ศักราช หมายถึง ระยะเวลาซึ่งกำหนดตั้งขึ้นเป็นทางการ เริ่มแต่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นที่หมายเหตุการณ์สำคัญ เรียงลำดับกันเป็นปีๆ ไป ก่อนที่ประเทศไทยจะใช้ศักราชในปัจจุบันได้ปรากฏศักราชหรือการนับเวลาที่หลากหลายมาแต่โบราณ ซึ่งยังมีปรากฏในหนังสือไทยที่อาจทำให้เกิดการสับสนจากความเข้าใจข้อเท็จจริงในอดีตได้ ดังนั้น สมควรศึกษาหาความชัดเจนของศักราชต่างๆ โดยขอเสนอเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้ Show ศักราชที่ปรากฏในหนังสือไทย 1.กลียุคกาล คือ ยุคที่สี่ของจตุรยุคตามคติพราหมณ์ ซึ่งธรรมะของมนุษย์ลดเหลือเพียงหนึ่งในสี่ส่วน เป็นยุคเริ่มต้นของมนุษย์ที่ยังป่าเถื่อนหรือด้อยพัฒนา หากนับระยะเวลากำเนิดมนุษย์หรือศักราชของมนุษย์จะมีมาก่อนพุทธศักราช 2558 ปี 2.อัญชนะศักราช คือ ยุคหรือระยะเวลาที่มนุษย์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เริ่มนับก่อนพุทธศักราช 147 ปี 3.พุทธศักราช คือ ศักราชที่เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใช้อักษรย่อ “พ.ศ.” ซึ่งทางราชการกำหนดให้ใช้ พ.ศ. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ตามประกาศลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร ศก 131 โดยให้ใช้คำว่า “พระพุทธศักราช” กับหนังสือไทยทุกประเภท 4.วิกรมสังวัด หรือวิกรมาทิตย์ศักราช คือ ศักราชที่ปรากฏในหนังสือไทยโบราณที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เริ่มนับศักราชหลังพุทธศักราช 486 ปี 5.คริสต์ศักราช คือ เริ่มนับศักราชเมื่อพระเยซูคริสต์ประสูติ มีขึ้นหลังพุทธศักราช 543 ปี ใช้อักษรย่อ “ค.ศ.” นิยมใช้กับภาษาต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งภาษาของตะวันตก แต่หนังสือไทยโบราณไม่ปรากฏการใช้ศักราชนี้เลย 6.มหาศักราช คือ ศักราชของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ สันนิษฐานว่าเริ่มนับศักราชเมื่อพระเจ้าศาลิวาหนะ แห่งราชวงศ์ศกะของประเทศอินเดีย ทรงมีชัยต่ออริราชศัตรู มีขึ้นหลังพุทธศักราช 621 ปี ใช้อักษรย่อ “ม.ศ.” เป็นศักราชที่แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยก่อนศักราชอื่น และนิยมใช้ในการจารึกหนังสือไทยโบราณ 7.ฮิจเราะห์ศักราช คือ ศักราชในศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ปีที่พระมะหะหมัดออกจากเมืองเมกกะไปเมืองเมดินา ตรงกับ พ.ศ.1123 (มีขึ้นภายหลังพุทธศักราช 1122 ปี) ปัจจุบันยังนิยมใช้กันในกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม และประเทศแถบตะวันออกกลาง 8.จุลศักราช คือ ศักราชที่ตั้งขึ้นและใช้ในประเทศพม่า มีความเป็นมาจากพระเถระของพม่า ชื่อ “สังฆราชบุตุโสระหัน” สึกจากสมณเพศมาชิงราชสมบัติได้สำเร็จเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 19 ในราชวงศ์สมุทฤทธิ์ ของประเทศพุกาม เมื่อไทยเสียกรุงครั้งแรกนั้นกรุงศรีอยุธยาต้องติดต่อกับเมืองหงสาวดีในฐานะเมืองประเทศราชอยู่ถึง 15 ปี จุลศักราชจึงแพร่หลายเข้ามาใช้ในราชการไทยในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2112-2133) ใช้อักษรย่อ “จ.ศ.” มีขึ้นหลังพุทธศักราช 1181 ปี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้รัตนโกสินทรศกแทนจุลศักราชเมื่อ จ.ศ.1250 (ร.ศ.107) 9.ศักราชจุฬามณี คือ ศักราชที่พบในหนังสือไทยโบราณ มีขึ้นหลังจุลศักราช 258 ปี (หลังพุทธศักราช 1439 ปี) 10.รัตนโกสินทรศก หรือรัตนโกสินทร์ศักราช คือ ศักราชที่กำหนดให้มีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยถือเอาปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมราชาแห่งราชวงศ์จักรี สถาปนากรุงเทพฯเป็นราชธานีตรงกับ พ.ศ.2325 จึงถือปีนี้เป็นรัตนโกสินทรศก 1 ใช้อักษรย่อ “ร.ศ.” และยกเลิกการใช้ศักราชอื่นในหนังสือไทย สำหรับการใช้ ร.ศ.อย่างเป็นทางการอยู่ในระหว่าง ร.ศ.108 ถึง ร.ศ.131 (ประมาณ 24 ปี เท่านั้น) การขึ้นปีใหม่ของไทย ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นทางสุริยคติ ถือวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และโปรดให้ใช้รัตนโกสินทรศกในการนับปี ตั้งแต่ ร.ศ.108 เป็นต้นมา สำหรับพระราชพิธีปีใหม่นั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าเสด็จเข้าไปรับพระราชทานเลี้ยง ณ ท้องพระโรง กลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานฉลากแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการบางคน ครั้นพระราชทานสิ่งของตามฉลากแล้วเสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่ชาลาหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาททอดพระเนตรละครหลวง แล้วเสด็จฯกลับ ส่วนวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีปีใหม่ในรัชกาลที่ 4 นั้นกำหนดเป็นพระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราชตลอดมาจนทุกวันนี้ เริ่มการพระราชพิธีตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน พัฒนาการมาสู่ปีใหม่ในปัจจุบัน หลวงพิบูลสงคราม : เรื่องปีใหม่ไม่รู้ว่าปีใหม่ของเรามาอย่างไร และทำไมมาขึ้นปีใหม่เอาเดือนห้า และได้ทราบจากเจ้าพระยารามราฆพว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงพระดำริจะเปลี่ยนให้เหมือนสากล ผมจึงเห็นว่าเราควรจะเปลี่ยนเสียให้เหมือนกับของเขา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม : ก็ดีเหมือนกัน แต่เกรงประชาชนจะว่าเอาตามฝรั่ง หลวงวิจิตรวาทการ : ที่จริงมันก็ผิดอยู่แล้ว ปีพุทธศักราชนั้นตั้งตนกลางเดือน 6 และที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคิดจะเปลี่ยนนั้นมีเหตุผล 2 ประการ คือ อย่างหนึ่งให้เข้าแบบสากล และอีกอย่างหนึ่งเป็นวันประสูติของพระองค์ท่าน ถ้าคณะรัฐมนตรีจะเปลี่ยน ผมรับไปทำบันทึกมาเสนอ ที่ประชุมตกลง ให้หลวงวิจิตรวาทการตรวจค้นและทำบันทึกเกี่ยวกับประเทศไทย ถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ว่ามีเหตุผลหรือประวัติมาอย่างไรเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จากนั้นหลวงวิจิตรวาทการได้ศึกษาตรวจค้นและทำบันทึกเกี่ยวกับวันขึ้นปีใหม่ตามศักราชต่างๆ ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2482 โดยสรุปความเป็นมาดังนี้ มีหลักฐานชัดเจนว่าไทยเราแต่โบราณ ถือวันขึ้นปีใหม่ในเดือนอ้ายเป็นต้นปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงอธิบายว่า ฤดูหนาวที่เรียกว่า เหมันตะ เป็นเวลาพ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนฤดูเช้า โบราณคิดว่าเป็นต้นปี เพราะเหตุนั้น จึงได้นับชื่อเดือนเป็นหนึ่งมาแต่เดือนอ้าย และถือแรม 1 ค่ำ เดือนอ้ายเป็นต้นปี ซึ่งเป็นคติความเชื่อของไทยแท้ ส่วนเรื่องขึ้นปีใหม่ในเดือน 5 มาบัญญัติขึ้นภายหลัง เมื่อเรานับถือพราหมณ์กันมาก จึงถือตามปีใหม่ของพราหมณ์อินเดียในทางจันทรคติขึ้นต้นด้วยจิตรมาส ทางสุริยคติขึ้นต้นด้วยราศีเมษ ซึ่งอยู่ในราวเดือน 5 เมื่อรวมคติสองอย่างทั่วไทยและพราหมณ์ คือ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นการเปลี่ยนปีนักษัตร แต่ยังไม่เปลี่ยนศก เพราะพระอาทิตย์ยังมิได้ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ต่อมาถึงวันสงกรานต์จึงเปลี่ยนศก ตามปกติมักจะห่างกันราว 15 วัน เป็นอันว่าการถือแบบพราหมณ์นั้น ไทยเราต้องขึ้นปีใหม่สองครั้ง ครั้งแรกคือ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ครั้งที่ 2 คือ วันสงกรานต์ ซึ่งเลื่อนไปเลื่อนมาไม่แน่นอน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงเห็นความลำบากในการขึ้นปีใหม่ 2 ครั้งนี้ และเมื่อต้องการมีการติดต่อกับต่างประเทศก็ยิ่งรู้สึกลำบากในการขึ้นปีใหม่ 2 ครั้งนี้ และเมื่อต้องมีการติดต่อกับต่างประเทศก็ยิ่งรู้สึกลำบากในการที่ไทยเรามีวันขึ้นปีใหม่ไม่แน่นอน แต่ก็ยังหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ บังเอิญมาถึงปีรัตนโกสินทรศก 108 (พ.ศ.2432) วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 มาตรงกับวันที่ 1 เมษายนพอดี จึงได้ประกาศพระบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่นับแต่นั้นมา แต่การขึ้นปีใหม่นี้ หมายความแต่เพียงว่าขึ้นรัตนโกสินทรศกใหม่ ส่วนพุทธศักราชนั้นยังไม่เปลี่ยน พระที่เทศน์บอกศักราชจะเปลี่ยนศักราชเมื่อแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ในขณะที่ทางราชการยังใช้รัตนโกสินทรศกเป็นศักราชอยู่ก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อมาถึง พ.ศ.2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดเกล้าฯให้เลิกใช้รัตนโกสินทรศก ให้ใช้พุทธศักราชแทน ก็เลยโปรดเกล้าฯให้ถือวันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนพุทธศักราชด้วย เมื่อประมวลข้อมูลต่างๆ มีเหตุผลสมควรเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก 1 เมษายน มาเป็น 1 มกราคม ด้วยเหตุผลสนับสนุน คือ 1.เข้าระดับสากล เพราะจีนและญี่ปุ่นก็ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ส่วนเหตุผลในทางค้านก็มี ได้แก่ การคลาดเคลื่อนของพระพุทธศักราช ต้องแก้ศักราชในประวัติศาสตร์ใหม่เกิดความลำบากเรื่องการนับอายุและปัญหาเรื่องปีนักษัตร แต่เมื่อรวมความแล้ว การใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ย่อมเป็นการเหมาะสม และความไม่สะดวกบางประการที่มีอยู่ในชั้นต้นนั้นอาจมีทางแก้ไขได้ง่าย ดังนั้น จึงมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปีประดิทินพุทธศักราช 2483 ซึ่งในมาตรา 4 บัญญัติว่า “ปีประดิทินนั้นให้มีกำหนดระยะเวลาสิบสองเดือน เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม ปีซึ่งเรียกว่า ปีพุทธศักราช 2483 ให้สิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคมที่จะถึงนี้ และปีซึ่งเรียกว่าปีพุทธศักราช 2484 ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมต่อไป” เป็นอันว่าประเทศไทยกำหนดวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ผลทางกฎหมายเกี่ยวกับปีใหม่และปีปฏิทิน ส่วนผลกระทบต่อกฎหมายปัจจุบันคือในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 16 “การนับอายุของบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใด แต่ไม่รู้วันเกิดให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใด ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด” ผลของการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่และบทบัญญัติของกฎหมายนี้ กรณีบุคคลที่ไม่ทราบวันและเดือนเกิด แต่ทราบปีเกิด ก็สามารถหาข้อยุติได้ กล่าวคือ ถ้าเกิด พ.ศ.2483 หรือก่อนนั้นขึ้นไปให้ใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเกิด แต่หากเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2483 หรือก่อนนั้นขึ้นไปให้ใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเกิด แต่หากเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมาให้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเกิดตามกฎหมาย ส่วนสรุป ดังนั้น การบัญญัติกฎหมายใดๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับค่านิยม วัฒนธรรม และประเพณี จึงจะทำให้กฎหมายนั้นอำนวยประโยชน์ให้กับสังคมไทยอย่างแท้จริง ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง ศักราชใดเกิดก่อนศักราชอื่นๆทั้งหมดกลียุคศักราช หรือกลียุคกาล (ก.ศ.) เป็นศักราชจากชมพูทวีป และเป็นศักราชที่เก่าที่สุดที่ปรากฏในบันทึกของไทย เกิดก่อนพุทธศักราชถึง 2558ปี วิกรมาทิตย์ศักราช (ว.ศ.) หรือวิกรมสังวัต เป็นศักราชจากชมพูทวีป แต่ไม่มีปรากฏในบันทึกของไทย เกิดหลังพุทธศักราช 785 ปี
ศักราชใดเกิดขึ้นเป็นอันดับแรกในโลกศักราชใดเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก ? พุทธศักราช
เมื่อตั้ง ค.ศ.1 ขึ้น ตรงกับ พ.ศ. ใดมาจากภาษาละติน คือ Anno Domini Nostri lesu Christi หรือในภาษาอังกฤษคือ Anno Domini : AD หรือ A.D. เขียนย่อว่า ค.ศ. หมายถึง ปีของพระเยซูคริสต์ โดยเริ่มจับจากปีที่เชื่อว่าพระเยซูทรงประสูติเป็น ค.ศ. 1 ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช 544 และมีระยะเวลาห่างจากพุทธศักราช 543 ปี ใช้วันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันเปลี่ยนศักราช และเป็นปี ...
การนับศักราชที่ 1 เริ่มนับเมื่อใด1. การนับศักราชที่ 1 ของแต่ละศักราชเริ่มนับเมื่อใดบ้าง - พุทธศักราช เริ่มนับจากปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี - คริสต์ศักราช เริ่มนับจากปีประสูติของพระเยซู - ฮิจเราะห์ศักราช เริ่มนับจากปีที่นบีมูฮัมมัดอพยพจากเมืองเมกกะไปเมืองเมดินะ
|