของพระองค์ และตรัสพยากรณ์ว่ากุมารนี้จะได้เป็นจักรพรรดิทรงธรรมผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองจักรวรรดิจากเมืองหลวงปาฏลีบุตร 2) เรื่องราวอื่น ๆ มุ่งพรรณนาพระเจ้าอโศกในแบบคนชั่วร้ายเพื่อถ่ายทอดความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของเขาให้เป็นคนดีเมื่อรับเอาพระพุทธศาสนา เริ่มต้นโดยระบุว่าความน่าเกลียดทางร่างกายของพระเจ้าอโศกทำให้พระองค์ไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระราชบิดาคือพระเจ้าพินทุสาร พระเจ้าอโศกต้องการที่จะเป็นพระมหากษัตริย์และดังนั้นพระองค์จึงกำจัดองค์รัชทายาทโดยการล่อลวงให้เข้าไปสู่หลุมที่เต็มด้วยถ่านเพลิง พระองค์กลายเป็นผู้ที่รู้จักในชื่อ จัณฑาโศก พระเจ้าอโศกผู้ดุร้าย เพราะธรรมชาติที่ดุร้ายและอารมณ์ที่ดุร้ายของพระองค์ กล่าวกันว่าจะต้องมีการอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีเพื่อทดสอบความจงรักภักดี แล้วมี 500 คนเสียชีวิตเพราะความล้มเหลว กล่าวกันว่าพระองค์ได้ให้เผาฮาเร็มทั้งหมดอันนำไปสู่ความตายเมื่อผู้หญิงบางคนในนั้นได้ดูถูกพระองค์ พระองค์อาจจะได้รับความสุขที่ซาดิสจากการมองดูคนอื่นที่ทุกข์ทรมาน และนี่ พระองค์สร้างพระองค์ห้องทรมานที่ลึกลับซับซ้อนและน่ากลัวของพระองค์เอง อันเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงหัวเราะขบขันจากการมองดูการทรมานคน เรื่องราวเล่าต่อว่าเป็นอย่างไรหลังจากพบปะกับพระภิกษุสงฆ์ผู้เคร่งศาสนาคือพระเจ้าอโศกก็เปลี่ยนแปลงไปสู่พระเจ้าอโศกผู้เคร่งศาสนา หลวงจีนนักเดินทางชาวจีนผู้ได้ไปเยี่ยมเยียนประเทศอินเดียในปีคริสต์ศตวรรษที่ 7 ชื่อ พระถังซัมจั๋งหรือเสวียนจั้งได้บันทึกในบันทึกความทรงจำของเขาว่าเขาได้ไปเยี่ยมเยียนสถานที่เป็นห้องทรมานซึ่งยังคงมีให้เห็นอยู่ 3) เรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันนำไปสู่จุดอวสานแห่งช่วงเวลาของพระเจ้าอโศกในโลก กล่าวกันว่าพระเจ้าอโศกพระราชทานงบประมาณในท้องพระคลังเพื่อภิกษุสงฆ์ อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีของพระองค์เห็นว่า ความผิดปกติพระองค์อาจจะนำไปสู่ความตกต่ำของจักรวรรดิและ ดังนั้นจึงได้งดการเข้าถึงสมบัติในท้องพระคลังผลก็คือพระเจ้าอโศกได้เริ่มพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนตัวของพระองค์อย่างเป็นประจำและในท้ายที่สุดพระองค์ไม่ทรงเหลืออะไรไว้และเสด็จสวรรคตอย่างสงบ ณ จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่า Ashokavadana เป็นข้อความทางพุทธศาสนาในตัวเอง พยายามที่จะได้รับการเปลี่ยนศาสนาเป็นชาวพุทธใหม่ ๆ โดยอาศัยตำนานเหล่านี้ทั้งหมด ความจงรักภักดีต่อพระพุทธศาสนาและความจงรักภักดีต่อพระสงฆ์ถูกเน้นหนัก ตำราดังกล่าวเพิ่มความเข้าใจว่าอโศกเป็นพระมหากษัตริย์ที่เหมาะสำหรับชาวพุทธที่สมควรได้รับความชื่นชมและการเลียนแบบ แนวทางเกี่ยวกับศาสนาตามบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวอินเดีย Romila Thapar พระเจ้าอโศกเน้นความเคารพสำหรับอาจารย์สอนศาสนาทุกคน และประสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก อาจารย์สอนและลูกศิษย์ นายจ้างและลูกจ้าง ศาสนาของพระเจ้าอโศกเก็บตกจากทุกศาสนา พระองค์เน้นคุณธรรมข้ออหิงศา การเคารพต่ออาจารย์สอนทุกศาสนา เคารพอย่างเท่าเทียมกันสำหรับการศึกษาของแต่ละคัมภีร์ศาสนาอื่นๆและศรัทธาอย่างมีเหตุผล การขยายตัวของพุทธศาสนาในโลกจักรพรรดิ์อโศกทรงเชื่อว่าพุทธศาสนามีประโยชน์สำหรับมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกับสัตว์และพืชดังนั้นพระองค์จึงทรงสร้างจำนวนของ สถูป สังฆาราม วิหาร Chaitya และที่อยู่ของพระสงฆ์ ทั่วทั้งเอเชียใต้และเอเชียกลางตามบันทึก ในอโศกาวทานพระองค์ทรงสั่งให้สร้างสถูป 84000 แห่งเพื่อที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า อารยมันชุศรี มูลกัลป Aryamanjusrimulakalpa บันทึกไว้ว่าพระเจ้าอโศกทรงถวายรถม้าที่ประดับด้วยโลหะอันมีค่ามากในการเดินทางไปยังสถูปแต่ละแห่ง พระองค์ให้การบริจาคสำหรับวิหารและมัททะ Matha (มหาวิทยาลัยของฮินดู) พระองค์ทรงส่งพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวคือพระนางสังฆมิตตาเถรี Sanghamitra และพระราชโอรสคือพระมหินทเถระ Mahindra ไปเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา (ซึ่งรู้จักกันในสมัยนั้นว่าเกาะตัมพปัณณิ) พระเจ้าอโศกยังส่งพระภิกษุผู้เป็นสมณทูตที่สำคัญ เช่น พระเจ้าอโศกทรงเชิญชาวพุทธและผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธมาเพื่อประชุมเกี่ยวกับศาสนา พระองค์ทรงสร้างแรงบันดาลใจให้พระภิกษุรจนาคัมภีร์ทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ และยังทรงช่วยทุกประเภทในเรื่องนี้ พระเจ้าอโศกทรงช่วยพัฒนาวิหาร (ศูนย์กลางแห่งปัญญา) เช่นมหาวิทยาลัยนาลันทาและตักศิลา พระเจ้าอโศกยังทรงช่วยในการก่อสร้างสถูปสาญจี และวิหารมหาโพธิ พระเจ้าอโศกยังบริจาคแก่ผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ พระเจ้าอโศกทรงให้ความช่วยเหลือและทรงเคารพทั้งสมณและพราหมณ์ เจ้าอโศกยังทรงช่วยเหลืออุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 3 ในปี 250 ก่อนคริสตกาลที่เมืองปาฏลีบุตร (ทุกวันนี้คือเมืองปัตนะ) ประธานฝ่ายสงฆ์คือพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระผู้ที่เป็นครูฝ่ายจิตวิญญาณของพระเจ้าอโศก พระราชโอรสของจักรพรรดิอโศกคือพระมหินทเถระ ยังได้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการแปลคัมภีร์ภาษาดั้งเดิม(ภาษาบาลี)ไปสู่ภาษาที่เข้าใจกันได้ของประชาชนชาวศรีลังกาคือภาษาสิงหล เป็นที่ทราบกันดีว่า พระเจ้าอโศกส่งสมณทูตให้นำพระราชสาส์นจดหมายหรือบอกปากต่อปากไปยังประชาชนในที่ต่างๆ พระบรมราชโองการที่เป็นศิลาจารึกแผ่นที่ 6 เกี่ยวกับพระบรมราโชวาทเปิดเผยสิ่งนี้ มันถูกยืนยันในเวลาต่อมาว่า คำสอนแบบมุขปาฐะก็ได้รับเขียนการบันทึกขึ้น และเนื้อหาส่วนที่เป็นเรื่องราวของพระเจ้าอโศกสามารถที่จะอนุมานได้จากพระบรมราชองการศิลาจารึกแผ่นที่ 13 ได้เช่นเดียวกัน จารึกเหล่านั้นถูกมุ่งหมายถึงการเผยแผ่หลักธรรมวิชัยของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงพิจารณาถึงชัยชนะที่สูงสุดและพระองค์ทรงประสงค์ที่จะเผยแพร่ไปยังทุกหนทุกแห่ง ซึ่งรวมไปถึงนานาอารยประเทศไกลออกไปจากอินเดีย นั่นก็เป็นที่ประจักษ์และปฏิเสธไม่ได้ถึงร่องรอยแห่งวัฒนธรรมที่ติดต่อผ่านกันโดยการใช้จารึกอักษรขโรษฐีและแนวคิดการสร้างจารึกน่าจะถูกส่งไปพร้อมด้วยจารึกนี้ซึ่งได้รับอิทธิพลของจักรวรรดิอะคีเมนิดจะเห็นได้จากบางส่วนแห่งการวางกฎเกณฑ์โดยพระเจ้าอโศกในจารึกของพระองค์ นี่แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าอโศกได้ทรงติดต่อกับวัฒนธรรมอื่นๆจริงแท้ และเป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานและแนวคิดใหม่ๆข้ามกำแพงแห่งแนวคิดของพระองค์เอง ในอาณาจักรของชาวกรีกในพระบรมราชโองการ ของพระองค์พระเจ้าอโศกทรงตรัสถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศกรีกได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและเป็นผู้รับการเผยแพร่จากทูตของพระองค์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการบันทึกทางประวัติศาสตร์ของกรีกสำหรับเหตุการณ์นี้ในพระบรมราชโองการดังนี้:
— โองการพระเจ้าอโศกแปลโดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ.ปยุตฺโต) ฉบับธรรมเมกขสถูป ที่ ๑๓ พบที่สารนาถ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่าที่จะจินตนาการว่า พระเจ้าอโศกได้รับจดหมายจากพระมหากษัตริย์ชาวกรีกและมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับราชวงศ์ชาวกรีกอย่างไร บางทีพระองค์อาจจะรับรู้ได้จากจารึกของกษัตริย์อะคีเมนิด ที่ให้การแสดงทางการทูตของพระมหากษัตริย์ชาวกรีกในอินเดีย (เช่นเดียวกับราชทูตที่พระเจ้าอโศกทรงส่งไป) Dionysius ทุกรายงานว่าได้เป็นราชทูตชาวกรีกประจำอยู่ที่ศาลของพระเจ้าอโศกส่งไปโดยมหากษัตริย์พระนามว่า ปโตเลมีที่ 2 Ptolemy II Philadelphus ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในโองการของพระเจ้าอโศกว่าเป็นผู้รับสมณทูตของพระเจ้าอโศกนักปรัชญาชาวกรีกบางคน เช่น Hegesias of Cyrene ผู้ที่อาจจะอาศัยอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้ามาคัส Magas คนหนึ่งของผู้ที่น่าจะได้เป็นผู้รับสมณทูตจากพระเจ้าอโศก บางครั้งคิดว่าได้รับอิทธิพลจากคำสอนของพุทธศาสนา ชาวกรีกจะมีบทบาทอย่างแข็งขันในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา บางท่านในคณะทูตพระเจ้าอโศกเช่นพระธัมมรักขิตผู้ที่ถูกอธิบายในต้นฉบับภาษาบาลีเป็นผู้นำคณะสมณทูตพระภิกษุชาวกรีกทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ชาวกรีกบางคนมีบทบาทในการปกครองดูแลหน้าที่ชายแดนซึ่งแต่งตั้งโดยพระเจ้าอโศก จารึกรัฐ Girnar ของ Rudradamanบันทึกไว้ว่าในระหว่างการปกครองของพระเจ้าอโศก ผู้ว่าราชการรัฐชาวกรีกโยนกเป็นผู้รับผิดชอบรัฐ Girnar, คุชราต Gujarat การกล่าวถึงการปกครองคลองพระองค์ในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ในฐานะผู้ปกครองดูแลกองกำลังทางทหารของพระเจ้าอโศกมีความแข็งแกร่งมากแต่หลังจากการเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาของพระองค์พระองค์ก็ฟื้นฟูปรับปรุงความสัมพันธ์แบบมิตรภาพกับ 3 อาณาจักรทมิฬใหญ่ ทางภาคใต้ คืออาณาจักร Cheras, Cholas and Pandyas Tamraparni, and Suvarnabhumi. ในโองการของพระองค์บอกว่าพระองค์จัดสร้างตระเตรียมยาการรักษาสำหรับประชาชนและสัตว์ในอาณาจักรของพระองค์เองเช่นเดียวกับรัฐที่อยู่ใกล้เคียงเหล่านั้นด้วยพระองค์ยังสั่งให้ขุดและปลูกต้นไม้ตลอดแนวสองข้างถนนเพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ด้านสวัสดิภาพของสัตว์ศิลาจารึกพระบรมราชโองการของพระเจ้าอโศกได้บอกอย่างชัดเจนว่าการทรมานเบียดเบียนและสิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งไม่ดีและสัตว์จะต้องไม่ถูกฆ่าเพื่อการบูชายัญ อย่างไรก็ตามพระองค์ไม่ห้ามฆ่าปศุสัตว์ทั่วไปและเนื้อสำหรับการบริโภคพระองค์สั่งห้ามการฆ่าสัตว์ 4 เท้าสำหรับกรณีที่ไม่เกิดประโยชน์และไม่บริโภค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดของสัตว์รวมไปถึงนกหลายชนิดปลาและวัวบางชนิด ยังสั่งห้ามการฆ่าแพะตัวเมียแกะและหมูที่ยังเลี้ยงลูกอ่อนอยู่ เช่นเดียวกับลูกอ่อนของสัตว์เหล่านั้นที่อายุยังไม่ถึง 6 เดือน พระองค์ยังสั่งห้ามการฆ่าปลาทุกชนิดและการตอนสัตว์ในระหว่างบางช่วงเวลาเช่นฤดูเข้าพรรษาและวันอุโบสถ พระเจ้าอโศกยังสั่งห้ามการล่าสัตว์ของราชวงศ์และข้าราชการและให้เป็นเขตสงวนอภัยทานเพื่อให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ในเขตพระราชวัง เพราะพระองค์ทรงห้ามการล่าสัตว์ จึงมีการสร้างคลินิกสัตวแพทย์และจำกัดการบริโภคเนื้อในวันหยุดมากมาย จักรวรรดิเมารยะภายใต้การปกครองของพระเจ้าอโศกได้ถูกบรรยายให้เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เล็กมากๆในประวัติศาสตร์โลกของของรัฐบาลที่ปฏิบัติต่อสัตว์ของตนในฐานะพลเมืองที่สมควรได้รับการคุ้มครองในฐานะประชาชนผู้อยู่อาศัย ธรรมจักรของพระเจ้าอโศกธรรมจักรของพระเจ้าอโศก (วงล้อของพระเจ้าอโศก) เป็นการสื่อถึงพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร(เรียกว่าวงล้อแห่งธรรม) วงล้อมี 24 ซี่ ซึ่งแสดงถึงกฎ 12 ข้อของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอนุโลม(ตามลำดับ)และกฎ 12 ข้อของของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายปฏิโลม (ทวนกลับ) วงล้อของพระเจ้าอโศกได้ดูแกะสลักไว้อย่างมากมายทั่วจักรวรรดิอโศก ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาวงล้อเหล่านั้นคือธรรมจักรที่มียอดเป็นสิงโตแห่งสารนาถและเสาศิลาของพระเจ้าอโศกซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุดเพราะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงกลางของธงแห่งประเทศสาธารณรัฐอินเดีย (ใช้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ.1947) ซึ่งมันจะเป็นปรากฏสีน้ำเงินครามบนพื้นหลังสีขาว โดยแทนที่สัญลักษณ์วงล้อปั่นด้ายของธงรุ่นเก่า วงล้อธรรมจักรพระเจ้าอโศกยังสามารถพบเห็นได้บนฐานเป็นหลังของสิงโตรองรับซึ่งก็ถูกนำไปใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำชาติอินเดียด้วย วงล้อธรรมจักรของพระเจ้าอโศกถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโศกในรัชกาลของพระองค์วงล้อธรรมจักรในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า ล้อ หรือ กระบวนการหมุนวน กระบวนการสื่อถึงวัฏจักรของเวลา เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกตามเวลา ไม่กี่วันก่อนที่ประเทศอินเดียจะได้รับอิสรภาพในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1947 การประชุมของสมาชิกผู้ก่อตั้งพิเศษได้ตัดสินใจว่าธงของประเทศอินเดียควรจะเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนและทุกชุมชนสังคม ธงสามสี สีเหลือง สีขาวและสีเขียว พร้อมด้วยธรรมจักรพระเจ้าอโศกได้ถูกเลือก สถาปัตยกรรมหินพระเจ้าอโศกมักจะได้รับการเชื่อว่ายุคเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมหินในประเทศอินเดีย อาจจะเป็นไปได้ที่ได้เรียนรู้จากคำแนะนำในด้านเทคนิคการสร้างด้วยหินโดยชาวกรีกหลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ก่อนยุคของพระเจ้าอโศกการก่อสร้างอาจจะเป็นการก่อสร้างที่ใช้วัสดุที่ไม่คงทน เช่นไม้ไม้ไผ่ และหญ้าคาสำหรับมุม พระเจ้าอโศกอาจจะสร้างพระราชวังของพระองค์ขึ้นใหม่ไดเมืองปาฏลีบุตรขึ้นแทนที่วัสดุที่เป็นไม้ด้วยหิน และอาจจะได้รับการช่วยเหลือจากช่างฝีมือชาวต่างประเทศ พระเจ้าอโศกยังคิดค้นการใช้คุณสมบัติของหินที่คงทนถาวรสำหรับการเขียนพระบรมราชองการเช่นเดียวกับเสาศิลาพร้อมทั้งสัญลักษณ์ทางพระศาสนา เสาศิลาของพระเจ้าอโศก (บาลี เป็น อโสกถมฺภ)เสาศิลาของพระเจ้าอโศกเป็นชุดของเสา ที่กระจายอยู่ทั่วภาคเหนือของอนุทวีปอินเดียสร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโศกในรัชกาลของพระองค์ในปีที่ 300 ก่อนคริสตกาล ในขั้นต้นน่าจะมีเสาอยู่หลายต้นของพระเจ้าอโศกถึงแม้ว่าจะเหลืออยู่เพียง 10 ต้นพร้อมกับจารึกที่เหลือรอด ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่างสี่สิบห้าสิบฟุตและมีน้ำหนักถึงห้าสิบตัน เสาทุกต้นถูกเจาะสกัดขึ้นที่ Chunar ทางตอนใต้ของเมืองพาราณสีและถูกลากไปไกลหลายร้อยไมล์ไปยังที่ที่ประดิษฐานขึ้น เสาสิลาต้นแรกของพระเจ้าอโศกถูกค้นพบในปีคริตสศตวรรษที่ 16 โดย Thomas Coryat ในซากปรักหักพังของเมืองเดลีโบราณ วงล้อแสดงถึงเวลาแห่งพระอาทิตย์และกฎทางพระพุทธศาสนาขณะที่เครื่องหมายการยืนของสวัสติกะสำหรับการเต้นรำของจักรวาลรอบศูนย์กลางคงที่และป้องกันความชั่วร้าย หัวเสาสิงโตของพระเจ้าอโศก (อโศกมุทรา)ยอดเสาสิงโตของพระเจ้าอโศกเป็นประติมากรรมสิงโต 4 ตัวยืนหันหลังให้กัน ดั้งเดิมนั้นมันถูกวางอยู่บนยอดเสาศิลาพระเจ้าอโศกที่สารนาถ ทุกวันนี้อยู่ในรัฐอุตตรประเทศ Uttar Pradesh ของอินเดียสักศิลาบางครั้งก็ถูกเรียกว่าคอลัมน์ของพระเจ้าอโศก ซึ่งมันก็ยังคงตั้งอยู่ ณ สถานที่เดิมของมัน แต่ว่าหัวเสาสิงโตตอนนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์สารนาถ สิงโตนี้น้ำมาจากสารนาถซึ่งถูกใช้เป็นตราของประเทศอินเดียและวงล้อธรรมจักรของพระเจ้าอโศกจากฐานของมันถูกนำไปวางอยู่ตรงกลางของธงของประเทศอินเดีย หัวเสาที่มีสิงโต 4 ตัว (เป็นสิงโตเอเชีย ในอินเดีย) ยืนหันหลังเข้าหากันติดตั้งอยู่บนลูกบาศก์ทรงกระบอกสั้น พร้อมด้วยรูปแกะสลักปฏิมากรรมของช้าง ม้ากำลังควบ วัว และสิงโต แยกออกจากกันโดยการแทรกด้วยล้อรถม้าแบบมีซี่วางอยู่เหนือดอกบัวที่เป็นรูประฆัง แกะสลักออกมาจากบล็อกเดี่ยวของหินทรายมันเงา ยอดเสาเชื่อว่าน่าจะถูกสวมวงล้อธรรม (ธรรมจักรที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศอินเดียในฐานะธรรมจักรของพระเจ้าอโศก) เสาศิลาแห่งสารนาถบันทึกหนึ่งในโองการของพระเจ้าอโศก การจารึกการระงับความแตกแยกกันในภายในองค์กรของชาวพุทธ ดังนี้ “ไม่มีใครจะทำให้เกิดการแตกแยกในคำสั่งของพระภิกษุสงฆ์ สัตว์สี่ชนิดในบนหัวเสาแห่งสารนาถเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายเรื่องต่างๆของชีวิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นอกจากการตีความในเชิงศาสนาแล้ว ยังมีการตีความที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์แห่งเสาศิลาหลักที่สำคัญของพระเจ้าอโศกที่สารนาถ คือ สัญลักษณ์สิงโต 4 ตัวหมายถึงการปกครองของพระเจ้าอโศกแผ่ออกไปตลอดสี่ทิศ สัญลักษณ์วงล้อหมายถึงการปกครองโดยธรรมของพระองค์ (จกฺกวตฺติน) สัญลักษณ์สัตว์ 4 ชนิดหมายถึงดินแดนที่อยู่ติดต่อกันทั้ง 4 ของอินเดีย การก่อสร้างที่ได้รับการเชื่อถือในยุคพระเจ้าอโศกการบูรณะโดยชาวอังกฤษได้กระทำสำเร็จภายใต้การแนะนำจากท่านพระเวลิกามา ศรี สุมังคละ Weligama Sri Sumangala พระเถระชาวศรีลังกา
เอช. จี. เวลส์ (H. G. Wells; 1866 – 1946) นักเขียนชาวอังกฤษ ยกย่องพระเจ้าอโศกมหาราชว่าทรงเป็นอัครมหาบุรุษท่านหนึ่งใน 6 อัครมหาบุรุษแห่งประวัติศาสตร์โลก คือ พระโคตมพุทธเจ้า โสกราตีส อาริสโตเติล รอเจอร์ เบคอน และอับราฮัม ลิงคอล์น ดูบทความหลักที่: อโศกมหาราช และ อโศกมหาราช (ละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2558) ในปัจจุบัน พระราชประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ถูกศิลปินจับนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ในชื่อเดียวกันว่า อโศกมหาราช
|