ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ จุดมุ่งหมายในการแต่ง
2. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรม เข้าใจพุทธศาสนาและช่วยกันธำรงพระพุทธศาสนา ลักษณะคำประพันธ์ : ร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสำนวนพรรณนา กามภูมิ คือ โลกของผู้ที่ยังติดอยู่ในกามกิเลส แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ 1.สุคติภูมิ 2. อบายภูมิ 2. อบายภูมิ ได้แก่ รูปภูมิ เป็นดินแดนของพรหมที่มีรูป มี 16 ชั้น (โสฬสพรหม ) อรูปภูมิ เป็นดินแดนของพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิตหรือวิญญาณ
ไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงกำเนิดของสิ่งมีชีวิต 4 ประการ คือ 1. อัณฑชะ เกิดจากไข่ เช่น พวกนำ ไก่ ปลา และงู 2. ชลามพุชะ เกิดจากปุ่มเปือกและมีรกห่อหุ้ม ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย และคน 3. สังเสทชะ เกิดจากใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ละออง ดอกบัว หญ้าเน่า โลหิต เนื้อเน่าและเหงื่อไคลและที่เปียกชื้น ได้แก่ หนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยุง คนที่เกิดแบบนี้จะไม่ได้เกิดในครรภ์มารดา หรือถ้าเกิดในครรภ์ก็จะไม่มีรกห่อหุ้ม แต่เมื่อเกิดมาแล้วก็เล็กเป็นทารกแล้วค่อยๆ เจริญวัยขึ้นเป็นปกติ 4. อุปปาติกะ เกิดขึ้นเองแล้วโตเต็มที่ ไม่เติบโตขึ้นที่ละน้อยเหมือนสามพวกแรก ได้แก่ สัตว์นรก เทวดา พรหม เทวดาซึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้มีบุญใหญ่มักมีกำเนิดเป็นอุปาติกะ เช่น พระยาลวจังกราช กษัตริย์องค์แรกแห่งเมืองเชียงแสน แคว้นโยนกแต่เดิมเป็นเทวดา เมื่อได้รับบัญชาให้ลงมาเป็นกษัตริย์ก็ลงมาเกิดทันทีที่ลงมาถึงโลกมนุษย์ก็โตเป็นหนุ่ม ไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า มนุษย์ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นชลามพุชะ แต่ที่เกิดเป็นอุปปาติกะ เช่น นางอัมปาลิคณิกา (อัมพปาลิกา) หญิงโสเภณี ซึ่งต่อมามีบุตรชื่อ โกณฑัญกุมาร ทั้งนางและบุตรได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาต่อมา และบรรลุอรหันต์ทั้งคู่ ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่าสาเหตุที่สตรีจะตั้งครรภ์ได้นั้นมี 7 ประการ คือ 1. เพราะเสพสังวาสอยู่ร่วมกับบุรุษ 2. เพราะเอาเสื่อผ้า เครื่องนุ่งห่มของชายที่ตนรักมานุ่ง มาห่มชมเชยแทนตัวชาย 3. เพราะได้กินน้ำราคะของชายที่ตนรัก 4. เพราะถูกชายลูบคลำเนื้อตัวและท้อง แล้วตนมีใจยินดีรักชายนั้น 5. เพราะตนรักบุรุษแล้วบุรุษนั้นกลายมาเป็นสตรีตนก็ยินดี 6. เพราะตนรักบุรุษแล้วจึงตั้งครรภ์เพราะได้ยินเสียงบุรุษที่ตนรักใคร่ เจรจาพาทีก็เกิดยินดี 7. เพราะได้ดมกลิ่นบุรุษที่ตนรัก จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักคือ ข้อที่ 1 ส่วนข้อที่ 2-7 นั้นเป็นมูลเหตุที่จะทำให้เกิดสาเหตุข้อที่ 1 ได้ ดังนั้นคำสอนของคนโบราณนั้นไม่ได้ล้าสมัยเลย 7 ประการที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่สตรีควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ในภาวะที่ยังไม่มีความพร้อมในการจะมีครอบครัว หรือวุฒิภาวะยังไม่พร้อมพอ เนื่องจากปัญหาอื่น ๆ อาจจะตามมาอีก ส่วนสตรีที่ยังสาวทุกคนจะตั้งครรภ์ได้ และลูกจะอยู่ในท้องน้อย เมื่อลูกจะปฏิสนธินั้นต้องเป็นระยะที่หมดประจำเดือน 7 วัน และถ้าตั้งท้องแล้วจะไม่มีประจำเดือนอีก สตรีที่มีสามีแล้วจึงควรมีลูก ส่วนสตรีที่ไม่สามารถมีลูกได้เป็นเพราะกรรมของผู้มาเกิดนั้นเป็นเหตุให้เกิดลมในท้องและพัดต้องครรภ์ก็แท้งตาย หรือบางครั้งก็มีตัวพยาธิมากิน สัตว์ที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาเมื่อแรกก่อตัวมีลักษณะเป็น กลละ มีขนาดเล็กที่สุดเหลือที่นึกเห็น (คือ เป็นเซลล์ ๆ เดียวนั่นเอง) เปรียบได้กับการนำเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป (ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมชาวชมพูทวีปถึงแปดเท่า) มาชุบน้ำมันงาอันงามใสแล้วสลัดเสียเจ็ดครั้ง ถ้าเหลือน้ำมันย้อยลงตรงปลายผมเท่าใด ก็ยังถือว่าใหญ่กว่า กลละ ถ้าจะเปรียบให้เท่ากันก็ต้องใช้ขนเนื้อทรายที่ชื่อ ชาติอุณนาโลม ซึ่งอยู่ที่เชิงเขาหิมพานต์ เนื้อทรายชนิดนี้มีขนเส้นเล็กกว่าผมชาวอุตรกุรุทวีป เมื่อเอาขนเนื้อทรายนี้ชุบน้ำมันงาอันสวยงามแล้วเอามาสลัด 7 ครั้ง น้ำมันที่ย้อยลงมาปลายขนทรายจะมีขนาดใหญ่เท่ากลละ ต่อจากนี้ กลละ ก็เจริญเติบโตขึ้น เพราะมีธาตุทั้ง 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) เมื่อครบ 7 วัน จะเป็นน้ำล้างเนื้อ ต่อมาอีก 7 วันจะข้นเป็นชิ้นเนื้อ ต่อมา 7 วัน แข็งเป็นก้อนดังไข่ไก่แล้วค่อยโตขึ้น อีก 7 วันก็เป็นตุ่มราวหัวหูดขึ้น 5 แห่ง เรียกว่า ปัญจสาขา ( ศีรษะ มือ เท้า) อีก 7 วันเป็นฝ่ามือ นิ้วมือ แล้วจึงเป็นขนเป็นเล็บ และอื่นๆครบถ้วน 32 ประการ เป็นตัวเด็กนั่งอยู่กลางท้องแม่ เอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารที่แม่กินเข้าไปก่อนจะอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารที่แม่กินเข้าไปทีหลังจะอยู่เหนือกุมารและทับหัวกุมารนั้นอยู่ กุมารจึงได้รับความลำบากยิ่งนักเพราะในท้องแม่เป็นที่ชื้น เหม็นกลิ่นเน่าอันเกิดจากอาหารที่แม่กินเข้าไป และกลิ่นพยาธิที่อยู่ในท้องแม่อันได้ 80 ครอก กุมารนั้นนั่งยองๆ กำมือทั้งสอง คู้ตัวต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือเข่าเหมือนกับลิงเมื่อที่นั่งกำมือซบเซาเมื่อฝนตก อยู่ในโพรงไม้นั้น และในท้องของแม่ก็ร้อนดังในหม้อต้ม แม้อาหารที่กินเข้าไปก็ไหม้และย่อยได้ด้วยอำนาจแห่งไฟนั้น แต่ตัวกุมารไม่ไหม้ตายก็เพราะด้วยบุญที่จะเกิดเป็นคนนั่นเอง กุมารเมื่ออยู่ในท้องแม่นั้น ไม่เคยได้หายใจเข้าออก มี่เคยได้เหยียดมือ เหยียดเท้าออกเลย ต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บเนื้อเจ็บตัวดังคนที่เขาเอาใส่ไว้ในไหอันคับแคบ ยามแม่เปลี่ยนอิริยาบถแต่ละครั้งไม่ว่าจะยืน เดิน นั่งหรือนอน กุมารนั้นก็จะเจ็บราวจะตาย เปรียบได้กับลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น สายสะดือของกุมารนั้นกลวงดังบัวสายที่ชื่อ อุบล ปลายไปติดเกาะที่หลังท้องแม่ ข้าว น้ำ และอาหารอันใดที่แม่กินและโอชารสก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในสะดือ แล้วเข้าไปในท้องกุมารเพื่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโตต่อไป กุมารนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในท้องนานนักหนา บ้างก็ 7 เดือน บ้าง ก็ 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือน หรือครบขวบปี จึงคลอดออกจากท้องแม่ กุมารใดอยู่ในท้องแม่พียง 6 เดือน เมื่อคลอดแล้วก็อาจจะไม่รอดชีวิต คนที่อยู่ในท้องแม่ 7 เดือน จะเป็นคนอ่อนแอ ไม่ทนแดดทนฝน คนผู้ใดมาจากนรกมาเกิด เมื่ออยู่ในท้องแม่ แม่จะเดือดร้อนใจ ตระหนก และกระหาย คัมภีร์พรหมจินดากล่าวถึงอาหารแพ้ท้องว่า ถ้ามารดาอยากกินมัจฉะมังสา เนื้อ ปลา และสิ่งของสดคาว ท่านว่าสัตว์นรกมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกินน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์มาเกิด ถ้ามารดาอยากกินสรรพผลไม้ ท่านว่าดิรัจฉานมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกินดิน ท่านว่าพรหมลงมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกินสิ่งเผ็ดร้อน ท่านว่ามนุษย์มาปฏิสนธิ เมื่อกุมารในครรภ์เป็นสัตว์นรกมาเกิด แม่ก็พลอยร้อนไปด้วยและเมื่อคลอดออกมา กุมารนั้นร้อน ผู้ที่จากสวรรค์มาเกิด เมื่ออยู่ในท้องอยู่เย็นเป็นสุข มารดาก็อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อคลอดออกมากุมารนั้นก็เย็นเนื้อเย็นใจ ผู้ใดที่เคยเป็นสัตว์นรกหรือเป็นเปรตมาก่อน เมื่อคลอดออกมาก็ร้องไห้ เพราะคิดถึงความลำบากที่ล่วงมาแล้ว ถ้ามาจากสวรรค์ก็หัวเราะก่อนเพราะคิดถึงความสุขแต่หนหลัง คนเราเมื่อมาเกิดในท้องแม่และเมื่อออกจากท้องแม่ไม่รู้เดียงสา ไม่รู้อะไรจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด ส่วนผู้ที่จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตาขีณาสพเจ้า และจะมาเป็นพระอัครสาวก จะรู้อะไรทุกอย่างตั้งแต่ถือกำเนิดมาเป็นคน แต่เมื่อออกจากท้องแม่ก็ย่อมหลงลืมไปเช่นคนทั้งหลาย ส่วนพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายคือชาติที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรกมาปฏิสนธิ เมื่ออยู่ในครรภ์และเมื่อออกจากครรภ์ เมื่ออยู่ในครรภ์ก็ไม่ได้นั่งจับเจ่าห่อตัวเหมือนกับคนทั้งหลาย แต่จะนั่งแพนงเชิง (นั่งขัดสมาธิ) อย่างนักปราชญ์นั่ง มีรัศมีจากกายตัวเรืองงามดั่งทองทะลุพุ่งออกมาภายนอกท้อง พระมารดาและผู้อื่นก็แลเห็น รุ่งเรืองงดงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาว ความใสของแก้วทำให้มองเห็นไหมแดงที่อยู่ภายในได้ และเมื่อจะเสด็จออกจากครรภ์มารดาลมอันเป็นบุญนั้นก็ไม่ได้พัดเอาหัวมาเบื้องต่ำให้เท้าขึ้นข้างบนเหมือนฝูงคนทั้งหลาย แต่พระองค์จะเหยียดเท้าออกลุกขึ้นยืนและเสด็จออกจากครรภ์มารดา ส่วนพระโพธิสัตว์ในชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาติสุดท้ายจะเป็นปกติเหมือนคนทั้งหลาย เมื่อใดที่พระโพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าลงมาปฏิสนธิ หรือมาประสูติ แผ่นดินทั่วโลกธาตุจะหวั่นไหวเป็นเครื่องหมายหรือนิมิตบอกให้รู้ว่า พระโพธิสัตว์มาเกิด เรียกว่าแผ่นดินไหวทั่วทั้งหมื่นจักรวาล น้ำที่ชูแผ่นดินก็ไหว น้ำมหาสมุทรก็ฟูมฟอง เขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญสมภารของพระองค์ ฝูงคนทั้งหลายเมื่อออกจากท้องแม่ จะเกิดเป็นลมกรรมชวาตพัดให้ศีรษะคล้อยต่ำลงสู่ที่จะออกอันคับแคบนักหนา ดุจดังฝูงสัตว์นรกอันยมบาลกุมตีนและหย่อนหัวลงในขุมนรกอันลึกได้ร้อยวา เมื่อคลอดออกมากุมารนั้นก็เจ็บเนื้อนักหนาเปรียบได้กับช้างสารที่เขาเข็นออกทางประตูเล็กและแคบ หรือมิฉะนั้นก็เปรียบกับสัตว์นรกที่ถูกคังไคยบรรพตบดทับไว้ เมื่อพ้นท้องแม่แล้วลมในท้องกุมารก็พัดออกก่อน ลมภายนอกจึงพัดเข้าไปถึงลิ้นกุมารนั้น กุมารจึงรู้จักหายใจเข้าออก ฝูงคนทั้งหลายในโลกแม้องค์พระโพธิสัตว์เมื่อออกจากท้องแม่แล้ว ด้วยเหตุที่แม่มีใจรักเลือดในอกแม่จึงหลายเป็นน้ำนมไหลออกมาให้ลูกได้ดูดกิน ลูกที่เกิดมา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. อภิชาตบุตร เฉลียวฉลาด นักปราชญ์ รูปงาม มั่งมี มียศถาบรรดาศักดิ์ มีกำลังยิ่งกว่าพ่อแม่ 2. อนุชาตบุตร มีความรู้ รูปโฉม และกำลังเท่ากับพ่อแม่ 3. อวชาตบุตร ลูกที่ถ่อยกว่าพ่อแม่ทุกประการ คนทั้งหลายแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ 1. คนนรก : ผู้ทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บาปนั้นตามทันถูกตัดตีนมือ และทุกข์โศกเวทนา 2. คนเปรต : คนที่ไม่เคยทำบุญเลยตั้งแต่ชาติปางก่อน เกิดมาเป็นคนเข็ญใจ เสื้อผ้าแทบไม่มีพันกาย อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมขี้ริ้วขี้เหร่ 3. คนเดรัจฉาน : คนที่ไม่รู้บาป บุญ ไม่มีเมตตากรุณา ไม่รู้จักยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่เสมอ 4. มนุษย์: คนที่รู้จักบาปบุญ รู้กลัว ละอายต่อบาป รักพี่รักน้อง มีเมตตากรุณา ยำเกรงผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครูอาจารย์ รู้จักคุณพระรัตนตรัย มนุษย์ทั้งหลายแบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ 1. อันธปุถุชน เมื่อตายไปย่อมไปเกิดในจัตุราบาย คือ นรกภูมิ เปรตภูมิ ดิรัจฉานภูมิ อสุรกายภูมิ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ย่อมทุพพลภาพ เป็นคนอัปลักษณ์บัดสี เป็นคนโหดเพราะไม่รู้จักการทำบุญ 2. กัลยาณปุถุชน เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์ ลำดับการกำเนิดของมนุษย์ ในไตรภูมิพระร่วง เริ่มจาก ปฏิสนธิ = กัลละ (ขนาด เศษ 1 ส่วน 256 ของเส้นผม) การคลอด – ท้อง 6 เดือนคลอด ทารกนั้นไม่รอด (บ่ห่อนได้สักคาบ) ท้อง 7 เดือนคลอด ทารกนั้นไม่แข็งแรง (บ่มิได้กล้าแข็ง) ลักษณะเด่น หนังสือไตรภูมิพระร่วง ถึงแม้ว่าเป็นวรรณคดีโบราณที่ใช้ภาษาไทยแบบเก่า และมีศัพท์ทางพระพุทธศาสนาปะปนอยู่มาก ทำให้ยากแก่การอ่านสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางพุทธศาสนามาก่อนก็ตาม แต่สำนวนพรรณนาแจ่มแจ้ง ไพเราะ ช่วยให้เกิดจินตภาพและทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามไปด้วย เช่น ตอนพรรณนาถึงความน่ากลัวในนรกภูมิ และความสุขสบายในสวรรค์
เป็นต้น ทุก ๆ ตอนที่กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ทรงอธิบายตอนนั้นอย่างละเอียด เช่น ตอนพรรณนาลักษณะของเปรต ได้กล่าวเอาไว้ชัดเจน ดังนี้ คุณค่าของหนังสือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ กล่าวถึงไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก |