เกลือแร่และวิตามินมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย

  1. หน้าหลัก
  2. ดูแลสุขภาพ
  3. สุขภาพพื้นฐาน
  4. พลังวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์จากธรรมชาติ

Show

ร่างกายของคนเรา นอกจากต้องการสารอาหารหลัก หรือแมคโครนิวเทรียนท์ จำพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันแล้ว ยังต้องการสารอาหารรอง หรือไมโครนิวเทรียนท์ จำพวกวิตามิน เกลือแร่ รวมทั้งสารอาหารจากผักผลไม้ หรือที่เรียกว่าไฟโตนิวเทรียนท์อีกด้วย เพราะสารอาหารต่างๆ เหล่านี้ช่วยสนับสนุนการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน โดยทั่วไปในมื้ออาหารปกติมักประกอบด้วยสารอาหารกลุ่มแมคโครนิวเทรียนท์เป็นหลักอยู่แล้ว สิ่งที่มักขาดหายไปก็คือผักและผลไม้ ดังนั้น เราควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ในปริมาณที่เพียงพอ โชคดีที่ชีวิตมีทางเลือก...การดื่มเครื่องดื่มที่ให้วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์จากธรรมชาติเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเริ่มต้นสุขภาพดี สำหรับชีวิตที่รีบเร่งของคนในยุคปัจจุบัน

EASY VITAMIN...เริ่มต้นสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์

วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามินบีและวิตามินซี เป็นวิตามินที่ไม่สะสมในร่างกาย จำเป็นต้องบริโภคอาหารโดยเฉพาะผักและผลไม้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะวิตามินบีรวมที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง และช่วยให้เม็ดเลือดแดงขนส่งออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ร่างกายจึงรู้สึกสดชื่นขึ้น วิตามินซีมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ช่วยต้านการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ การออกกำลังกายมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระขึ้นจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล ซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ได้รับความเสียหาย มีการวิจัยที่ทดลองให้นักกีฬาสมัครเล่นวิ่งฮาล์ฟ-มาราธอนระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร ดื่มเครื่องดื่มวิตามินซีร่วมกับวิตามินอีตลอดระยะเวลาการฝึกฝน ผลพบว่า สามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชันของนิวโทรฟิลซึ่งช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากการฝึกวิ่งได้

EVERYDAY HEALTHY...พื้นฐานสุขภาพดี มีได้ทุกวัน

ร่างกายของคนเราต้องการทั้งวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการทำหน้าที่ของโปรตีนทำงาน (Functional Proteins) ในทางกลับกัน โปรตีนทำงานหลายชนิดทั้งเอนไซม์ ฮอร์โมน และสารโปรตีนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานของวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ พร้อมกันไปด้วย ดังนั้น ร่างกายจึงขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ เพื่อทำหน้าที่ผสานพลังร่วมกันเป็นทีมเวิร์คอย่างมีประสิทธิภาพ

ENJOY GOOD SHAPE...รูปร่างดี ดูดีทุกวัน

จากการสำรวจประชากรทั่วไปอายุ 15-79 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2558 พบว่า คนไทยมีน้ำหนักเกิน 23% และมีภาวะอ้วน 7.5% โดยอาจมีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบและการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ การได้รับสารอาหารวิตามินและไฟโตนิวเทรียนท์ก็มีส่วนช่วยดูแลรูปร่างให้ดูดีได้ทุกวัน

วิตามินกับการส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์และรักษาสมดุลการเผาผลาญอาหาร

  • บี 1 หรือไธอะมีน (Thiamine) ช่วยเร่งเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และลดอาการเมื่อยล้าหลังออกกำลังกาย
  • บี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เป็นโคเอนไซม์ในระบบการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย
  • บี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน งานวิจัยพบว่า การให้วิตามินบี3 ช่วยเร่งปฏิกิริยาและรักษาสมดุลการเผาผลาญอาหารประเภทไขมัน
  • บี 5 หรือกรดแพนโทธินิค (Panthothenic Acid) ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน

ไฟโตนิวเทรียนท์กับการส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญอาหาร

  • กรดไฮดรอกซีซินนามิก (Hydroxycinnamic acids) พบในผักและผลไม้ เช่น ซีบัคธอร์น สับปะรด ทับทิม และผลไม้ตระกูลส้ม ช่วยชะลอการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย ช่วยลดการขยายตัวและการสะสมไขมันในเซลล์ไขมันและเร่งการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อการเผาผลาญให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย
  • ฟลาวาโนน (Flavanone) พบในผักผลไม้ในตระกูลส้มและเลมอน เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลการเผาผลาญสารอาหาร
  • แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) พบในผักและผลไม้ที่มีสีแดงหรือสีชมพู เช่น อะเซโรลา เชอร์รี ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญจากอาหารไขมันทำงานดีขึ้น

หวานพอดีที่ 4 กรัม

หนึ่งในสาเหตุที่คนมักได้รับปริมาณน้ำตาลเกิน ก็เนื่องมาจากความสะดวกในการเทน้ำตาลจากซองบรรจุพร้อมใช้ลงในเครื่องดื่มจนหมดซอง ซึ่งซองมีหลายขนาดตั้งแต่ 3 - 10 กรัม โดยขนาด 8 กรัม เป็นขนาดที่นิยมใช้มากที่สุด หากบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งผลร้ายทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาใช้น้ำตาลซองขนาดไม่เกิน 4 กรัม (4 กรัม = 1 ช้อนชา) เพื่อลดปริมาณการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวัน

เกลือแร่และวิตามินมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย

สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ทำงานหนักทั้งวันยิ่งต้องหมั่นหาเวลาดูแล! โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ที่มักละเลยการเอาใจใส่สุขภาพ จนทำร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุจำเป็น (Hidden Hunger) เอาได้ง่ายๆ ชวนมาทำความรู้จัก 10 วิตามินและแร่ธาตุหลักๆ ที่ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาด!

ป่วยบ่อย อ่อนเพลียง่าย เพราะร่างกายขาดวิตามิน

ความว้าวุ่นใจของคนยุคใหม่ที่มักเข้าใจว่าทำงานหนักตลอดเวลา คือความ Productive บวกกับพฤติกรรมกระตุ้นต่างๆ ที่คนทุกวัยกำลังเผชิญอยู่มาก คือ การนอนดึก พักผ่อนน้อย และพฤติกรรมเนือยนิ่ง หรือการนั่งๆ นอนๆ ในทุกๆ กิจกรรมที่ทำเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่ตรงตามความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้สุขภาพเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เช่น ผิวแห้ง ผมร่วง นอนหลับยาก อ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือเป็นตะคริวบ่อยกว่าปกติ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจกระทบต่อความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทาน จนร่างกายเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่ายมากกว่าเดิม

เกลือแร่และวิตามินมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย

10 วิตามินและแร่ธาตุ เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

แม้วิตามินและแร่ธาตุ จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดของสารอาหารรอง (Micronutrient) แต่ยังคงเป็นสารอาหารจำเป็นที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ 10 วิตามินและแร่ธาตุต่อไปนี้ที่ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายต้องขาด!

1.วิตามินเอ (Vitamin A)

หนึ่งในวิตามินสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพด้านการมองเห็น และการเจริญเติบโตต่างๆ เช่น กระดูก ผิวพรรณ เส้นผมไปจนถึงฟัน โดยปริมาณวิตามินเอที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายจะอยู่ที่ 900-1,000 ไมโครกรัมต่อวัน และในผู้หญิงอยู่ที่ 700-800 ไมโครกรัมต่อวัน

2.วิตามินบี (Vitamin B)

สารอาหารจำเป็นที่แยกย่อยออกไปได้อีกกว่า 13 ชนิด แต่สามารถพบได้ในรูปแบบของวิตามินบีรวม (Vitamin B complex) ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลร่วมด้วยได้ และมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของร่างกาย โดยแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินบีแต่ละชนิดไม่เกิน 25-50 มิลลิกรัมต่อวัน

3.วิตามินซี (Vitamin C)

สารอาหารสำคัญที่เด่นดังในการดูแลผิว ช่วยชะลอความแก่และลดริ้วรอย ทั้งยังมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของไข้หวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นวิตามินจำเป็นแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ ซึ่งในแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินซีให้ได้อย่างน้อย 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

เกลือแร่และวิตามินมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย

4.วิตามินดี (Vitamin D)

หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ผ่านแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า โดยมีหน้าที่หลักในการควบคุมกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยชะลอหรือป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูกได้ โดยในแต่ละวันร่างกายควรได้รับวิตามินดีไม่เกิน 50 ไมโครกรัม

5.วิตามินอี  (Vitamin E)

หนึ่งในสารอาหารที่ถูกนำไปใช้ทางด้านความงามเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้เป็นอย่างดี ส่งผลดีต่อผิวพรรณ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยได้ โดยแต่ละวันควรรับวิตามินอีไม่เกิน 1,000 ไมโครกรัม

6.แคลเซียม (Calcium)

สารอาหารจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการดูดซึมแคลเซียมในระบบลำไส้เป็นหลัก โดยแคลเซียมจะคอยทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกได้ เช่น โรคกระดูกพรุน และกระดูกบาง โดยร่างกายควรได้รับปริมาณแคลเซียมอยู่ที่ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

7.ธาตุเหล็ก (Iron)

สารอาหารสำคัญที่ช่วยลดความรู้สึกอ่อนล้า อ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง จึงมีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแรงให้เม็ดเลือดในร่างกาย สามารถยับยั้งภาวะโลหิตจางได้ โดยแต่ละวันร่างกายควรได้รับธาตุเหล็กอยู่ที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อวัน

8.โพแทสเซียม (Potassium)

มีบทบาทสำคัญต่อปริมาณออกซิเจนที่ถูกนำไปเลี้ยงในสมอง จึงมีผลต่อความสามารถในการจดจำและการเรียนรู้ ช่วยบรรเทาความเครียดหรือความวิตกกังวลให้ลดลงได้ ถือเป็นอีกหนึ่งสารอาหารไฮไลต์ที่ช่วยเติมความรู้สึกผ่อนคลายให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับปริมาณโพแทสเซียมอยู่ที่ 2,000-3,000 มิลลิกรัม

9.แมกนีเซียม (Magnesium)

องค์ประกอบสำคัญที่มีอยู่ในโครงสร้างกระดูกทั่วทั้งร่างกาย มีหน้าที่สำคัญต่อการรักษาสมดุลแคลเซียมในกระดูกและในเลือด ทั้งยังมีส่วนช่วยในการเผาผลาญ เปลี่ยนไขมันและคาร์โบไฮเดรตไปเป็นพลังงานจำเป็น หากร่างกายมีปริมาณแมกนีเซียมเพียงพอ จะเป็นผลดีต่อการลดความรู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลียที่เกิดจากภาวะเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน โดยร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมอยู่ที่ปริมาณ 300-800 มิลลิกรัมต่อวัน

10.ไอโอดีน (Iodine)

สารอาหารจำเป็นที่มีหน้าที่ควบคุมระบบประสาทและสมอง จึงเป็นสารอาหารแนะนำในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพื่อช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้และสมองในเด็ก ทั้งยังส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้ทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ไอโอดีนยังเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระบบเผาผลาญ จึงเปรียบเสมือนผู้ช่วยควบคุมน้ำหนักให้ร่างกายอีกทางหนึ่ง ควรรับปริมาณไอโอดีนให้ได้อย่างน้อยวันละ 150 ไมโครกรัมต่อวัน

เกลือแร่และวิตามินมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย

ดูแลสุขภาพให้ดีทุกวัน เสริมวิตามินและแร่ธาตุยังไงให้ได้คุณค่า ?

เพราะความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่มักได้รับวิตามินและแร่ธาตุไม่ครบทุกชนิด ยิ่งคนที่ใช้ชีวิตติดหวาน ติดอาหารรสจัด บวกกับกระบวนการทำอาหารระหว่างทางที่อาจทำให้สูญเสียสารอาหารบางอย่างไปได้ วิธีเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่มีประสิทธิภาพจึงมักมาจาก 3 แหล่งหลักๆ คือ

  • วิตามินจากผักและผลไม้ เช่น ผักโขม พริกหวาน มันฝรั่ง มะละกอ สตรอว์เบอร์รี ฝรั่ง ส้ม และถั่วต่างๆ 

  • การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริม ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีของผู้ที่มีเวลาดูแลตัวเองน้อย 

  • วิตามินจากธรรมชาติ โดยการออกไปรับวิตามินดีฟรีๆ ผ่านแสงแดด เป็นการเพิ่มระดับวิตามินดีให้ร่างกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ ทุกวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัยที่อาจไม่สามารถรับวิตามินจากอาหารได้มากเหมือนแต่ก่อน รวมถึงการเดินเหยียบหญ้าในตอนเช้าก็สามารถช่วยกระตุ้นความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมรับอากาศบริสุทธิ์ไปในตัว 

จะเห็นว่าการดูแลสุขภาพสามารถเริ่มต้นทำได้ทุกที่ หากแต่ต้องเริ่มจากความตระหนักตลอดจนให้ความสำคัญ เพื่อป้องกัน ลดความเสี่ยงของโรคและความเจ็บป่วยไว้ก่อน รวมถึงการทำแผนประกันโรคร้ายแรงอีกหนึ่งตัวช่วยที่คุ้มครองอย่างครอบคลุมที่คุณเลือกเองได้ พร้อมรับผลตอบแทนสูงสุดและคำปรึกษาเกี่ยวกับประกันโรคร้าย ประกันที่อยู่เคียงข้างคุณตั้งแต่เริ่มต้น ตอบโจทย์ความอุ่นใจในทุกความต้องการของคุณ

อ้างอิงข้อมูล :

https://www.pobpad.com

https://mw-wellness.com/health/6364

https://www.motherandcare.in.th