ศิลาจารึก เป็นวรรณกรรมชนิดลายลักษณ์อักษรอย่างหนึ่ง อาศัยการบันทึกบนเนื้อศิลา ทั้งชนิดเป็นแผ่น และเป็นแท่ง โดยใช้โลหะแหลมขูดเนื้อศิลาให้เป็นตัวอักษร เรียกว่า จาร หรือ การจารึก ศิลาจารึกมีคุณค่าในเชิงบันทึกทางประวัติศาสตร์ ผู้จารึกหรือผู้สั่งให้มีศิลาจารึกมักจะเป็นผู้มีอำนาจ มิใช่บุคคลทั่วไป เนื้อหาที่จารึกมีความหลากหลายตามความประสงค์ของผู้จารึก เช่น บันทึกเหตุการณ์ บันทึกเรื่องราวในศาสนา บันทึกตำรับตำราการแพทย์และวรรณคดีเป็นต้น[1] Show จารึกบนแท่งศิลานั้นมีความคงทนและ คงสภาพอยู่ได้นับพัน ๆ ปี ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์จึงสามารถสืบสานความรู้ย้อนไปได้นับพัน ๆ ปี โดยเฉพาะความรู้ด้านอักษรและภาษา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ศิลาจารึกสำคัญ ๆ อาทิ
ศิลาจารึกประเทศไทย[แก้]ศิลาจารึกเก่าที่สุดที่ค้นพบในประเทศไทยเท่าที่มีหลักฐานทางศักราชปรากฏอยู่ด้วย คือ “จารึกเขาน้อย” พบที่วัดเขาน้อยสีชมพู อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1180 เขียนเป็นภาษาสันสกฤตและเขมรโดยใช้อักษรปัลลวะ[2][3] การจัดทำศิลาจารึกในยุคกรุงสุโขทัยนับว่าค่อนข้างแพร่หลาย โดยจารึกที่ค้นพบและอ่านแล้วมีไม่น้อยกว่า 100 หลัก หลักที่สำคัญ อาทิ[4][5]
อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประวัติการค้นพบขณะสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังไม่ได้เสวยราชย์ และทรงผนวชประทับอยู่ ณ วัดราชาธิราชนั้นได้เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ.๒๓๗๖ เมื่อเสด็จไปถึงเมืองสุโขทัย ได้ทรงพบศิลาจารึก๒หลัก และแท่นหิน ๑ แท่น ตั้งอยู่ที่เนินปราสาทในพระราชวังเก่าสุโขทัย ต่อมาภายหลังปรากฎว่าเป็นศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักหนึ่งศิลาจารึกภาษาขอมของพระมหาธรรมราชาลิไทยหลักหนึ่งและแท่นหินนั้นคือ พระที่นั่งมนังคศิลาบาตรพระองค์ได้โปรดให้นำโบราณวัตถุทั้งสามชิ้นกลับมายังพระนคร และได้ทรงพยายามอ่านศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง จนทราบว่าจารึกนี้สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อ พ.ศ.๑๘๓๕ ภายหลังเมื่อได้เสวยสิริราชสมบัติแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากวัดบวรนิเวศไปตั้งไว้ที่ศาลารายภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ข้างด้านเหนือพระอุโบสถหลังที่สองนับจากตะวันตก จนถึงปีพ,ศ.2466จึงได้ย้ายมาไว้ที่หอสมุดวชิรญาณในปีพ.ศ.2468จึงโปรดเกล้าให้ย้ายจารึกมาเก็บไว้ณพระที่นั่งศิวโมกขพิมานพ.ศ.2511จึงได้ย้ายเฉพาะศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชไปตั้งที่อาคารสร้างใหม่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครด้านเหนือชั้นบน ซึ่งเป็นห้องแสดงศิลปะสมัยสุโขทัยเพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี และได้จัดทำศิลาจารึกหลักจำลองขึ้นเก็บรักษาไว้ที่หอวชิราวุธแทน
ศิลาจารึกหลักที่ ๑(พ่อขุนรามคำแหง) ลักษณะของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ลักษณะของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นหินชนวนสี่เหลี่ยมมียอดแหลมปลายมน สูง ๑ เมตร ๑๑ เซนติเมตร มีข้อความจารึกทั้ง ๔ ด้าน สูง ๕๙ เซนติเมตรกว้าง ๓๕ เซนติเมตร ด้านที่ ๑และ๒ มี ๓๕ บรรทัด ด้านที่ ๓และด้านที่ ๔ มี ๒๗ บรรทัด การบันทึกของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแบ่งออกเป็น 3 ตอน ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ – ๑๘เป็นเรื่องของพ่อขุนรามคำแหงทรงเล่าประวัติพระองค์เอง ตั้งแต่ประสูติจน เสวยราชย์ใช้สรรพนามแทนชื่อของพระองค์ว่ากู ตอนที่ ๒ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑๙ เล่าเหตุการณ์ต่างๆและขนบปรพเพณีของกรุงสุโขทัยเล่าเรื่องการสร้างพระ แท่นมนังคศิลาบาตร สร้างวัดมหาธาตุเมืองศรีสัชนาลัยและการประดิษฐ์อักษรไทยใช้พระนามว่าพ่อขุนรามคำแหง ตอนที่ ๓ คงจารึกต่อจากตอนที่๒หลายปีเพราะรูปร่างอักษรต่างไปมากกล่าวสรรเสริญและยอพระเกียรติของพ่อขุนรามคำแหงบรรยากาศถูมิสถานบ้านเมือง และขอบเขตของอาณาจักรสุโขทัย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ศิลาจารึกด้านที่ ๑
ศิลาจารึกด้านที่ ๒
ศิลาจารึกด้านที่ ๓
ศิลาจารึกด้านที่ ๔ การถอดจารึกด้านที่๑ในรูปแบบต่างๆ ถอดจารึกแบบตามจารึก ถอดจารึกแบบตามอักษรไทยปัจจุบัน ถอดจารึกเขียนแบบปัจจุบัน
การถอดจารึกด้านที่๒ในรูปแบบต่างๆ ถอดจารึกแบบตามจารึก ถอดจารึกแบบตามอักษรไทยปัจจุบัน
ถอดจารึกเขียนแบบปัจจุบัน
การถอดจารึกด้านที่๓ในรูปแบบต่างๆ ถอดจารึกแบบตามจารึก
ถอดจารึกแบบตามอักษรไทยปัจจุบัน
ถอดจารึกเขียนแบบปัจจุบัน การถอดจารึกด้านที่๔ในรูปแบบต่างๆ ถอดจารึกแบบตามจารึก
ถอดจารึกแบบตามอักษรไทยปัจจุบัน
ถอดจารึกเขียนแบบปัจจุบัน
คำศัพท์ที่ปรากฏ ด้านที่๑ ไพร่ฝ้าหน้าใส- ไพร่พล เบกพล แปลว่า เบิกพล หรือ แหวกพลอาจเป็นชื่อช้างก็ได้ตีหนัง ลูท่าง -เป็นการสะดวก กว่า– ไป พ่อเชื้อ – พ่อที่ล่วงลับไปแล้ว เสื้อคำ - เป็นคำที่ใช้คู่กับพ่อเชื้อ ช้างขอ – ช้างที่เคยขอ คือช้างที่ฝึกไว้ดีแล้ว เยียเข้า– ยุ้งฉาง ผิดแผกแสกว้างกัน– ทะเลาะกัน บ่ใคร่เดือด– ไม่ริษยา ตวง– จนกระทั่ง หัวพู่งหัวรบ- ข้าศึกชั้นหัวหน้า เจ็บท้องข้องใจ– ทะเลาะกัน บ่ไร้ – ไม่ยาก คำศัพท์ที่ปรากฏ ด้านที่๒ ลางขนุน, หมาก – มะพร้าวประเภทหนึ่ง ตระพัง– สระน้ำ ตรีบูร– กำแพงสามชั้น มักโอยทาน– นิยมถวายทานแกผู้ทรงศีล พนม– ประดิษฐ์เป็นพุ่ม แล่ปีแล้ญิบล้าน– ปีละสองล้าน(เบี้ย) เท้า– ถึง ดม– ระดม บงคม– ประโคม เลื้อน– ขับทำนองเสนาะ มี– อึ่งมี่ ราม– ปานกลาง นีสไสยสุต- พระภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๕ อรัญญิก– วัดในป่า หลวก– ฉลาดหลักแหลม ทะเลหลวง– ทุ่งกว้าง แกล้ง- ตั้งใจ คำศัพท์ที่ปรากฏ ด้านที่ ๓ ปสาน – ตลาด อัจนะ – สิ่งที่ควรบูชา สรีดภงส – ทำนบ,คลองส่งน้ำ, ทาง หรือท่อระบายน้ำ น้ำโคก – แอ่งน้ำลึก ขพุง – ชื่อภูเขา ขพุง แปลว่า สูง คำศัพท์ที่ปรากฏ ด้านที่๔ มาออก – มาเป็นเมืองขึ้น ๑๒๐๗ ศกปีกุน – มหาศักราช ๑๒๐๗ ตรงกับปีระกาถ้าเป็นปีกุน จะต้องตรงกับมหาศักราช ๑๒๐๙ เวียงผา – กำแพงหิน วรรณศิลป์ในศิลาจารึก วรรณศิลป์ คือ ศิลปะของการประพันธ์ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่วรรณคดีควรจะมีดังนั้นการศึกษาถึงวรรณศิลป์ของศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ย่อมสามารถตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเป็นวรรณคดีของศิลาจารึกหลักที่หนึ่งได้ จากการศึกษาวรรณศิลป์ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่๑ พบความโดนเด่นทางวรรณศิลป์ที่น่าสนใจสองประการ คือการใช้คำหรือวลีที่มีลักษณะเหมือนคำอุทานเสริมบท และ การมีคำสร้อยสลับวรรคซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นหลักฐานที่สนับสนุนความเป็นวรรณคดีของศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่๑ ทั้งยังถือได้ว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาในเชิงวิวัฒนาการวรรณคดีไทยในระดับต่อไปอีกด้วย ก) การใช้วลีที่มีลักษณะเหมือนคำอุทานเสริมบท ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งมีการประพันธ์ด้วยคำที่มีโครงสร้างคล้ายคำอุทานเสริมบทซึ่งมักจะมีสี่พยางค์คือ พยางค์ที่ ๑ กับพยางค์ที่ ๓ จะเป็นคำเดียวกันและพยางค์ที่ ๒ กับพยางค์ที่ ๔ของคำจะเป็นคำที่ต่างกันแต่ก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น “บ่ฆ่าบ่ตี” จะสังเกตเห็นว่าคำพยางค์แรกและคำพยางค์ที่ ๓ เป็นคำเดียวกัน คือคำว่า “บ่” ส่วน“ฆ่า” และ “ตี” ในพยางค์ที่ ๒ และ ๓ ตามลำดับนั้น มีความหมายไปในทำนองเดียวกัน เกี่ยวกับการทำร้ายเพียงแต่ “ฆ่า” เป็นการทำร้ายอย่างรุนแรงกว่า “กลางบ้านกลางเมือง” ตัวอย่างนี้ซ้ำคำว่า“กลาง” ในพยางค์ตำแหน่งที่ ๑ และ ๓ ส่วนคำว่า “บ้าน” และ “เมือง” ในตำแหน่งที่ ๒และ ๔ ก็มีความหมายในกลุ่มเดียวกันคือสถานที่อยู่อาศัยของคน เพียงแต่ “เมือง”มีความหมายที่เป็นสถานที่ที่มีขอบเขตกว้างใหญ่กว่า “บ้าน”นอกจากคำ ๔ พยางค์แล้วลักษณะที่คล้ายกับคำอุทานเสริมบทยังปรากฏให้เห็นได้ในคำ ๖พยางค์ด้วย ดังเช่น “บ่มีเงือนบ่มีทอง”และ “บ่มีช้างบ่มีม้า” ทั้งนี้จากการพิจารณาศิลาจารึกหลักที่หนึ่งลักษณะดังกล่าวจะมีปรากฏในคำ๔ พยางค์มากที่สุด ลักษณะของคำที่ที่คล้ายกับคำอุทานเสริมบทนี้จะทำให้ร้อยแก้วกึ่งร่ายของศิลาจารึกหลักที่หนึ่งมีความไพเราะสมกับเป็น วรรณคดีมากยิ่งขึ้นเพราะมีคำที่ก่อให้เกิดความสมดุลทั้งจังหวะ เสียง และความหมายดังที่กล่าวไปข้างต้น ข) การมีคำสร้อยสลับวรรค คำสร้อยสลับวรรค คือ การที่คำประพันธ์มีคำสร้อยต่อท้ายวรรคในแต่ละวรรคซึ่งมีเพื่อเสริมความหมายให้ชัดเจนขึ้นและใช้ในกรณีคำประพันธ์มีความหมายที่คล้ายและเป็นไปในทางเดียวกัน ดังตัวอย่าง “... ได้ตัวเนื้อตัวปลา ...เอามาแก่พ่อ...ได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยดี...เอามาแก่พ่อ...ไปตีหนังวังช้างได้ ...เอามาแก่พ่อ...ไปท่บ้านท่เมืองได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง ...เอามาเวนแก่พ่อ... ...” จากตัวอย่างจะพบว่า “...เอามาแก่พ่อ...” หรือ “...เอามาเวนแก่พ่อ...” เป็นคำสร้อยสลับวรรค โดยที่คำสร้อยนั้นเป็นวลี “...ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ...” จากตัวอย่าง “ก็หลายในเมืองนี้” เป็นคำสร้อยสลับวรรคโดยที่คำสร้อยนั้นเป็นวลีเช่นเดียวกับ คำสร้อย “...เอามาแก่พ่อ...” นอกจากนี้ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ยังมีคำสร้อยสลับวรรคที่เป็นคำพยางค์เดียวด้วย ดังเห็นได้จาก คำว่า “ค้า” ในตัวอย่าง “... ใครจักใคร่ค้าช้า ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ...” จากการค้นคว้าเบื้องต้นแล้วคำสร้อยสลับวรรคที่เป็นวลีมีมากกว่าคำสร้อยสลับวรรคแบบที่เป็นคำพยางค์เดียวและถึงแม้คำสร้อยสลับวรรคในศิลาจารึกหลักที่ ๑จะยังไม่คงที่ด้านจำนวนคำและไม่สมบูรณ์ด้านการใช้คำหรือวลีเดียวกันทุกคำสร้อยบ้างแต่คำสร้อยสลับวรรคของศิลาจารึกหลักที่หนึ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าศิลาจารึกหลักที่หนึ่งไม่ใช่แค่มีรูปแบบการประพันธ์ร้อยแก้วที่มีสัมผัสในวรรคและระหว่างวรรคมากกว่าร้อยแก้วปกติแต่ยังเป็นร้อยแก้วที่ผู้ประพันธ์ได้สร้างลักษณะพิเศษอย่างคำสร้อยสลับวรรคแทรกไว้ดังนั้นศิลาจารึกหลักที่หนึ่งจึงมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ในระดับที่เหมาะสมกับการได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณคดีไทย นอกจากนี้ลักษณะของคำสร้อยสลับวรรคที่พบในศิลาจารึกหลักที่ ๑ นี้ยังพบความคล้ายคลึงกับคำสร้อยสลับวรรคของ “ลิลิตโองการแช่งน้ำ”วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้นด้วย “...อย่ากินเข้าไปเพื่อ จนตาย อย่าอาศัยแก่น้ำ จนตาย นอนเรือนคำรนคา จนตาย ลืมตาหงายสู่ฟ้าจนตาย ก้มหน้าลงแผ่นดิน จนตาย” จากลักษณะของคำสร้อยสลับวรรคของวรรณคดีทั้งสองยุคสมัยจึงสามารถสัณนิษฐานได้ว่า ลักษณะคำสร้อยสลับวรรคของวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้นอย่างลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นลักษณะที่สืบทอดมาจากวรรณคดีสมัยสุโขทัย อย่างศิลาจารึกหลักที่ ๑ อย่างไรก็ตามจุดเริ่มต้นของคำสร้อยสลับวรรคและคำสร้อยโดยทั่วไปนั้นอาจมีความเป็นมาที่ยาวนานกว่าจะเป็นลักษณะของวรรณคดีสมัยสุโขทัยก็เป็นได้หากแต่ในปัจจุบันหลักฐานที่พบจากวรรณคดีสองยุคสมัยนี้สามารถนำไปสู่ข้อสรุปว่าคำสร้อยสลับวรรคมีต้นเค้ามาจากวรรณคดีสมัยสุโขทัย คุณค่าของศิลาจารึก ศิลาจารึกหลักนี้ได้กล่าวถึงความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชโปรดให้ข้าราชบริพารเข้าเฝ้าปรึกษาราชการได้ทุกวัน ยกเว้นวันพระ และเปิดโอกาสให้ราษฎรมาสั่นกระดิ่งเพื่ออุทธรณ์ฎีกาได้ทุกเมื่อ
ด้านเศรษฐกิจ ข้อความที่จารึกไว้ว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยนั้น มีความมั่นคงมาก นอกจากนี้ยังมีการชลประทาน การเกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์ และการค้าขายก็ทำโดยเสรี ศิลาจารึกหลักนี้ช่วยให้เราได้ทราบถึงประวัติความรุ่งเรืองชองชาติไทยในยุคสุโขทัย และประวัติเรื่องราวอื่นๆ เช่น ประวัติราชวงศ์สุโขทัย ประวัติการรวบรวมอาณาจักรไทยให้เป็นปึกแผ่น ประวัติการค้าโดยเสรี ประวัติการสืบสร้างพระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์ลายสือไทย ศิลาจารึกหลักนี้ได้ระบุอาณาเขตของสุโขทัยไว้อย่างชัดแจ้ง กล่าวถึงว่าทิศตะวันออก จดเวียงจันทน์ เวียงคำ ทิศใต้จดศรีธรรมราช และฝั่งทะเล ทิศตะวันตกถึงหงสาวดี ทิศเหนือถึงเมืองแพร่ น่าน พลั่ว มีการกล่าวถึงชื่อเมืองสำคัญต่างๆ หลายเมือง เช่น เชลียง เพชรบุรี นอกจากนี้ยังได้พรรณนาแหล่งทำมาหากินและและแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวเมืองสุโขทัยไว้
ด้านภาษาศาสตร์ ลายสือไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีความสมบูรณ์ทั้งสระและพยัญชนะ สามารถเขียนคำภาษาไทยได้ทุกคำ และสามารถเลียนเสียงภาษาต่างประเทศได้ดีกว่าอักษรแบบอื่นๆ เป็นอันมาก มีการใช้อักขรวิธีแบบนำสระและพยัญชนะมาเรียงไว้ในบรรทัดเดียวกัน ซึ่งทำให้ประหยัดทั้งเนื้อที่และเวลาในการเขียน ภาษาเป็นสำนวนง่ายๆ และมีภาษาต่างประเทศบ้าง ประโยคที่เขียนก็ออกเสียงอ่านได้เป็นจังหวะคล้องจองกันคล้ายกับการอ่านร้อยกรองด้านวรรณคดี ศิลาจารึกหลักนี้จัดว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของไทย เพราะมีข้อความไพเราะลึกซึ้งและกินใจ ก่อให้เกิดจินตนาการได้งดงาม
ด้านศาสนา ข้อความในศิลาจารึกนี้ มีหลายตอนที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น ได้รับการอุปถัมภ์เชิดชูอย่างดียิ่ง ประชาชนชาวไทยได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสูงส่ง มีการสร้างปูชนียสถานและปูชนียวัตถุไว้เป็นจำนวนมาก พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยสร้างขึ้นด้วยความศรัทธาในพระศาสนา จึงมีศิลปะงดงามยิ่ง แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถจะสร้างให้งามทัดเทียมได้ด้านจารีตประเพณี ศิลาจารึกหลักนี้ช่วยให้ทราบว่า สมัยสุโขทัยนั้นมีหลักจารีตประเพณีหลายประการที่ประชาชนนับถือและปฏิบัติกันอยู่ มีทั้งประเพณีทางพระพุทธศาสนาและประเพณีอื่น ๆ เช่น ประเพณีรักษาศีลเมื่อเข้าพรรษา ประเพณีฟังธรรมในวันพระ ประเพณีการทอดกฐิน ประเพณีการเผาเทียนเล่นไฟ เป็นต้น
ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนี้ เป็นเอกสารที่สำคัญยิ่งชิ้นหนึ่งของชาติไทย เป็นมรดกอันล้ำค่าและทรงคุณค่าอย่างยิ่ง มีสาระประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองนานัปการ ควรพิทักษ์รักษาไว้ให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดกาล และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่คณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (องค์การยูเนสโก) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 28-30 สิงหาคม 2546 ที่เมือง Gdansk ประเทศโปแลนด์ โดยได้พิจารณาใบสมัครจำนวน 43 รายการ จาก 27 ประเทศทั่วโลก ผลการประชุมมีมติสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ให้องค์การยูเนสโกจดทะเบียนระดับโลก ศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหง พร้อมกับอีก 22 รายการ จาก 20 ประเทศ ทั้งนี้ โครงการมรดกความทรงจำของโลกเป็นโครงการเพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่มรดกความทรงจำที่เป็นเอกสาร วัสดุหรือข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เช่น กระดาษ สื่อทัศนูปกรณ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย แต่จะต้องมีความสำคัญในระดับนานาชาติ และจะต้องมีการเก็บรักษาในความทรงจำในระดับชาติและระดับภูมิภาคอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อองค์การยูเนสโกได้ประกาศจดทะเบียนแล้ว ประเทศเจ้าของมรดกมีพันธกรณีทางปัญญาและทางศีลธรรมที่จะต้องอนุรักษ์ ให้อยู่ในสภาพที่ดี และเผยแพร่ให้ความรู้แก่มหาชนอนุชนรุ่นหลังทั่วโลกให้กว้างขวาง เพื่อให้มรดกดังกล่าวอยู่ในความทรงจำของโลกตลอดไป นับเป็นความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยรามคำแหงอย่างยิ่งที่นอกเหนือจากเป็นสถาบันการศึกษาภายใต้พระนาม พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์ผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่แก่ชาติไทยแล้ว ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อันเป็น ตราประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยังได้รับการยกย่องไปทั่วโลกว่าเป็น มรดกความทรงจำของโลก
สุดท้ายนี้ ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ สุวิชาโน ภว โหติ
แหล่งอ้างอิง: Ac 127 inภาษาไทย. “ คำศัพท์ในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง<<AC127”.AC127. 14กันยายน2551 .Ac 127.14มกราคม2554. http://ac127.wordpress.com/2008/09/14 ข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร,กลุ่มงาน.. “ ศิลาจารึก”.จังหวัดสุโขทัย.มปป.กลุ่มงาน.ข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสารสำนักงานจังหวัดสุ สุโขทัย.14มกราคม2554., <http: //www.sukhothai.go.th/history/hist_08.html> คณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน,สำนักงาน.ประวัติวรรณคดีไทย เล่ม ๒.กรุงเทพ:โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว ,2550.294หน้า ไดอารี่. “ความเป็นวรรณคดีของศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จารึกพ่อขุนรามคำแหง ”. Independent study @ AlternativeUniversity.18กรกฏาคม2551. <http: //virtuoso.diaryis.c om > มหาวิทยาลัยรามคำแหง.“จังหวัดสุโขทัย”.มหาวิทยาลัยรามคำแหง.มปป.สารนิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. .14มกราคม2554.< http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/> ศึกษาธิการ,กระทรวง,.วรรณคดีวิจักษ์.15000.6.สกสค.ลาดพร้าว:สกสค.2551.139. ศิลาจารึกหลักที่ 1 มีคุณค่าด้านใดมากที่สุดศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นวรรณคดีที่สำคัญเรื่องหนึ่งในสมัยสุโขทัย ที่มีคุณค่าทางด้านภาษาประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง และสังคม เพราะตัวอักษร อักขรวิธี คำศัพท์ที่ใช้ และการเรียงร้อยความนั้นมีความวิจิตรบรรจง ความละเมียดละไม ความไพเราะ ซึ่งแสดงอัจฉริยภาพด้านภาษาของพ่อขุนรามคำแหงได้เป็นอย่างดี ทำให้เห็นความสำคัญและเกิดความ ...
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 1 ให้คุณค่าด้านวรรณศิลป์อย่างไรจากการศึกษาวรรณศิลป์ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่๑ พบความโดนเด่นทางวรรณศิลป์ที่น่าสนใจสองประการ คือการใช้คำหรือวลีที่มีลักษณะเหมือนคำอุทานเสริมบท และ การมีคำสร้อยสลับวรรคซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นหลักฐานที่สนับสนุนความเป็นวรรณคดีของศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่๑ ทั้งยังถือได้ว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาในเชิงวิวัฒนาการ ...
ศิลาจารึกหลักที่ 1 คืออะไรศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นการบรรยายเรื่องราวของกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุนรามคำแหง จารึกหลักนี้ นักปราชญ์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าข้อความในตอนต้นๆ ของศิลาจารึกเป็นสิ่งที่พ่อขุนรามคำแหงโปรดให้จารึกขึ้น แต่ตอนท้ายๆ มาสร้างขึ้นในสมัยหลัง
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 1 กล่าวถึงอะไรตอนที่ ๑ ตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ - ๑๘ เป็นพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ตั้งแต่ประสูติ จนถึงเสด็จขึ้ครองราชย์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระจริยวัตรที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระราชบิดา พระราชมารดา และพระเชษฐา
|