หลักธรรมอัตถะ 3 มีอะไรบ้าง

ทิฏฐธัมมิกัตถะ ก็คือ ประโยชน์ปัจจุบัน หรือประโยชน์อย่างที่เห็นๆ เพราะทิฏฐธัมมะแปลว่า เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ เรื่องที่มองเห็นได้ในแง่กาละ ก็คือปัจจุบัน หรือถ้าพูดในแง่ของเรื่องราวก็คือเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องการดำเนินชีวิต การเป็นอยู่ที่ปรากฏ เรื่องทางวัตถุที่เห็นกันได้ สภาพภายนอก เช่น การมีปัจจัย ๔ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย มีฐานะ มีลาภ มีเกียรติ มียศ มีสรรเสริญ เรื่องชีวิตคู่ครอง ความมีมิตรไมตรี อะไรต่างๆ ในชีวิตปัจจุบันนี้ ในชีวิตที่มองเห็นๆ กันอยู่ นี้เป็นประโยชน์ปัจจุบัน ซึ่งพระพุทธศาสนาก็สอน ว่าเป็นจุดหมายประการหนึ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรือการปฏิบัติตามธรรมในพระพุทธศาสนา

สัมปรายิกัตถะ ก็คือ ประโยชน์ที่เลยออกไปหรือต่อออกไป สัมปราย แปลว่า เลยออกไป ก็หมายถึงเบื้องหน้า เลยออกไปไกลๆ ก็คือ ภพหน้า ชาติหน้า จะไปเกิดที่ดีๆ ไม่ไปเกิดที่ชั่วๆ นี่เป็นประโยชน์หรือเป็นจุดหมายขั้นสัมปรายะ หรือถ้าไม่มองไกลมากอย่างนั้น ก็ได้แก่สิ่งที่เป็นหลักประกันชีวิตในเบื้องหน้าหมายถึงสิ่งที่ลึกเข้าไปทางจิตใจ คือ พ้นจากเรื่องทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การมีฐานะ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ชั้นภายนอกแล้วก็มาถึงเรื่องจิตใจ เรื่องคุณธรรมต่างๆ การที่จะมีจิตใจที่สุขสบาย ซึ่งท่านบอกว่าต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ มีศรัทธา มีความประพฤติซึ่งทำให้มั่นใจตนเอง มีศีล มีจาคะ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีสุตะ มีความรู้ได้เล่าเรียนศึกษาและมีปัญญา มีความเข้าใจรู้จักสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง อะไรพวกนี้ นี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจ ซึ่งเมื่อมีแล้วก็เป็นเครื่องรับประกันชีวิตในเบื้องหน้าได้ทีเดียวว่า คติชีวิตจะเป็นไปในทางที่ดี นี้ก็เป็นจุดหมายประการหนึ่งในทางพุทธศาสนา ยกตัวอย่างเรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล สมัยหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ทางเสวยมากจนกระทั่งอ้วนอึดอัด พระพุทธเจ้าก็ทรงตักเตือน พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงกับได้ทูลพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ทรงอนุเคราะห์ข้าพระองค์ ไม่เฉพาะเรื่องสัมปรายิกัตถะเท่านั้น ทรงอนุเคราะห์แม้แต่ในเรื่องทิฏฐธัมมิกัตถะด้วย

ส่วนปรมัตถะ ก็คือประโยชน์สูงสุด ถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือเรื่องนิพพาน หรือความมีใจเป็นอิสระ ความมีจิตหลุดพ้น มีจิตใจปลอดโปร่งผ่องใสเบิกบานอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะปราศจากกิเลส

จุดหมายนี้แบ่งเป็น ๓ อย่าง หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น ๓ ระดับ ซึ่งอยู่ในวงหรือขอบเขตของพระพุทธศาสนา เป็นลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ได้ระมัดระวังว่าเราจะสอนหรือแสดงหลักการของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องจำกัดเอาอย่างเดียว เมื่อใครพูดถึงเรื่องระดับอื่น ประโยชน์ระดับอื่นแล้ว ไม่ยอมรับเลย บอกว่าอันนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา มิใช่อย่างนั้น พระพุทธศาสนาครอบคลุมได้ทั้ง ๓ ระดับอย่างนี้ อนึ่ง ถ้าหากจะไม่แบ่งในแง่ระดับ จะแบ่งในแง่ประโยชน์ หรือจุดหมายที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นด้านๆ ท่านก็แบ่งไว้อีก บอกว่าประโยชน์มี ๓ อย่าง หรืออัตถะ ๓ อย่าง คือ

๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน

๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น

๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย หรือ ประโยชน์ร่วมกัน

คำสอนประเภทนี้ก็มีเน้นอยู่มากมายในพระไตรปิฎก เช่น เน้นเรื่องการไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็แน่ละ แถมไม่เบียดเบียนตนอีกด้วย พระพุทธศาสนาย้ำ ซึ่งอันนี้เป็นลักษณะที่แปลก บางทีเราไม่ได้สังเกต ท่านให้มองตัวเราไม่ใช่ในแง่ตัวตน แต่มองเป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกับชีวิตทั้งหลาย ชีวิตคนอื่นเราไม่เบียดเบียนฉันใด ตัวเราในฐานะที่เป็นชีวิตหนึ่งซึ่งใกล้ชิดที่สุด ต้องรับผิดชอบก่อน เราก็ไม่ควรเบียดเบียนเหมือนกัน แม้แต่การจำกัดความ ความเป็นพาลเป็นบัณฑิต อะไรนี้ ท่านก็ให้มองดูที่การเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ต่อจากนั้นก็ขยายออกไปในระดับปรัตถะอย่างกว้าง

February 7, 2014อัตถะ 3

อัตถะ  หมายถึง ประโยชน์ ผลที่ได้ มี 3 ประการ คือ

  1. ทิฏฐธัมมิกัตถะ  ประโยชน์ในภพนี้ได้เห็นในชาติปัจจุบัน เช่น สุขจากการมีทรัพย์ ใช้จ่ายทรัพย์ ไม่เป็นหนี้ ทำงานที่สุจริต
  2. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ในภพหน้าคือสุขขั้นเลยตาเห็น เป็นประโยชน์ที่สร้างคุณค่าในภพปัจจุบันยังเป็นหลักประกันถึงภพหน้าที่่จะได้จากมนุษยสมบัติหรือสวรรคสมบัติ
  3. ปรมัตถะ  เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง นั่นคือ นิพพาน เป็นสุขอย่างแท้จริงยั่งยืนหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล

Advertisement

Share this:

  • Twitter
  • Facebook

Like this:

Like Loading...

Related

Written by papatsro Posted in Dhamma Tagged with ธรรมวิภาคโท, นักธรรมโท

อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ การบำเพ็ญประโยชน์ ผลที่มุ่งหมาย หรือจุดหมาย แบ่งประเภทตามบุคคลที่จะได้รับประโยชน์ มี 3 ประเภท คือ

1. อัตตัตถะ

อัตตัตถะ ประโยชน์ตน คือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง การสร้างประโยชน์แก่ตนเอง หรือประโยชน์ที่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง คนอื่นสร้างให้ไม่ได้ เช่น การรักษาศีลให้บริบูรณ์เพื่อความบริสุทธิ์เฉพาะตน การเจริญภาวนาเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์ที่เราต้องสร้างด้วยตนเอง คนอื่นสร้างให้เราไม่ได้ และแม้แต่ตัวเราเองก็สร้างให้คนอื่นไม่ได้

2. ปรัตถะ

ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น คือประโยชน์ที่ทำเพื่อผู้อื่น การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เช่น การช่วยเหลือกิจการของผู้อื่นให้สำเร็จ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันสิ่งของแก่ผู้อื่นโดยมุ่งการสงเคราะห์ การแนะนำความรู้หรือถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแก่ผู้อื่น เป็นต้น

3. อุภยัตถะ

อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หมายเอาประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น มุ่งถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม บุคคลจะมุ่งแต่ประโยชน์ของตนเองอย่างเดียวไม่ได้ การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นหรือส่วนรวมก็เป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น การอยู่ร่วมกันในสังคม ควรช่วยเหลือแบ่งปันกัน อนุเคราะห์สงเคราะห์กัน คือสร้างประโยชน์ส่วนตัวด้วย สร้างประโยชน์ส่วนรวมด้วย จึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข

ประโยชน์3มีอะไรบ้าง

จากการศึกษาพบว่า ค าว่า ประโยชน์ (อัตถ) หมายถึง ผลที่มุ่งหมาย จุดหมาย ผลประโยชน์หรือความผาสุก เกิดจากสภาวะทางจิตใจที่เป็นอิสระจากกิเลส ประโยชน์มี อย่าง คือ ๑) ทิฏฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ปัจจุบัน ๒) สัมปรายิกัตถะ คือ ประโยชน์เบื้องหน้า ) ปรมัตถะ คือ ประโยชน์สูงสุด ได้แก่ พระนิพพาน ประโยชน์ ๓ มีความส าคัญต่อชีวิตเพราะ ...

อัตถะ หมายถึงข้อใด

อัตถ-, อัตถ์, อัตถะ น. เนื้อความ, ประโยชน์, ความต้องการ.

มีหลักธรรมอะไรบ้าง

หลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา ศาสนาพุทธมีหลักธรรมคำสอนที่พุทธศาสนิกชนยึดถือ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต หลาย ประการ ได้แก่ อริยสัจ 4 ทิศ 6 ธรรมคุณ 6 สัปปุริสธรรม 7 อิทธิบาท 4 อบายมุข 6 เป็นต้น อริยสัจ 4.

ทิฏฐธัมมิกัตถะ มีอะไรบ้าง

หลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักธรรมที่เป็นไป เพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน 4 ประการ ได้แก่ 1) อุฐานสัมปทา การมีความขยันหมั่นเพียร 2) อารักขสัมปทา การรักษาโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรโดยชอบธรรม 3) กัลยาณมิตตา การคบกัลยาณมิตร และ 4) สมชีวิตา การเป็นอยู่อย่างพอเพียงตามกำลัง แห่งทรัพย์ ...