Uniform Resource Locator (URL) คือที่อยู่เว็บที่ระบุตำแหน่งของหน้าเว็บหรือไฟล์บนอินเทอร์เน็ต URL ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับหน้าเว็บ แต่ยังใช้สำหรับการถ่ายโอนไฟล์ (ftp), อีเมล (mailto), การเข้าถึงฐานข้อมูล (JDBC) และอื่นๆ Show เกี่ยวกับ URLURL ย่อมาจาก Uniform Resource Locator และเหมือนกับที่อยู่เว็บ URL คือชุดอักขระที่ชี้ไปยังตำแหน่งของทรัพยากรบนเวิลด์ไวด์เว็บ และระบุโปรโตคอลเฉพาะที่ใช้ในการเข้าถึงทรัพยากรนั้น การเปรียบเทียบที่นิยมเพื่อให้เข้าใจ URL ได้ดีขึ้นคือไปยังที่อยู่บ้าน เนื่องจากไม่มีที่อยู่ที่เหมือนกันสองแห่งในโลก แต่ละที่อยู่ไม่ซ้ำกันและชี้ไปยังบ้านใดบ้านหนึ่ง หรือในกรณีของ URL ไปยังหน้าใดหน้าหนึ่ง /ไฟล์บนอินเทอร์เน็ต วิธีสร้าง URLURL มักจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ต่อไปนี้: โปรโตคอลหรือแบบแผน (http://, ftp://, news://, //,ฯลฯ) จากนั้นชื่อโดเมน (ชื่อโฮสต์ จุดและคำต่อท้าย: com, org, เป็นต้น) ในบางกรณี ชื่อโดเมนจะตามด้วยเครื่องหมายทับและชื่อของโฟลเดอร์และ/หรือทรัพยากรเฉพาะ (ชื่อไฟล์และนามสกุล: .asp, .htm หรือ .html) สามารถเพิ่มพารามิเตอร์เพิ่มเติมได้ในตอนท้ายของลิงก์เพื่อการแบ่งกลุ่มที่ดีขึ้น ในท้ายที่สุด องค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้รวมกันเป็น URL ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะดังนี้: http://www.thedomain.com/company/teamการเปลี่ยนเส้นทาง URL และ Canonical URL คืออะไรการเปลี่ยนเส้นทาง URL ใช้เมื่อมีการย้ายหน้าเว็บ เปลี่ยนชื่อหรือลบ หรือ URL ถูกย่อให้สั้นลง วิธีที่นิยมที่สุดในการเปลี่ยนเส้นทาง URL คือการเปลี่ยนเส้นทาง 301 หรือ 302 ในไฟล์ .htaccess บ่อยครั้ง สามารถเปิดหน้าเว็บเดียวกันได้โดยการพิมพ์ URL รูปแบบต่างๆ:
เสิร์ชเอ็นจิ้นจะตีความว่าเป็นหน้า 3 หน้าแยกกันแม้ว่าจะเปิดหน้าเดียวกัน ดังนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้าน SEO จึงต้องสร้าง Canonical URL ในตัวอย่างด้านบน URL หลัก/Canonical URL จะเป็น www.example.com เว็บไซต์ทั้ง 3 เว็บข้างต้นนี้ มีสิ่งที่เหมือนกันคือเป็นเว็บไซต์บนโลกออนไลน์เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีสิ่งที่แตกต่างกันกันออกไปด้วย นั่นก็คือ ชื่อ และนามสกุลของเว็บไซต์ ซึ่งหลายๆ คนอาจเข้าใจว่ามันก็เหมือนๆ กัน จะใช้ชื่อ และตามหลังด้วย .com .net .co อะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่แท้ที่จริงแล้วรายละเอียดทั้งหมดบน URL นั้น มีความหมายในตัวมันเองทั้งสิ้น วันนี้เราจึงจะมาอธิบายเรื่องราวของโดเมนเนม และรายละเอียดสำคัญที่คนทำเว็บต้องรู้ให้ทุกท่านได้รับชมกันครับDomain Nameโดเมนเนม คือชื่อเฉพาะของเว็บไซต์นั้นๆ ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อนำไปใช้งาน โดยปกติแล้วควรตั้งให้สั้น กระชับ และบ่งบอกความเป็นตัวเราได้ทันที และพึงระลึกเสมอว่าชื่อโดเมนยิ่งสั้น ยิ่งดี ถ้ายาวเกินไปจะทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือ โดยกลุ่มธุรกิจส่วนใหญ่มักใช้ชื่อแบรนด์ของตนเองเป็นโดเมนเนมเพื่อการจดจำที่ง่ายขึ้น ตัวอย่างชื่อโดเมน เช่น “apple”.com, “fullrichbride”.com หรือ “makewebeasy”.com เป็นต้น หลังจากเลือกชื่อโดเมนได้แล้ว สิ่งที่ควรรู้ต่อมาก็คือ นามสกุล ที่สามารถดูได้จากส่วนขยายที่ต่อท้ายจากชื่อโดเมน ซึ่งก็คือบรรดา .com .net .co.th .org ฯลฯ ซึ่งนามสกุลเหล่านี้แม้ในทางเทคนิคจะไม่แตกต่างกันมาก และมีให้เลือกใช้กว่าพันแบบ แต่สกุลที่เราได้ยินกันบ่อยๆ อย่าง .com .net .ac .co .org นามสกุลเหล่านี้อยู่ในกลุ่มของ top-level domains (TLDs) หรือสกุลที่เป็นที่รู้จัก และคุ้นชินของผู้ใช้ทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งนามสกุลแต่ละอันสามารถระบุประเภทของเว็บไซต์นั้นๆ ได้ในบางครั้งด้วย อันเนื่องมาจากการใช้งานส่วนใหญ่ของประเภทเว็บไซต์ที่ใช้งานกันมายาวนาน โดยอาจจำแนกเป็นประเภทได้ ดังนี้ .com – เว็บไซต์เชิงพาณิชย์ ร้านค้า หรือเว็บไซต์ทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ นามสกุลที่ตามหลังชื่อโดเมนมีให้เลือกมากมายกว่าพันแบบ ซึ่งนามสกุลกลุ่มใหม่ๆ นี้อาจไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกรุ๊ป TLDs แต่เป็นกลุ่มใหม่ เช่น tv.line.me หรือ www.thinkparty.agency เป็นต้น สาเหตุที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่เลือกใช้นามสกุลเดิมๆ เป็นเพราะว่า ชื่อเหล่านั้นคุ้นหูผู้ใช้อยู่แล้ว จดจำง่าย และภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งถ้าหากลองเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่นที่ไม่คุ้นหู ผู้ใช้ก็อาจจะไม่เชื่อถือเว็บไซต์นั้นๆ ก็เป็นได้ URL (Universal Resource Locator)URL คือรายละเอียดที่อยู่ที่จะสามารถนำทางไปยังเว็บไซต์นั้นๆ ได้ สมมติง่ายๆ ให้เว็บไซต์เป็นบ้านที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง Domain Name คือชื่อบ้านหลังนั้น ส่วน URL คือเส้นทางที่จะพาไปยังบ้านหลังนั้นนั่นเอง โดย URL จะประกอบไปด้วย ส่วนแรก – ระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่เรียกว่า SSL ซึ่งเว็บไซต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยนี้จะมีชื่อ https อยู่ด้านหน้า URL (อ่านเรื่อง SSL อย่างละเอียดต่อได้ที่นี่) ส่วนที่สอง – ชื่อโดเมนของเรา เช่น www.makewebeasy ส่วนที่สาม – นามสกุลต่อท้าย เช่น .com .net .co.th เป็นต้น ถ้ารวมข้อมูลทั้งสามส่วนเข้าด้วยกันจะได้ผลลัพธ์เป็น https://www.makewebeasy.com ซึ่งถ้าเรานำเอา URL ทั้งหมดไปใส่ในช่องกรอก URL ก็จะเป็นการนำทางไปยังเว็บไซต์ของเรานั่นเอง Websiteแม้ว่าคุณจะซื้อชื่อโดเมนเรียบร้อยแล้ว มี URL แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมีเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เพราะ Website เป็นจุดหมายปลายทางในโลกออนไลน์ที่ต้องสร้างขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็คือ เปรียบเทียบเว็บไซต์เป็นร้านขายสินค้า ชื่อโดเมนคือชื่อร้านค้า, URL คือที่อยู่ของร้าน ส่วน Website คือตัวร้านจริงๆ ที่มีสินค้าให้เลือกซื้อ นอกจากนี้ ภายใน Website ยังจะต้องมีคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น บทความ, บทสัมภาษณ์, รายละเอียดสินค้าหรือบริการ, รูปภาพ หรือสื่ออื่นๆ ที่สามารถใส่ลงไปได้ หลังจากที่ได้รู้จักกับความแตกต่างของ Domain Name, URL และ Website กันไปแล้ว หวังว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจส่วนประกอบของเว็บไซต์มากขึ้นก่อนลงมือทำ แม้ว่ารายละเอียดของหลายๆ ส่วนนั้นจะดูยาก แต่ในปัจจุบันการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักหนึ่งเว็บ เรียกได้ว่ามีความง่ายมากๆ หากเทียบกับในสมัยก่อน ซึ่งเจ้าของธุรกิจหลายรายหันมาทำเว็บไซต์เพื่อสู้กับคู่แข่งในโลกออนไลน์กันมากขึ้น และสำหรับบางธุรกิจ การมีเว็บไซต์ก็ทำให้ผลประกอบการของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย ในบทความหน้า เราจะนำเอาเทคนิคดีๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์มาฝากทุกท่านกันนะครับ |