บทละครรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปรากฏบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อใช้เป็นบทละครของหลวง โดยทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปีพุทธศักราช 2313 โดยเขียนลงในสมุดไทยและมีการชุบเส้นทอง ในปีพุทธศักราช 2323 ภายหลังจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จกลับจากการไปรวบรวมชุมนุมนครศรีธรรมราช มาอยู่ในพระราชอาณาจักรในปีพุทธศักราช 2312 ทรงโปรดให้มีการฟื้นฟู มโหรสพและการละครขึ้น Show บทละครพระราชนิพนธ์เรื่องนี้มีทั้งหมด 5 เล่มสมุดไทย คือ สมุดไทยเล่ม 1 หรือเล่มต้น (ซึ่งพบใหม่) อยู่ที่หอสมุดกรุงเบอร์ลิน สมุดไทยเล่มที่ 2-5 อยู่ที่หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี กรุงเทพ ฯ มีการเขียนเรื่องต่อเนื่อง การแบ่งตอนอาจไม่ตรงตามเล่ม เมื่อเรียงเนื้อหาแล้วได้ ดังนี้
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ มีการสะท้อนวิถีชีวิตในสมัยนั้น ดังเห็นได้จากฉากที่มีทศกัณฐ์เลี้ยงกองทัพยักษ์ ปรากฏชื่อรายการอาหาร กุ้งพล่า แพนง หมูอั่ว หมูหัน ฯลฯ อีกทั้งปรากฏการแทรกเรื่องของการวิปัสนา กรรมฐาน คุณธรรม สอดแทรกเรื่องตำราพิชัยสงคราม ตลอดบทละคร มีการใส่เพลงหน้าพาทย์ ใช้สำนวนที่กระชับชัดเจน สื่อให้เห็นพระอัจฉริยะภาพในการแต่งพระราชนิพนธ์ของพระองค์ แม้ว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จะทรงกรำศึกสงครามทั้งภายในและภายนอกพระราชอาณาจักรพระองค์ยังทรงเพียรแต่งบทละครไปด้วยในช่วงเวลาเดียวกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งนักรบและศิลปิน บทละครเรื่องรามเกียรติ์ทั้ง 5 ตอนถือเป็นวรรณคดีล้ำค่าในสมัยกรุงธนบุรี อีกยังถือเป็นรากฐานให้กัับรามเกียรติ์ในสมัยรัตนโกสินทร์สืบมา อ้างอิง เรไร ไพรวรรณ์. (2559). บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกท้าวสัทธาสูรและวิรุญจำบัง. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี๑บทละครความนี้เขียนไว้ในสมุดไทยดำ ตัวหนังสือเป็นเส้นทอง สร้างขึ้นด้วยความประณีตบรรจงมาก มี ๔ เล่มสมุดไทย แบ่งเป็นตอนไว้ ดังปรากฏในฉบับพิมพ์นี้ คือ เล่ม ๑ ตอนพระมงกุฎ เล่ม ๒ ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินจนท้าวมาลีวราชมา เล่ม ๓ ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความ จนทศกรรฐ์เข้าเมือง เล่ม ๔ ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด, พระลักษมณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมนโท ถ้าว่าตามลำดับเรื่องแล้ว ตอนพระมงกุฎควรจะอยู่หลังดังได้เคยคัดทำฉบับสำรองพิมพ์ใว้แต่ก่อน แบ่งตอนไว้เป็น ๕ ตอนคือ (๑) ตอนหนุมานเข้าห้องนางวานริน (๒) ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ (๓) ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีเผารูปเทวดา (๔) ตอนพระลักษมณ์ถูกหอกกบิลพัสตร์ (๕) ตอนปล่อยม้าอุปการ แต่ในการพิมพ์คราวนี้ ต้องการจะรักษารูปเดิมตามเล่มสมุดไทย ซึ่งเข้าใจว่าตอนพระมงกุฎนั้น ทรงพระราชนิพนธ์ก่อน เพราะในสมุดจดไว้เป็นเล่ม ๑ และมีข้อความเป็นตอนหนึ่งต่างหาก ไม่ติดต่อกับข้อความในอีก ๓ เล่มสมุด แต่ข้อความใน ๓ เล่มสมุดไทย คือตั้งแต่เล่ม ๒ ถึงเล่ม ๔ มีข้อความติดต่อกัน เวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์ในบานแผนกมีบอกวันเวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้หน้าต้นทุกเล่มว่า “วันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้นค่ำหนึ่ง จุลศักราช ๑๑๓๒ ปีขาลโทศก” ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๑๓ ปีที่ ๓ ในรัชกาล ถ้าจะพลิกอ่านพระราชพงศาวดารในรัชกาลนี้ดู จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้หนึ่งปี คือในปีฉลู พ.ศ.๒๓๑๒ ได้เสด็จไปราชการทัพเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ปลายเดือน ๘ เสร็จราชการเมืองนครฯ ในเดือน ๑๒ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาธาตุเมืองนครฯ ให้ราชบัณฑิตจัดหาพระไตรปิฎกบรรทุกเรือเข้ามาจำลองไว้สำหรับพระนคร เสร็จกลับถึงกรุงธนบุรีเมื่อเดือน ๔ ปลายปี พ.ศ. ๒๓๑๒ ทรงจัดการพระศาสนา แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จ้างช่างจารพระไตรปิฎกเสร็จแล้วจัดการฉลอง มีคำยอพระเกียรติไว้ในพระราชพงศาวดารว่า “จำเดิมแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาก็ค่อยวัฒนาการรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นเหมือนแต่ก่อน และสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เจริญพระราชกฤดาธิคุณ ไพบูลย์ภิยโยภาพยิ่งขึ้นไป ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ค่อยมีความผาสุกสนุกสบายบริบูรณ์ คงคืนขึ้นเหมือนเมื่อครั้งกรุงเก่ายังปกติดีอยู่นั้น” ตามนี้จะเห็นได้ว่า ในการตีได้เมืองนครฯ ให้ผลสำคัญในทางวรรณคดี เช่นทางพุทธศาสนา เราได้พระไตรปิฎกมาไว้สำหรับพระนคร บางทีจะให้ผลสำคัญในวรรณคดีด้านอื่นๆ อีก เช่น นาฏยคดีซึ่งไม่ได้กล่าวในพระราชพงศาวดาร แต่มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุความทรงจำถึงเรื่องเจ้านครฯ กลัวพระเดชานุภาพหนีไปพึ่งเจ้าเมืองจนะหรือเทพา แล้วเจ้าเมืองจับตัวส่งมาว่า “พระฤทธิเทวา เจ้าเมืองรู้ว่ากองทัพยกติดตาม กลัวพระบารมี ส่งตัวเจ้านครกับพวกพ้องพงศ์พันธุ์ ทั้งละครผู้หญิง เครื่องประดับเงินทอง ราชทรัพย์สิ่งของ ส่งมาถวายพร้อม” เข้าใจว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีคงจะได้ตัวละครพร้อมทั้งบทมาจากเมืองนครฯ ในคราวนี้บ้าง เพราะเจ้านครพร้อมด้วยวงศ์วารบ่าวไพร่ก็ได้โปรดให้อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงด้วย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุให้ทรงสนพระทัยในนาฏยคดีประเภทนี้ จนถึงทรงพระอุตสาหนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ ความที่พิมพ์ในหนังสือนี้ขึ้นดังปรากฏวันเวลาในบานแผนก ภายหลังกลับจากเมืองนครศรีธรรมราชเพียงเดือนเดียว ซึ่งเป็นเวลาว่างจากงานพระราชสงครามในต้นปีนั้น เพราะในเดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๑๓ นั้นเอง ก็ได้รับใบบอกกรมการเมืองอุทัยธานี เมืองชัยนาท บอกลงมาให้กราบทูลพระกรุณาเรื่องลามกกรรมของพวกเจ้าพระฝาง ซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือในเวลานั้น ครั้นทรงทราบก็ให้เตรียมงานพระราชสงครามเกณฑ์กองทัพ ถึงเดือน ๘ แรม ๑๐ ค่ำ ก็เคลื่อนทัพหลวงขึ้นไปจากพระนคร เมื่อตีเมืองสวางคบุรี และได้ช้างเผือกจึง “ให้รับละครผู้หญิงขึ้นไปสมโภชพระฝาง ๗ วัน แล้วเสด็จไปเหยียบเมืองพิษณุโลก สมโภชพระชินราช พระชินศรี ๗ วัน มีละครผู้หญิง” บางทีจะได้ใช้บทละครเรื่องรามเกียรติ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นนั้นแสดงในงานสมโภชเหล่านี้บ้างก็ได้ น่าเข้าใจว่าบทพระราชนิพนธ์นี้ คงจะได้นำออกแสดงสมพระราชประสงค์หลายคราว ตลอดจนงานสมโภชพระแก้วมรกตเมื่อตอนปลายรัชกาล และงานอื่นๆ สันนิษฐานลักษณะที่ทรงพระราชนิพนธ์อนึ่งปรากฏในบานแผนกต่อมาว่า “พระราชนิพนธ์ทรงแต่งชั้นต้นเป็นปฐมยัง ทราม พอดี } อยู่” ต่อมามีบอกตอนในเล่ม ๑ ว่า “ตอนพระมงกุฎ ทรงแปลงใหม่” ซึ่งอาจหมายความว่า ตามวันเวลาที่กล่าวแล้วนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ความนี้ขึ้นเป็นชั้นต้น คือเป็นครั้งแรก แต่ยังคงจะไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงทรงหมายเหตุว่า “ยังทรามอยู่” แล้วต่อมาซึ่งอาจเป็นเวลาว่างพระราชกิจคราวใดคราวหนึ่ง จึงทรงพระราชนิพนธ์แก้ไขเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยอาจทรงแก้ไว้ในพระสมุดเล่มนั้นเอง จึงมีบอกไว้ในเบื้องต้นว่า “ทรงแปลงใหม่” บางตอนอาจทรงพิจารณาเห็นว่าความขาดไป ก็ทรงพระราชนิพนธ์แทรกลงไว้เพื่อให้ความเต็มบริบูรณ์ ดังปรากฏในหน้า ๒๓ ถึงหน้า ๒๕ ในฉบับพิมพ์นี้ แต่ก็น่าจะทรงพิจารณาเห็นด้วยพระองค์เองว่า ยังนับว่าดีทีเดียวไม่ได้ จึงหมายเหตุไว้ข้างต้นเบื้องใต้หมายเหตุเดิมว่า “ยังพอดีอยู่” แล้วต่อมาในภายหลัง พวกอาลักษณ์นำเอาต้นพระราชหัตถเลขามาชุบลงไว้ตามที่ทรงแก้ไขใหม่ แต่ยังคงบานแผนกเดิมไว้ “ยัง ทราม พอดี } อยู่” ดังปรากฏในต้นฉบับสมุดไทยที่คัดมาทำต้นฉบับพิมพ์ในเล่มนี้ บอกเวลาชุบเส้นทองไว้ว่า “วันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๑๔๒ (พ.ศ. ๒๓๒๓)” เป็นตอนปลายรัชกาล บอกนามอาลักษณ์ผู้ชุบไว้ ๔ คนคือ นายถี อาลักษณ์ชุบเล่ม ๑, นายสัง อาลักษณ์ชุบเล่ม ๒, นายสน อาลักษณ์ชุบเล่ม ๓, และนายบุญจัน อาลักษณ์ชุบเล่ม ๔, บอกชื่อผู้ทานไว้ ๒ คนตรงกันทุกเล่ม คือ ขุนสารประเสริฐ และขุนมหาสิทธิ น่าเสียดายที่ไม่พบฉบับทรงเดิม อนึ่ง ตอนที่ว่า “ทรงแทรก” นั้น ถ้าจะลองตัดข้อความตรง “ทรงแทรก” ออกเสีย สัมผัสกลอนก็ไม่กินกัน ไม่เหมือนกาพย์เห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีบทแทรกเช่นนี้เหมือนกัน แม้ตัดออก ก็ยังสัมผัสกัน แต่ถ้าลองตัดออกตั้งแต่คำว่า “หณุมานมัดเอามงกุฎมา พาเข้าถวายฉับพลัน” (น. ๒๓) ออกจนตลอดบท “ทรงแทรก” (น. ๒๕) แล้ว ย่อมมีข้อความเรื่องพระลบติดต่อกัน แต่สัมผัสซ้ำ ทั้งนี้น่าจะแสดงว่านอกจาก “ทรงแทรก” แล้ว ยังทรงแก้ไขสัมผัสตามไปด้วย ส่วนที่ว่า “ทรงแปลงใหม่” นั้น ถ้ามิได้หมายความว่าทรงแปลงบทพระราชนิพนธ์ของเดิม ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ด้วยพระองค์เอง ดังหมายเหตุว่า “ยังทรามอยู่” เช่นกล่าวข้างต้นแล้ว บางทีอาจหมายความว่าได้ทรงแปลงบทละครเรื่องรามเกียรติ์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่นจากบทที่ได้จากบทที่เหลือมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้ แต่จะเป็นบทพระราชนิพนธ์โดยเฉพาะหรือบท “ทรงแปลงใหม่” จากบทของเก่าซึ่งมีอยู่ก่อนก็ตาม ก็นับว่าเป็น “พระราชนิพนธ์” ในพระองค์อยู่นั่นเอง เพราะบอกไว้ชัดเจนในบานแผนกข้างต้นแล้ว แม้บทละครรามเกียรติ์ที่เรียกว่า “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑” ก็ปรากฏว่ามิได้ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง หากแต่โปรดให้ขอแรงพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการที่เป็นกวีสันทัดทางบทกลอนช่วยกันแต่งถวาย ทรงตรวจแก้ไข แล้วตราเป็นบทพระราชนิพนธ์ไว้เป็นต้นฉบับสำหรับพระนคร บทละครรามเกียรติ์ความที่พิมพ์นี้ จึงนับเป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งได้ทรงขึ้นโดยพระราชประสงค์ และตามพระราชอัธยาศัยโดยเฉพาะอย่างเท้จริง เปรียบเทียบกับฉบับในรัชกาลที่ ๑บทพระราชนิพนธ์ความนี้ ถ้าเทียบกับบทที่เรียกว่า พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่า มีความคล้ายคลึงกันหลายประการ ดังจะเห็นได้เช่น (๑) ตอนพระมงกุฎประลองศิลป ยิงต้นรัง “ว่าใหญ่ถึงแสนวา” ในบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ ก็ว่า “คณนาแสนอ้อมโดยประมาณ” และในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนี้เอง ตอนต่อไปก็กล่าวถึงอีกว่า “แสนอ้อมโดยประมาณ” (๒) ถ้อยคำบางคำที่ใช้ในบทกลอน ก็มีคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมาก ดังจะยกมาเทียบให้เห็น เช่น ตอนประลองศิลป
-กรุงธน
-รัชกาลที่ ๑ ตอนหณุมานเกี้ยวนางวานริน
-กรุงธน
-รัชกาลที่ ๑
-กรุงธน
-รัชกาลที่ ๑ ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ
-กรุงธน
-รัชกาลที่ ๑ ตอนท้าวมาลีวราชชมโฉมสีดา
-กรุงธน
-รัชกาลที่ ๑ แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว เห็นข้อแตกต่างก็มีอยู่บ้างเหมือนกันเช่น (๑) ข้อความบางตอนมีกล่าวถึงในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ไม่มีกล่าวถึงในบทรัชกาลที่ ๑ เช่น เมื่อพระมงกุฎ พระสบ ประลองศิลป์ เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ทำให้ตระหนกตกใจกันไปหมด ฉบับกรุงธนว่า พระฤษีกับนางสีดาตกใจออกไปติดตามพระมงกุฎ พระลบ ว่า
แต่ในบทรัชกาลที่ ๑ ว่า สองกุมารกลับมาเอง ไม่ได้ติดตาม อันกลอนวรรคหลังที่ว่า “ก็ลีลามาตามกุมาร” นั้น อาจเป็นอย่างที่เรียกว่ากลอนพาไปก็ได้ ซึ่งเป็นความเคยชินของกวีโดยมาก (๒) ลำดับเรื่องก่อนหลังไม่เหมือนกัน คือ มีกล่าวสับหน้าสับหลังกันอยู่บ้าง เช่น ตอนพระมงกุฎถูกจับตัวได้ แล้วพระอินทร์ใช้ให้นางฟ้าชื่อรำภาลงมาช่วย หรือในกลอนที่ยกมาเปรียบเทียบกันให้ดูเป็นตัวอย่างนั้น ก็พอจะสังเกตเห็นข้อความสับหน้าสับหลัง แม้ในกลอนท่อนเดียวกันได้บ้าง ทั้งนี้ ก็อาจต่างกันได้ แม้กวีคนเดียวกัน แต่งคนละคราว ยังมีที่ลำดับเรื่องไม่ตรงครั้งก่อน (๓) แม้เนื้อเรื่องตรงกัน แต่บทกลอนพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ยาวกว่าเพราะกล่าวลีลาศยืดยาวมาก เช่นกลอนในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี บรรจุความเพียง ๑๑ หน้า (ตั้งแต่หน้าต้นถึงหน้า ๑๑ ในฉบับพิมพ์นี้) แต่บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ กล่าวกลอนยืดยาวตั้งเกือบ ๑ เล่มสมุดไทยหรือราว ๕๐ หน้า ถ้าจะเทียบให้ใกล้เคียงก็คือ ในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี กล่าวเพียง ๑๕๐ คำ (น.๑ -๑๑) แต่ในบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ แต่งขยายออกไปเป็น ๔๐๐ คำ ขอยกมาเปรียบเทียบให้เห็นเป็นบางตอนดังนี้ ตอนจับม้าอุปการฉบับกรุงธนว่า
ฉบับรัชกาลที่ ๑ ขยายลีลาศออกไปว่า
ทั้งนี้ ก็ไม่เป็นข้อแปลกอันใด เพราะกวีอาจใช้ความคิดวาดมโนภาพให้วิจิตรพิศดารอย่างไรตามที่ต้องการได้ สุดแต่จะมีความมุ่งหมายเพียงไหน ดังตัวอย่างบทพากย์ตอนนางลอยของเก่า และบทพระราชนิพนธ์ทรงแปลงในรัชกาลที่ ๒ ข้างต้น บางทีจะเป็นเพราะทรงมีพระนิสัยฉับไว ไม่ชอบเยื้องกราย ทรงเห็นเป็นการยืดยาด จึงทรงมุ่งเอาแต่เนื้อความและเรื่องราวเป็นใหญ่ แต่คงมิได้ทรงอย่างแบบละครนอก เพราะทรงบทชมรถราชพาหนะ บททรงเครื่องอย่างแบบละครในไว้เหมือนกัน แต่บทในรัชกาลที่ ๑ สั้นกว่าก็มี ดังตอนท้าวมาลีวราชชมโฉมนางสีดา และตอนหณุมานเกี้ยวนางวานริน ดังยกมาให้ดูข้างต้น ตามที่ยกมาเปรียบเทียบให้เห็นข้างต้นนี้ น่าจะเห็นได้ว่าเนื้อความตามท้องเรื่องรามเกียรติ์ในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและรัชกาลที่ ๑ เหมือนกันเพียงไร ตลอดจนถ้อยคำที่บรรจุในบทกลอนเป็นส่วนมาก อาจเป็นว่าพวกกวีในสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่ได้รับหน้าที่แต่ง บางคนอาจนำเอาบทพระราชนิพนธ์ครั้งกรุงธนบุรี มาเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือฉบับทั้งสองนั้นอาจใด้ฉบับเดิมความเดียวกัน มาเป็นแบบเทียบแล้วเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมเอาใหม่ด้วยกัน ดังที่ปรากฏในฉบับครั้งกรุงธนว่า “ทรงแปลงใหม่” ก็ได้ เป็นอันไม่รู้ใด้แน่ในเวลานี้ มีข้อที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือในบทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ออกนามนางมนโท ในที่หลายแห่งว่า “มนโทคิรี” ซึ่งแม้จะเพี้ยนไป ก็ยังมีสำเนียงใกล้กับในพากย์เดิมของเขาว่า “มนโททรี” อันแปลได้ว่า “มีท้องอันประดับแล้ว” แต่ในบทรัชกาลที่ ๑ เรียกแต่ว่า “มนโท” ตลอดไป ลักษณะและนิสัยของตัวละครอันลักษณะของชาติ ย่อมฉายเป็นกระจกเงาอยู่ในวรรณคดีของชาติ นาฏยคดีของประชาชนก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งวรรณคดีของชาติ เพราะฉะนั้นจึงย่อมจะฉายลักษณะของชาติให้เห็นเงาอันแจ่มใส ฉันใดก็ดี บทประพันธ์ของกวีใดก็ย่อมฉายให้เห็นอัธยาศัยและอารมณ์ของกวีนั้น ฉันนั้น ผู้ประพันธ์วรรณคดีเรื่องใดๆ ก็ตาม ถ้าจะสร้างตัวละครในเรื่องนั้นๆ ให้ใกล้ชิดกับความจริง จะต้องสร้างจากของจริง โดยได้เห็นได้รู้มา หรือมิฉะนั้นในคราวกล่าวถึงลักษณะนิสัยของบุคคลในเรื่องแต่ละราย ก็จะต้องทอดตนเองสร้างความรู้สึกให้ซึมซาบเป็นดุจหนึ่งทำหน้าที่ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องนั้นๆ ดังคำกล่าวที่ว่า วรรณคดีก็เหมือนความเป็นผู้ดี (เพราะ) ย่อมแล่นเข้าไปในเลือด (ประจำอยู่ในตัวของเรา) (Literature, like nobility, runs in the blood.-Haglitt) แม้ผู้อ่านที่จะให้ทราบซึ้งก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน จึงจะซึมทราบในรส อย่างสำนวนที่เรียกกันในการแสดงละครว่า “ตีบทแตก” บทละครรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มิได้เว้นจากคำที่กล่าวแล้วดังจะเห็นได้ในขณะที่อ่านพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ด้วยความพินิจพิเคราะห์ เราจะรู้สึกว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงสร้างลักษณะและนิสัยของตัวละครในเรื่องไว้ด้วยโวหารการประพันธ์ตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์เป็นตอนๆ บางตอนก็แสดงถึงพระนิสัยที่ทรงเพลิดเพลินในทางธรรม เช่นทรงพระราชนิพนธ์บทท้าวมาลีวราช ก็มักจะทรงว่า พระกอบกิจธรรมเป็นใหญ่, พระทรงธรรมธิราชเป็นใหญ่, และพระทรงจตุศีลยักษา ฯลฯ และน่าจะได้ทรงนำเอากิจวัตรส่วนพระองค์มาประพันธ์ลงไว้เป็นบางตอน เช่นเล่าถึงพระอิศวรนั่งสนทนาธรรมกับพระฤๅษีว่า
อันย่อมแสดงถึงพระนิสัยที่ทรงใฝ่พระทัยในข้ออรรถธรรม เมื่อยามว่างก็ทรงพอพระทัยธรรมสากัจฉากับพระราชาคณะ หรือแม้นักบวชในลัทธิอื่น ดังปรากฏในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙ (น. ๙๑) ซึ่งชาวต่างประเทศจดไว้ว่า “เมื่อวันที่ ๒ เดือนเมษายน (พ.ศ. ๒๓๑๕) ได้มีพระราชโองการให้เราไปเฝ้าอีก และในครั้งนี้ใด้มีรับสั่งให้พระสงฆ์ที่สำคัญกับพระเจ๊กไปเฝ้าด้วย วันนั้นเป็นวันรื่นเริงทั่วพระราชอาณาเขต เพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย พระเจ้าแผ่นดินกำลังทรงพระสำราญพระทัย จึงได้ลงประทับกับเสื่อธรรมดาอย่างพวกเราเหมือนกัน ในชั้นแรกได้รับสั่งถึงการต่างๆ หลายอย่างแล้วจึงได้รับสั่งถาม...” ด้วยพระทัยที่ทรงฝักใฝ่ในธรรม ได้ทรงวาดให้นางมนโทกล่าวปลอบทศกรรฐ์เป็นทางธรรมว่า
ยิ่งตอนกล่าวถึงพระโคบุตรฤษีสอนทศกรรฐ์ ย่อมแสดงถึงพระปรีชาญาณ ที่ทรงทราบซึ้งในภูมิธรรมชั้นสูง คือทรงไว้ว่า
แต่โวหารการประพันธ์โดยส่วนรวมย่อมแสดงให้เห็นนิสัยห้าวหาญของตัวละครในเรื่อง อย่างที่เรียกว่า daring spirit โดยตลอดไป ไม่ว่าจะกล่าวถึงพระมงกุฎ พระลบ หรือหณุมาน, ทศกรรฐ์, พระราม ฯลฯ เช่น ในพระราชสาส์นที่จารึกผูกคอม้าอุปการของพระราม ก็ทรงใช้คำหนักๆ ว่า
ดังนี้ ดูเป็นลักษณะเดียวกับพระราชสาส์นและศุภอักษรที่ทรงให้มีไปมากับกรุงศรีสัตนาคนหุตในรัชกาลนั้น อันแสดงถึงพระนิสัยที่กล้าได้กล้าเสีย ทรงยอมเสี่ยงภัยในคราวคับขัน อย่างที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร คราวทรงตีเมืองจันทบุรี ก่อนตีรับสั่งให้ทหารทุบหม้อข้าวหมด ไปหวังกินข้าวเอาในเมือง ถ้าตีไม่ได้ก็ให้อดตายเสียดีกว่า อันย่อมบ่งถึงพระนิสัยอย่างที่เรียกว่า ได้หมดหรือเสียหมด แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะไม่ทรงบทที่รู้สึกสนุกในอารมณ์ของพระองค์เสียเลย บางตอนเห็นเหมาะที่จะทรงหยอดโวหารการนิพนธ์ตามความรู้สึกสนุกในอารมณ์อย่างที่เรียกว่า sense of humour ได้ก็ทรงหยอดลงไว้ ดังกวีทั้งหลายชอบปฏิบัติกัน เช่น ตอนหณุมานเกี้ยวนางวานรินก็ทรงหยอดลงไว้ว่า
ตอนท้าวมาลีวราชปลอบทศกรรฐ์ ก็ทรงหยอดไว้ว่า
ตอนทศกรรฐ์สนทนากับนางมนโทถึงเรื่องเผารูปเทวดา ก็ทรงหยอดอารมณ์สนุกลงไว้ว่า
อนึ่ง จะสังเกตเห็นลักษณะกลอนในบทพระราชนิพนธ์โดยทั่วๆ ไป ทรงบรรจุคำที่เป็นธรรมดาสามัญเกือบตลอด เช่น ทรงบทของท้าวมาลีวราชว่า
และทรงบทของทศกรรฐ์บอกแย้งนางมนโทถึงความสงสัยว่าพาลี (ซึ่งตายแล้วยัง) กลับมาทำลายพิธีทรายกรดได้ ไม่ใช่หณุมานว่า
ทั้งนี้แสดงถึงพระราชอัธยาศัยที่ฉับไวเปิดเผย พอพระทัยตรัสอย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อม แต่ที่ทรงรู้สึกสนุกใช้ศัพท์เล่นบ้างก็มี และดูเหมือนจะตั้งพระทัยทรงให้เหมาะแก่ตัวละครในท้องเรื่อง เช่นกล่าวถึงท้าวมาลีวราชทรงเครื่องว่า
รวมความว่า ถ้อยคำสำนวนกลอนและโวหารการประพันธ์ ตลอดจนบทบาทของตัวละครที่ทรงบรรยายถึงในท้องเรื่องรามเกียรติ์ความนี้ ย่อมเป็นเสมือนกระจกเงาอันแจ่มใสฉายให้เห็นพระราชอัธยาศัยและพระอารมณ์ของพระองค์ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ว่า น่าจะทรงมีพระนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ชอบรวดเร็วฉับไวดังจะเห็นได้แม้จากการบรรจุหน้าพาทย์ ทรงกล้าได้กล้าเสีย ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ย่อมเสี่ยงภัยได้อย่างพระทัยเย็นแม้ในคราวคับขัน และในขณะเดียวกัน ก็ยังทรงสร้างอารมณ์ให้สนุกสนานประกอบกันไปกับการงานที่เอาจริงเอาจัง ทั้งแสดงถึงพระนิสัยที่ทรงพอพระทัยในการตรองตรีกนึกถึงอรรถธรรมในภูมิธรรมอันสูง ไม่ทรงยอมที่จะพอพระทัยอยู่แต่ในชั้นต่ำ คือถ้าได้ก็ต้องได้หมด หรือค่อนข้างมาก ถ้าเห็นไม่ได้ ก็ไม่เอาเสียเลยทีเดียว ดีกว่าที่จะพอพระทัยอยู่แต่เพียงนิดหน่อยหรือครึ่งๆ กลางๆ ดังจะเห็นได้ แม้จากรูปของกลอนและความยาวสั้นของบท น่าคิดว่า ช่างทรงมีพระนิสัยเหมาะแก่ลักษณะของผู้นำในเวลานั้นเสียจริงๆ ขอให้ท่านผู้อ่านลองพยายามทอดตนเองสร้างความรู้สึก ให้เป็นประดุจพระองค์ผู้ทรงนิพนธ์ได้ทรงปฏิบัติ ในขณะทรงพระราชนิพนธ์ จนเกือบจะเป็นหรือเป็นอย่างที่ว่า “แล่นเข้าไปในเลือด” ดังข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างต้น บางทีท่านจะมองเห็นพระนิสัยดังกล่าวแล้วกระมัง กี อยู่โพธิ์ กรมศิลปากร ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ |