จนถึง ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายจาการที่อานารยะชนเผ่าเยอรมันโค่นล้มจักรวรรดิโรมันและครองอิตาลีทั้งหมด แต่พวกนี้ยอมรับเอาอารยธรรมของโรมันหลายอย่าง เช่น ภาษาละติน กกหมาย และคริสต์ศาสนา ขณะเดียวกันจักรวรรดิโรมันตะวันออกมีศูนย์กลางอยู่ที่คอนสแตนติโนเบิล (Constantinople) หรือ อิสตันบูล (Istanbul) ปัจจุบันไม่ถูกรุกรานจากอานารยะ ได้ยั่งยืนต่อมาเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมกรีกแบบเฮเลนนิกติส ที่มีอิทธิพลเข้ามาแทนที่อารยธรรมโรมันจนสิ้นสุดยุคกลาง (Middle age) เมื่อพวกออตโตมันเนอร์ที่นับถืออิสลามรุกรานในตอนกลางคริสต์วรรษที่ 15 นักประพันธ์ ชื่อซิเซโร บรรยายจุดเริ่มต้นของกรุงโรมไว้ดังนี้ “ในที่สุดแล้วดูเหมือนว่ารอมิวรุสคงได้นิมิตรจากสวรรค์ตั้งแต่แรกว่าเมืองนี้ในวันหนึ่งจะเป็นที่ตั้งและเป็นบ้านของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีน้อยนักที่เมืองจะตั้งอยู่ในตำแหน่งใดๆ ของอิตาลีที่จะทำให้การบำรุงรักษาดินแดนในการปกครองอันกว้างใหญ่ไพศาลของเราในปัจจุบันทำได้อย่างง่ายดายไปกว่านี้” Show
ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้น จึงมีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากสมทบขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นเมือง กรุงโรม ศูนย์กลางของอำนาจการปกครองจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก มีบันทึกว่ากรุงโรมก่อตั้งในวันที่ 21 เมษายน ปี -752 B.C. หรือ 752 ปีก่อนค.ศ. มีประชากรอาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆนั้นประมาณ 2.5-4.3 ล้านคน การปกครองของอาณาจักรโรมันแม้ว่าจะไม่สามารถระบุได้ว่า ระบอบการปกครองโรมเริ่มตั้งแต่เมื่อไร และผู้ปกครองคนแรกคือใคร แต่กล่าวกันว่า กรุงโรมครั้งหนึ่งเคยมีกษัตริย์ปกครอง ต่อมา 509ปี ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ทาควิน ผู้เย่อหยิ่งถูกขับออกจากเมืองทำให้โรมกลายเป็นสาธารณรัฐ ตั้งแต่นั้นมาโรมก็เข้มแข็งขึ้นและมีอำนาจปกครองประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจักรวรรดิโรมันก็ขยายอาณาเขตไปทั่วทั้งยุโรป แอฟริกาเหนือและทั่วทั้งเอเชีย ปัจจุบันการใช้กำลังเพื่อยึดครองประเทศอื่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ชาวโรมันเชื่อว่าเป็นการนำเอาอารยธรรมไปสู่คนป่าเถื่อน จักรวรรดิโรมันที่มีกรุงโรมเป็นศูนย์กลางอำนาจ ได้ครองความยิ่งใหญ่เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 5 จึงเปลี่ยนไปเป็นจักรวรรดิไบแซนไทม์ และย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งยังคงความเจริญรุ่งเรืองต่อมาอีกหนึ่งพันปี จนถึงศตวรรษที่ 15 ก็ถูกจักรวรรดิอ็อตโตมานของชาวเติร์กเข้ามาแทนที่(ค.ศ.1453)
จูเลียส ซีซาร์ เป็นวีรบุรุษนักรบที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมันในสมัยโบราณ ชื่อเสียงของซีซาร์ถูกเล่าขานและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกกว่า 2000 ปีมาแล้ว
หลังเข้าควบคุมรัฐบาล ซีซาร์เริ่มโครงการปฏิรูปสังคมและรัฐบาล รวมทั้งการสถาปนาปฏิทินจูเลียน เขารวมระบบข้าราชการประจำของสาธารณรัฐเข้าสู่ศูนย์กลางและสุดท้ายประกาศตนเป็น “ผู้เผด็จการตลอดชีพ” ทำให้เขายิ่งมีอำนาจมากขึ้นไปอีก แต่ความขัดแย้งทางการเมืองใต้น้ำยังไม่สงบ ในที่สุด ซีซาร์ถูกกลุ่มสมาชิกวุฒิสภากบฏลอบสังหาร มีบรูตุส บุตรบุญธรรมของเขาร่วมอยู่ด้วย จึงปรากฏคำพูดของเขาเป็นประโยคสุดท้าย ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ เป็นภาษาละตินว่า “Et tu Brute” (เจ้าเองหรือ บรูตุส) จูเลียส ซีซาร์ มีกลยุทธ์อะไร และสามารถสร้างความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ขึ้นมาได้อย่างไร จูเลียส ซีซ่าร์ เป็นลูกผู้ดี เป็นชนชั้นปกครองของกรุงโรม แต่ต้องมาตกอับเพราะผู้เป็นพ่อเลือกข้างผิดในสงครามกลางเมืองของโรมในยุคนั้น เมื่อพ่ายแพ้จึงทำให้ถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด ครอบครัวถูกดูถูกเหยียดหยาม สู้ทน กบฏทาสกองทัพโรมัน เป็นเครื่องจักรสงครามที่ทรงพลานุภาพมาก สำหรับการรุกรานและขยายอาณาจักร ทำให้อำนาจกรุงโรมขยายออกไป จากพื้นที่ 3 ตารางไมล์ในหุบเขา กลายเป็น 720,000 ตารางไมล์ในยุคแรก และ 3.2 ล้านตารางไมล์รอบฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนจนถึงตะวันออกกลาง ในระยะต่อมา 1)เป็นคนรับใช้ เป็นทาสรับใช้ในบ้าน 2)เป็นแกลดิเอเตอร์ รับใช้สังคมด้วยการสร้างความบันเทิง เพื่อแลกกับชีวิตและอิสรภาพ 3)เป็นแรงงานก่อสร้างโบสถ์ วิหาร บ้านเมืองและถนนหนทาง ถนนเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาณาจักร กองทัพโรมันได้ใช้กำลังแรงงานทาสในการสร้างถนน เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนพลออกรบ ส่งกองกำลังทหารไปควบคุมดูแล และใช้ขนส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารส่งมาหล่อเลี้ยงกรุงโรม กองทัพกบฏทาส เริ่มก่อตัวจากคาบสมุทรอิตาลีตอนใต้ ขยายพื้นที่การต่อสู้ออกไป ยกกำลังเข้าโจมตีกองทหารโรมันจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า มีจุดมุ่งหมายรุกคืบหน้ามุ่งเข้าสู่กรุงโรมด้วยความฮึกเหิม แต่ทว่าระหว่างทางยังมีกองทัพโรมัน 35,000 คนขวางทางอยู่ มีแม่ทัพใหญ่ คือ แคร็กซุส Craxus ส่วนจูเลียส ซีซาร์ ก็เป็นทหารประจำการในระดับนายกอง การศึกที่ไซลาริอุสB.C.-73 กองทัพทาสได้รุกคืบมาถึงเมือง Silalius ฝ่ายทหารโรมัน ซึ่งกำลังขวัญเสียจากการพ่ายแพ้ฝ่ายกบฏอย่างต่อเนื่อง กำลังต้องตัดสินใจเลือกว่า จะตั้งมั่นปะทะกองทัพทาสเพื่อสะกัดกั้นไว้ที่นั่น ป้องกันไม่ให้บุกเข้าถึงกรุงโรม กับการยกกำลังถอยกลับไปสมทบกำลัง ร่วมกันปกป้องกรุงโรมจากการบุกเข้าตีเมืองหลวงของกองทัพทาส เขาจึงเสนอยุทธวิธีใหม่ ให้เข้าโจมตีกองทัพกบฏแบบสายฟ้าแลบ แบบไม่ทันให้ตั้งตัว พร้อมกันนั้นก็เสนอตัวที่จะขอเป็นผู้นำกองกำลังที่แข็งแกร่งจำนวนน้อย บุกเข้าจู่โจมในเวลากลางดึก ก่อนออกปฏิบัติการรบ ซีซาร์ ผู้มีภรรยาและลูกสาวสุดที่รักอายุ 15 ปี รออยู่ที่บ้าน ได้กล่าวปลุกขวัญทหารว่า “ กองทัพทาสไม่มีอะไรจะสูญเสีย แต่พวกเรามีภรรยา ลูกสาว และครอบครัวอยู่ที่โรมเป็นเดิมพัน ถ้าเราแพ้ พวกเขาจะถูกข่มเหง ทุกข์ทรมานถึงที่สุด พวกเจ้าจะไปสู้กับข้าไหม เราจะสู้เพื่อภรรยาของเรา ลูกสาวของเรา และกรุงโรมของเรา” และแล้ว ซีซาร์ได้เคลื่อนกำลังอย่างเงียบเชียบในเวลากลางคืน บุกเข้าจู่โจมกองทัพของสปาร์ตาคัสแบบไม่ให้ตั้งตัวทัน ในเวลาก่อนรุ่งสาง จนกองทัพทาสแตกพ่าย บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ที่เหลือถูกจับกุมเป็นเชลย ส่วนสปาร์ตาคัสถูกฆ่าตายแต่ไม่มีใครเห็นศพเขา จึงมีข่าวลือหนาหูว่าเขาสามารถหนีรอดไปได้ ทหารโรมันพยายามค้นหาตัวเท่าไร เค้นถามนักรบทาสคนไหน ต่างก็บอกว่าตัวเองคือสปาร์ตาคัสทั้งสิ้น การเมืองในกรุงโรมยังมีแม่ทัพใหญ่อีกคนหนึ่ง คุมกองทัพโรมันทางภาคตะวันออก ชื่อปอมปีย์ แมกนุส Pompey Maxnus เขาผู้นี้ก็มีเป้าหมายที่อยากจะสร้างผลงานเพื่อเป็นกงสุลแห่งกรุงโรม (นายกรัฐมนตรี) เป็นคู่แข่งกับแคร็กซุส เมื่อแคร็กซุสและซีซาร์กลับมาถึงกรุงโรม ทราบข่าวถูกปล้นชัยชนะ แคร็กซุสเดือดดาลเป็นที่สุดจนเกือบจะเปิดศึกฆ่ากันกลางงาน แต่ซีซาร์เห็นว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบจึงห้ามศึกไว้ทัน และต้องเล่นบทคนกลางเจรจา mediator ระหว่างแม่ทัพผู้ทรงอำนาจทั้งสองของกรุงโรม เป็นที่มาของศึกการเมืองสำคัญในวุฒิสภา senate ในยุคนั้น จากชัยชนะทางการทหารไซลาริอุส เมื่อประกอบเข้ากับการเป็นตัวกลางระหว่างพยัคฆ์สองตัวในศึกการเมืองในศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรโรมัน ทำให้ซีซาร์สามารถฟื้นสถานะของตัวเองและวงศ์ตระกูลขึ้นมาได้อีกครั้ง อำนาจสามเส้าระบอบสาธารณรัฐแห่งโรม เป็นระบอบที่ปกครองโดยมีวุฒิสภา หรือ senate เป็นองค์กรปกครองสูงสุด ซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วยตัวแทนของชนชั้นสูง ผู้ปกครอง ผู้มีอันจะกิน และขุนศึกแม่ทัพของโรม เป็นศูนย์กลางอำนาจบริหาร ซึ่งผิดกับระบอบราชาธิปไตยที่อำนาจทุกอย่างอยู่ที่พระบรมมหาราชวัง โดยพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถืออำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว แม่ทัพแคร็กซุส เป็นผู้มั่งคั่ง มีธุรกิจการค้าขายมากมายอยู่ในกรุงโรม เขามุ่งหวังที่จะให้วุฒิสภาออกกฎหมายลดภาษีให้กับธุรกิจของตน แต่ทำไม่สำเร็จเพราะในรัฐสภาแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน เช่นเดียวกับแม่ทัพปอมปีย์ ซึ่งต้องการออกกฎหมายจัดสรรที่ดินทำกินในดินแดนที่รบชนะมา เพื่อให้เป็นรางวัลตอบแทนครอบครัวทหารที่ร่วมรบก็ทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายจะคอยคัดค้าน จนทำให้การเมืองมาถึงทางตัน ถึงขั้นที่แคร็กซุสตัดสินใจจะก่อสงครามกลางเมืองกับฝ่ายปอมปีย์เพื่อตัดสินชี้ขาด จึงยื่นคำขาดกับซีซาร์ว่า “เจ้าจะอยู่ข้างใด” ซีซาร์ บัดนั้นมีเครดิตในทางการเมืองขึ้นมาแล้ว ในวันพิธีศพของภรรยาสุดที่รักซึ่งเกิดป่วยและเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน ทั้งแคร็กซุสและปอมปีย์ต่างมาร่วมงานศพด้วย ซีซาร์จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะผ่าทางตันทางการเมืองในครั้งนั้นด้วยวิถีทางของตน
จากจุดนั้นเอง จึงเป็นที่มาของยุค “อำนาจสามเส้า” Triumvirate ประกอบด้วย ปอมปีย์ แคร็กซุส และซีซาร์ โดยมีซีซาร์เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย Mediator จนทำให้สามารถคลี่คลายวิกฤติทางการเมือง หลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองมาได้หวุดหวิด ในขณะที่ตัวซีซาร์เองก็มีบทบาท สถานะและความมั่งคั่งกลับคืนมาอีกครั้ง ภายหลังความพ่ายแพ้ล้มเหลวในยุคพ่อ กงสุลแห่งโรมเมื่อจัดการความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองเสือกรุงโรมได้แล้ว ซีซาร์ยังมีความทะเยอทะยานที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งอำนาจบริหารสูงสุด เขาขอร้องให้สองเสือสนับสนุนให้เขาได้เป็นกงสุลแห่งโรม เพื่อที่จะช่วยผลักดันกฎหมายของทั้งสองฝ่ายให้ผ่านรัฐสภาได้สะดวกขึ้น 1) รัฐสภา Senate เป็นสภาขุนนาง ขุนศึกและชนชั้นสูงของโรม เป็นสภาตัวแทนของคณะพรรค ที่กลุ่มอำนาจต่างๆส่งคนเข้ามาดูแลรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาที่เป็นส่วนประชากร 10% ของกรุงโรม มี สว.จำนวน 300 คน 2) สภาสามัญ Pleabian council เป็นสภาตัวแทนของพวกชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นตัวแทนส่วน 90% ของประชากรโรม สภานี้มีสมาชิกเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น แต่มีอำนาจในการวีโต้กฎหมายและการแต่งตั้งกงสุล 3) กงสุล Consul เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร คือนายกรัฐมนตรีนั่นเอง มี 2 คน เป็นระบบให้สามารถดุล-คานกันได้ ในที่สุด เมื่อซีซาร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลแห่งโรมจริง เขาพยายามเสนอกฎหมายเพื่อช่วยแคร็กซุส แต่ไม่สำเร็จ เสนอกฎหมายเพื่อช่วยปอมปีย์ ก็มีเสียงคัดค้านตลอดเวลา ทั้งสองเสือซึ่งอยู่ในรัฐสภาด้วยกันก็เริ่มทำใจได้ แต่ซีซาร์บอก “ข้ามีวิธีแก้ปัญหาของข้าเอง” แม่ทัพปราบกอลเมื่อจูเลียส ซีซาร์ เริ่มมีอำนาจมากขึ้น มีความมั่งคั่งกลับคืนมา ภรรยาก็เสียชีวิต เขาได้ยกลูกสาวสุดที่รักให้แต่งงานกับปอมปีย์เป็นการผูกสัมพันธ์ทางสายเลือด เขาจึงอยู่โดดเดี่ยว มีความสัมพันธ์กับสตรีมากหลาย รวมทั้งกับภรรยาผู้อื่น โดยเฉพาะนางเซอร์วิเลีย Servilia ซึ่งเป็นนักการเมืองสตรี ผู้มีบทบาททางการเมืองหลังฉากในกรุงโรม ในที่สุดได้มาอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยพร้อมกับลูกชายที่ติดมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งกลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา ชื่อ บรูตุส Brutus (ผู้นี้เป็นผู้ซึ่งเข้าร่วมการลอบสังหารซีซาร์ในภายหลัง) เขายอมรับสภาพแต่โดยดี ตัดสินใจออกไปตั้งกองทัพทางทิศเหนือของโรม ด้วยกำลังทหาร 20,000 คน แบ่งเป็น 4 กองทัพ รับภารกิจบุกดินแดนที่ยากที่สุดในเวลานั้น เพื่อปราบกองกำลังของพวกกอล ชนเผ่าที่เป็นอริกับกองทัพโรมันมาอย่างยาวนานและทหารโรมันก็กลัวพวกกอลอยู่ในกระแสเลือดหรือจิตใต้สำนึก ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า ปรกติกองทัพโรม 1 กองทัพหรือ Legion จะมีกำลังรบประมาณ 5,000 คน แต่ละลีเจียนจะมีผู้บัญชาการ คือ Legate และมี Tribune ถูกเลือกให้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอีกหกคน ทหารลีเจียนนี้จะต้องเป็นพลเมืองโรมันแท้และรับราชการอยู่ 20 ปีเมื่อลาออกก็จะได้บำเหน็จเป็นดินแดนที่ตนตีได้ การศึกที่อเล็กเซียหลังจากถูกแยกตีจนเสียขบวน ชาวกอลเริ่มรวมตัวกันได้ โดยมีแม่ทัพชื่อเวอร์ซินเกอเรรักซ์ Verzingerarux เป็นผู้นำ ชาวกอลเริ่มตีโต้ด้วยการดักซุ่มโจมตีกองทัพโรมัน ทำให้เป็นอุปสรรค สู้กันไปมาอย่างนี้จนกระทั่งในที่สุดกองกำลังของชาวกอลก็ถูกไล่ต้อนไปรวมกันอยู่ที่เมืองอเล็กเซีย Alesia จึงเป็นที่มาของการศึกครั้งสำคัญที่ชี้ขาดแพ้ชนะระหว่างโรมันกับฝรั่งเศส ที่เรียกว่า Alesia Battle ซีซาร์ใช้ยุทธวิธีตั้งมั่นอยู่ภายในกำแพง ใช้กำแพงเป็นเกราะกำบังและใช้พลธนูเป็นแนวต้านทานทั้งสองฝาก แต่ในที่สุดกองทัพกอลด้านนอก สามารถพบจุดอ่อนของกำแพงและบุกทะลวงเข้ามาได้สำเร็จ ในนาทีนั้นซีซาร์ตัดสินใจใช้กลยุทธ์กองกำลัง “ทหารม้าอัจฉริยะ” บุกตีฝ่าออกไป แล้ววกกลับมาตีตลบหลังทหารกอลจากด้านหลัง จนแตกพ่ายและยอมจำนนทั้งหมด จากชัยชนะในการรบที่อเล็กเซีย ทำให้ซีซาร์สามารถเอาชนะชนเผ่ากอลที่เหลือได้ทั้งหมด ณ จุดเดียว ทำให้สามารถแผ่ขยายดินแดนยึดครองไปจรดมหาสมุทรแอตแลนติคและเกาะอังกฤษ รวมเนื้อที่ 230,000 ตารางไมล์ นักรบ นักสื่อสารเป็นที่น่าสังเกตุว่า ในตำราประวัติศาสตร์โลก นอกจากสรรเสริญซีซาร์ในฐานะวีระบุรุษนักรบ และความเป็นนักการเมืองแห่งกรุงโรมแล้ว ยังได้ระบุสถานภาพของจูเลียส ซีซาร์ ไว้อีกบทบาทหนึ่ง ที่คนมักไม่จดจำ คือเป็น “นักกวีร้อยแก้ว” บทรายงานข่าวสถานการณ์จากแนวหน้า มักมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ชาวบ้านชาวเมืองติดตาม มากกว่าเรื่องราวที่จำเจของนักการเมืองในกรุงโรม ข่าวชัยชนะที่เล่ามาจากแนวรบปราบปราบพวกกอลกลุ่มต่างๆ ปัญหาอุปสรรคและการผจญภัย รวมทั้งเรื่องราวแปลกๆของชาวบ้านในต่างเมือง สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลทำให้ซีซาร์ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวโรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่คืออีกกลยุทธ์หนึ่งของซีซาร์ ที่น่าสนใจ เป็นกลยุทธ์ทางการสื่อสารสาธารณะ public communication เมื่อยุค 2500 ปีล่วงมาแล้ว ปอมปีย์ทิ้งกรุงโรมข้างฝ่ายปอมปีย์ เสืออีกตัวผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุล ครองอำนาจอยู่ในโรม คุมกำลังทหารในโรมทั้งหมดไว้ในมือ ในขณะที่สองเสือถูกผลักออกไปทำสงครามอยู่ภายนอก เขาโน้มน้าวให้รัฐสภาโรมลงมติเป็นเอกฉันท์ตามข้อเสนอของเขา ที่ให้ปลดจูเลียส ซีซาร์ ออกจากการคุมกองทัพ โดยตั้งข้อกล่าวหามากมาย และสั่งให้กลับมารับโทษในกรุงโรม ซึ่งในเกมนี้ บรูตัส บุตรบุญธรรมของซีซาร์ ก็เลือกที่จะอยู่ข้างปอมปีย์ ในที่สุด ด้วยเหตุผลความเป็นวีระบุรุษสงครามหมาดๆและนิสัยความห้าวหาญของซีซาร์ ทำให้ปอมปีย์ต้องตัดสินใจ “ทิ้งเมือง” โดยถอยกำลังทหารส่วนสำคัญออกจากกรุงโรม นับเป็นกลยุทธ์ “ทิ้งโรม”อันลือลั่น ที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โรมันอีกเช่นกัน ทางด้านซีซาร์ เมื่อได้รับทราบคำสั่งปลดและเรียกตัวให้กลับไปรับโทษ ในฐานที่ก่อศึกสงครามโกลไปโดยพลการ ทั้งๆที่รัฐสภายังไม่ได้มีมติให้ทำกระทำการ ซีซาร์รู้ตัวดีว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตน เขาจึงยกพลเคลื่อนกลับกรุงโรม จนได้มาถึงแม่น้ำรูบิคอน Rubicon ทางตอนเหนือของโรม ห่างออกไป 200 ไมล์ และหยุดตั้งสติตรงฝั่งแม่น้ำดังกล่าว ศึกโรมสู้โรมปอมปีย์เป็นฝ่ายข้ามฟากไปได้ก่อน มาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองฟาซาลุส Phasalus เขาส่งคำสั่งเรียกกองทัพโรมันทั่วภูมิภาคให้มาสมทบกำลัง ระหว่างนั้นก็ฝึกทหารเตรียมทำศึกแตกหัก เมื่อซีซาร์ได้รับชัยชนะเหนือปอมปีย์ที่สมรภูมิฟาซาลุส ได้กล่าวคำพูดที่โด่งดัง เป็นวาทะทางประวัติศาสตร์ว่า “ ข้ามาถึง ข้าได้เห็น และข้าได้ชัยชนะ ” ซีซ่าร์เป็นห่วงเหตุการณ์ในกรุงโรม จึงสั่งการให้ มาร์ก แอนโทนี กลับไปคุมสถานการณ์ไว้ก่อน ส่วนตนเองคุมกองทัพไล่ล่าปอมปีย์ไปถึงอียิปต์ ติดหล่มศึกภายในอียิปต์จูเลียส ซีซาร์ สั่งการให้ไว้ชีวิตบรูตุส ก่อนที่จะยกกำลังตามตีปอมปีย์ไปจนถึงเมืองอเล็กซานเดรีย แต่แล้วต้องติดหล่มอยู่ที่นั่น ด้วยสถานการณ์ศึกแย่งชิงอำนาจกันเองระหว่างพี่สาวกับน้องชายในอาณาจักรอียิปต์ เมื่อปอมปีย์ไปถึงก่อน ได้เข้าเฝ้าปโตเลมี จึงทูลขอกำลังทหารอียิปต์มาช่วยรบกับซีซาร์ แต่ปโตเลมีกลับรู้ทันว่า ปอมปีย์ คือ ผู้ที่เคยปล้นชัยชนะในสงครามปราบทาสสปาร์ตาคัส และเพิ่งพ่ายแพ้ศึกที่ฟาซาลุสแตกหนีมา จึงสั่งให้จับตัวไว้ แล้วตัดหัวเอามาส่งมอบให้ซีซาร์ เพื่อหวังเอาใจและขอแรงช่วยปราบคลีโอพัตรา แต่ซีซาร์ไม่ยอมร่วมมือ จึงถูกกักตัวไว้เป็นเวลาเนิ่นนาน ผู้เผด็จการแห่งโรมเมื่อซีซาร์กลับถึงโรมแล้ว เรื่องแรกที่เขาต้องทำ คือ การฟื้นอำนาจการปกครองของระบบรัฐสภา Senate เพื่อเป็นกลไกการบริหารบ้านเมืองและขับเคลื่อนระบอบสาธารณรัฐ เขาตั้งตนเองเป็นกงสุลแห่งโรมและต่อมาได้สถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการถาวรตลอดชีพ นับเป็นการสร้างระบอบจักรพรรดิ (Emperor) ขึ้นมาแทนที่ระบอบสาธารณรัฐ (Republic) เดิม ที่ใช้ปกครองยาวนานเกือบ 500 ปี การปฏิรูปของซีซาร์ต่อคำถามที่น่าสนใจว่า ในช่วงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผู้เผด็จการถาวร จูเลียส ซีซาร์ ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์แห่งโรม ซึ่งสามารถออกกฎหมายได้ทุกชนิดโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา ช่วงนั้นเขาได้สร้างอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันบ้างหรือไม่ 1)แก้ปัญหาความยากจนในช่วงสงครามกลางเมืองและยุคบ้านเมืองเกิดจราจล 2)การให้แว่นแคว้นบริวารทั้งหลาย มีการปกครองและการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ 3)สร้างบ้านแปงเมืองขนานใหญ่ มีการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อจ้างงานประชาชน 4)การออกกฎหมายที่จำเป็น 5)การใช้มหกรรมการต่อสู้ของเหล่าทาสแกลดิเอเตอร์ เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความบันเทิง ประชานิยม และสร้างประชามติหนุนระบอบการปกครอง 6)เปลี่ยนระบบปฏิทินจากจันทรคติ มาเป็นสุริยคติ ปฏิทินจูเลียน จุดจบของซีซาร์1 ปีหลังจากที่ซีซาร์กลับกรุงโรม พระนางคลีโอพัตราได้เดินทางมาเยี่ยมพระสวามี พร้อมด้วยพระราชบุตรที่เกิดด้วยซีซาร์ ชื่อซีซาเรียน เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปลี่ยนสถานการณ์ความขัดแย้งภายในโรมให้ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก จนถึงขั้นที่ สว. กลุ่มหนึ่งทนต่อไปไม่ไหว เดินหน้ารวมกำลัง วางแผนอย่างจริงจัง เพื่อลอบสังหารซีซาร์และยุติสถานการณ์ ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าสู่ห้องประชุมรัฐสภา กลุ่ม สว. ที่เตรียมอาวุธซ่อนติดตัวมา พากันรุมกันจ้วงแทงซีซาร์ด้วยมีดปลายแหลม คนละหมุบละหมับ รวม 23 แผล จนถึงแก่ความตาย ซึ่งบรูตุสก็ลงมือกับเขาด้วย เป็นที่มาของประโยคสุดท้ายของซีซ่าร์ที่กล่าวว่า “บรูตุส เจ้าก็เอากับเขาด้วยรึ” เหตุการณ์รุมสังหารซีซาร์ในวันนั้น ส่งผลให้เกิดสูญญากาศขึ้นอีกครั้งในกรุงโรม เหตุการณ์เลวร้ายลงจนรัฐสภาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ Mark Antony พลาดท่าเสียทีจนต้องหนีไปอยู่ที่อียิปต์และได้แต่งงานกับพระนางคลีโอพัตรา รวบรวมกองทัพกลับมาต่อสู้ใหม่ แต่ในที่สุดกลับมาพ่ายแพ้สงครามทางทะเลครั้งใหญ่ต่อกองทัพโรมที่อยู่ภายใต้บัญชาการของ Octavius ที่สมรภูมิ แอคตาวิอุม Actavium ประเทศกรีซ จนทำให้ต้องฆ่าตัวตายสังเวยความพ่ายแพ้ไปด้วยกันทั้งคู่ ส่วนลูกชายของซีซาร์กับคลีโอพัตรา ที่ชื่อซีซาเรียน ได้ขึ้นครองราชย์แต่เยาว์วัย แต่อยู่ได้เพียง 2 สัปดาห์ก็ถูก Octavius สำเร็จโทษ สรุปประเด็นกลยุทธ์ที่น่าศึกษาจากเรื่องราวโดยสังเขปของจูเลียส ซีซ่าร์ ตามที่เล่ามา มีประเด็นมุมมองส่วนตัวในเชิงกลยุทธ์ หรือ ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีของนักรบนักปกครองยุคโบราณ หนึ่งเดียวคนนี้ ที่มีความยิ่งใหญ่มาก ดังนี้ 2.คิดนอกกรอบ ทำสวนกระแส 3.โจมตีแบบสายฟ้าแลบ ทำลายจุดแข็งคู่ต่อสู้ 7.เขียนประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง 8.สื่อสารสาธารณะ 9.กินทีละคำ แบ่งแยกแล้วปกครอง 10.ตั้งรับแรงกระหนาบ ด้วยวงแหวนสองชั้น จักรวรรดิโรมัน หลังยุคจูเลียส ซีซ่าร์Octavius ได้ครองอำนาจเป็นจักรพรรดิแห่งโรม หรือ ออกุสตุส อยู่นานถึง 41 ปี ในยุคของออกุสตุส ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของโรมัน ฐานะของจักรพรรดิได้รับการยกย่องเชิดชูชึ้นเป็นเหมือนกษัตริย์ มีสิทธิเลือกรัชทายาทด้วยพระองค์เอง ในรัชสมัยของออกุสตุสพระองค์นี้ ในมลฑลจูเดียมีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งเกิดขึ้นคือ พระเยซูคริสต์ประสูติ ที่นครเบธเลเฮม ข้อมูลในวิกิพีเดียระบุไว้ว่า จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum “ทะเลของเรา” อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453. เปรียบเทียบยุคกรีกจักรวรรดิโรมันขณะมีความเจริญสูงสุดนั้นมีประชากรประมาณ 75,000,000 คน ไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ว่าคนจำนวนมากขนาดนี้จะสามารถอยู่รวมกันอย่างดี นับเป็นประวัติศาสตร์การเกิดสากลรัฐ ซึ่งประกอบด้วยชนหลายชาติ อยู่กันโดยสันติและราบรื่น นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งยอดที่สุดของโรม ลักษณะของโรมันเปรียบเทียบกับกรีก โรมันจะเคารพในอำนาจ เข้มงวดเรื่องความยุติธรรม การลงโทษอย่างโหดร้าย ไม่ค่อยมีเมตตา ส่วนกรีกจะบูชาเหตุผล กรีกจะเรียกร้องความรู้สึกส่วนตัวและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่โรมันจะให้ความสำคัญพิเศษในเรื่องความสารถควบคุมตัวเอง และความอยู่ในระเบียบแบบแผน กรีกจะเป็นนักทฤษฎีและศิลปินที่ปราดเปรื่อง ในขณะที่โรมันสนใจทางนิติธรรมศาสตร์และทฤษฎีรัฐศาสตร์ โรมันเป็นผู้วางรากฐานการปกครองให้กับยุโรปตะวันตกปัจุบัน กล่าวคือ เขตปกครองในยุโรปมีต้นตอมาจาก Rome เช่น province นอกจากนี้ ก็มีคำว่า fiscal, senate, plebiscite, citize, municipal, census เป็นต้น นอกจากนั้นยังมี ทฤษฎีสัญญาสังคม (ที่ว่ารัฐบาลถือกำเนิดจากการตกลงโดยสมัครใจในหมู่ประชาชน) และความคิดเกี่ยวกับอธิปไตยของปวงชน หลักที่ว่าด้วยการแบ่งอำนาจ (ดังเช่นในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา) และ ความคิดที่ว่ากฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ. อารยธรรมโรมันครอบคลุมดินแดนใดบ้างที่มา: ในสมัยโบราณ จักรวรรดิโรมันแผ่อาณาเขตกว้างไกลครอบคลุมตั้งแต่คาบสมุทรไอบีเรียทางตะวันตก ถึงดินแดนตะวันออกกลางทางตะวันออก เพื่อความสะดวกในการเดินทางจึงสร้างถนนโรมัน (Via Romana) เพื่อเชื่อมต่อเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิ ซึ่งทุกสายล้วนมีทิศทางมุ่งสู่กรุงโรมทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของแผ่นดินโรมัน คุณสามารถ ...
ผู้สถาปนาอาณาจักรโรมันคือใคร๘๐๐ เป็นวันสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้เพราะเป็นวันที่พระเจ้า ชาร์เลอมาญ [กษัตริย์ของชาวแฟรงก์ (King of the Franks) ค.ศ. ๗๖๘-๘๑๔. จักรพรรดิ ค.ศ. ๘๐๐-๘๑๔ แห่งราชวงศ์คาโรลินเจียน (Carolingian) ทรง ได้รับการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและสวมพระมหามงกุฎเป็น “จักรพรรดิของชาวโรมัน” (Emperor of the Romans) จาก ...
โรมันเป็นอารยธรรมแบบใดอารยธรรมโรมันเป็นอารยธรรมของพวกอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรอิตาลี และได้สร้างกรุงโรมขึ้นเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันเมื่อ ๗๕๓ ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมันได้รับวัฒนธรรม มาจากกรีก และได้นำมาผสมผสานกับอารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมียจนกลายมาเป็นรากฐานของอารยธรรม ตะวันตกในปัจจุบัน
การปกครองอาณาจักรโรมันออกเป็น 2 ส่วนคือฝั่งไหนบ้างจักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม ...
|