สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อมีการทําสนธิสัญญาเบอร์นี ระหว่างไทย-อังกฤษ ในปี 2369 ด้วยสนธิสัญญาดังกล่าว ทําให้รัฐไทยสูญเสียรายได้จากการผูกขาดและยกเลิกระบบการค้าโดยพระคลังสินค้า รัฐไทยในเวลานั้นก็คือ การนำวิธีการเก็บภาษีอากรโดยให้เอกชนเป็นผู้ประมูล การดําเนินการผูกขาด ที่มีมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา ที่เรียกว่า “ระบบเจ้าภาษีนายอากร” มาใช้ Show โดยรัฐกำหนดให้เจ้าภาษีนายอากรมีหน้าที่ รวบรวมภาษีมาส่งมอบให้รัฐ แต่ไม่นับเป็นข้าราชการของรัฐโดยตรง อย่างไรก็ตามบุคคลเหล่านี้จะมีอํานาจทางการเมืองและอภิสิทธิ์เหนือราษฎรทั่วไป มีอํานาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับภาษีอากรด้วย ยิ่งเป็นเจ้าภาษีนายอากรในหัวเมืองแล้ว อํานาจและอิทธิพลเหมือนเจ้าเมืองย่อยๆ ทีเดียว ระบบเจ้าภาษีนายอากรยังอาศัยโครงสร้างในระบบศักดินาเดิมในการแสวงหาผลประโยชน์ ระบบนี้สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนําของไทย ด้วยปรากฏว่า เบื้องหลังของเจ้าภาษีนายอากรก็คือ ขุนนางราชสำนัก หรือเจ้านายบางพระองค์ ที่จะให้การคุ้มครองเพื่อให้พ้นจากการลงโทษทางกฎหมาย หากเจ้าภาษีนายอากรที่อยู่ในการคุ้มครองของตนกระทําผิดหรือเก็บภาษีเกินขอบเขต เมื่อเจ้าภาษีนายอากรมีชนชั้นนำเป็นผู้อุปถัมภ์ ก็เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ต้นรัชกาลที่ 5 ต้องประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังตามที่บัญชีระบุมีจํานวนเงิน 40,000 ชั่ง แต่ตัวเงินจริงกลับมีอยู่เพียง 20,000 ชั่ง หรือใน พ.ศ. 2414 เมื่อต้องพระราชทานเบี้ยหวัดพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ เป็นจํานวนเงิน 11,000 ชั่ง เจ้าหน้าที่พระคลังมหาสมบัติผู้รับผิดชอบด้านการเงินต้องวิ่งหาเงินจํานวนนี้ถวาย รัชกาลที่ 5 เองได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “เงินไม่พอจ่ายราชการ ต้องเป็นหนี้ตั้งแต่งานพระบรมศพตลอดมาจนถึงปีมะแม เป็นเงิน 100,000 ชั่ง” ปัญหาดังกล่าว มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ผู้ควบคุมตําแหน่งพระคลัง (ระหว่าง พ.ศ. 2411- 2416) เมื่อเจ้าภาษีนําเงินค่าภาษีมาส่งให้ เจ้าพระยาภาณวงศ์ฯ จะเก็บไว้เองและนำมาใช้จ่ายทั้งในกิจการราชการแผ่นดิน เช่น ค่าจ้างชาวจีนเลื่อยไม้ทําพระเมรุ, ซื้อไม้ทําประภาคารที่สมุทรปราการ ฯลฯ ใช้ในกิจการส่วนตัว เช่น สร้างบ้านให้ บุตรชาย, แจกเงินภรรยาน้อย บุตร และคนใช้ รวมถึงนำเงินดังกล่าวไปหาประโยชน์ด้วยการปล่อยกู้คิดดอกเบี้ย ฯลฯ ในปี พ.ศ. 2416 ทันที หลังจากรัชกาลที่ 5 ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้นเป็นกษัตริย์ทีมีอำนาจการบริหารเต็มที่ จึงดำเนินการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างรัฐและอำนาจให้แข็งแกร่ง รวมถึงการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอากร โดยทรงเริ่มขบวนการปฏิรูปโดยการจัดตั้ง “หอรัษฎากรพิพัฒน์” ให้มีน้าที่รวบรวมรายได้ของแผ่นดิน ควบคุมการประมูลและการชำระเงินภาษีของเจ้าภาษีนายอากร เจ้าภาษีนายอากรต้องชำระเงินโดยตรงกับหอรัษฏากรพิพัฒน์ไม่ต้องผ่านขุนนางเหมือนเดิม ข้อมูลจาก พรรณี บัวเล็ก. สยามในกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5, สำนักพพิม์เมืองโบราณ พ.ศ. 2541 ��ҹ���ɰ�Ԩ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นต้นมา เงินผลประโยชน์รายได้ของแผ่นดินลดลงไปมาก ในขณะที่การใช้จ่ายในกรมพระคลังมหาสมบัติเพิ่มรายการขึ้นทุกปี จนในที่สุดรายได้ไม่พอจ่ายต้องค้างชำระ รัฐบาลต้องเป็นหนี้สินอยู่เป็นอันมาก ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงมีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ ๒๘ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๒ ความตอนหนึ่งว่า "…ในเวลาครึ่งปีต่อมา เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงไปเป็นลำดับ จนถึงปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เงินแผ่นดินที่เคยได้อยู่ปีละ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ชั่ง แต่ไม่ได้ตัวเงินกี่มากน้อย แต่เงินเบี้ยหวัดปีละ ๑๑,๐๐๐ ชั่ง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่วิ่งมาหาเป็นพื้น นอกนั้นก็ปล่อยค้าง ที่ได้เงินตัวจริงมีประมาณ ๒๐,๐๐๐ ชั่งเท่านั้น ... เงินไม่พอจ่ายราชการต้องเป็นหนี้ตั้งแต่งานพระบรมศพมาจนปีมะแมนี้ (พ.ศ.๒๔๑๔) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ชั่ง เพราะเหตุเช่นนี้ หม่อมฉันจึงนิ่งอยู่ไม่ได้ จับจัดการคลังมหาสมบัติ... พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชคลังหลายประการ ดังนี้ ๒. ระบบเจ้าภาษีนายอากรไม่มีประสิทธิภาพ ตามที่รัฐบาลได้ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดการเก็บภาษีอากรชนิดต่างๆ และนำเงินส่งรัฐเพื่อเป็นรายได้นำมาทะนุบำรุงประเทศนั้น ปรากฏว่าในระยะแรกเจ้าภาษีนายอากรก็นำเงินส่งราชการเต็มตามจำนวนและตรงเวลา แต่เมื่อเร้นราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน เกิดระบบการยักยอก ฉ้อโกงเงินหลวงของเจ้าหน้าที่และเจ้าภาษีนายอากร นานวันไปเจ้าภาษีนายอากรมักบิดพลิ้วผัดผ่อน ไม่ส่งเงินตามกำหนดและส่งให้ไม่ครบตามจำนวน อีกทั้งยังทำการรีดนาทาจำนวนเงินที่รัฐควรจะได้ก็ไม่ครบตามจำนวนที่พึงได้ เป็นผลกระทบต่อเงินรายจ่ายของแผ่นดิน จนเกือบจะไม่พอใช้ในกิจการต่างๆ ๓. การจัดทำบัญชีของกรมพระคลังมหาสมบัติไม่เรียบร้อย นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การทำบัญชีรับและจ่ายเงินของกรมพระคลังมหาสมบัติ มิได้มีปรากฏไว้เป็นแบบอย่างและเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบได้ จึงไม่ทราบแน่นอนว่าในแต่ละปี รัฐได้รับเงินเท่าไร และจ่ายราชการไปเท่าไร มีกำไรหรือขาดทุน เมื่อพระคลังมหาสมบัติแต่ละคนดับสูญไป บัญชีนั้นก็สูญหายไปหมด ไม่มีการจัดแจงเรียบเรียงบัญชีไว้สำหรับแผ่นดิน เมื่อสิ้นปีก็มิได้งบบัญชีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทราบเป็นบัญชีข้างที่ไว้สำหรับทรงตรวจดูตัวเงินแผ่นดินว่ามีเงินมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้แม้ในคลังหลวงจะมีการเก็บรักษาเงินทุนสำรองเผื่อไว้ในยามฉุกเฉิน แต่เพราะขาดการบันทึกบัญชีที่เป็นระบบ จึงไม่มีหลักฐานปรากฏไว้ ก่อตั้ง..หอรัษฎากรพิพัฒน์เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นว่าราชการแผ่นดินโดยเด็ดขาด พระองค์ก็มิได้คิดนำเงินถุงแดงออกมาใช้แก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ทรงใช้วิธีปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรและการคลังภายในประเทศแทน โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ในพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดินและตรวจตราการเก็บภาษีอากรซึ่งกระทรวงต่างๆ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บนั้นเพื่อให้รู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินของแผ่นดินในด้านภาษีอากรให้ส่งเข้าพระคลังมหาสมบัติตามกำหนด พร้อมกันนั้นได้ทรงตรา พระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช ๑๒๓๕ ขึ้น จากการตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานอำนาจแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงจัดให้มีเจ้าพนักงานบัญชีกลางรวบรวมพระราชทรัพย์ซึ่งขึ้นในท้องพระคลังทั้งปวง ตั้งสำนักงานอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ให้มีแบบธรรมเนียมที่เจ้าภาษีนายอากรต้องปฏิบัติในการรับประมูลผูกขาดจัดเก็บภาษีอากร ให้มีเจ้าจำนวนภาษีของพระคลังทั้งปวงมาทำงานในสำนักงานเป็นประจำ เพื่อตรวจตราเงินภาษีอากรที่เจ้าภาษีนายอากรนำส่งต่อพระคลังแต่ละแห่ง โดยครบถ้วนตามงวดที่กำหนดให้ การกำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานหอรัษฎากรพิพัฒน์ และระเบียบข้อบังคับให้เจ้าภาษีนายอากรปฏิบัติโดยเคร่งครัด เป็นการตัดผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานทั้งปวง จึงกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางรากฐานระเบียบการปฏิบัติการภาษีอากรและการเงินของประเทศไว้เป็นครั้งแรก ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า การภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์ก้อนใหญ่สำหรับใช้จ่ายในราชการทะนุบำรุงบ้านเมือง และใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น พระคลังมหาสมบัติยังจัดไม่รัดกุมเป็นระเบียบเรียบร้อย เงินผลประโยชน์ของรัฐบาลยังกระจัดกระจายตกค้างอยู่กับเจ้าภาษีนายอากรเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เงินยังไม่พอใช้จ่ายในราชการและการทะนุบำรุงบ้านเมืองให้สมดุลย์ จึงทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือ Councillors of State พร้อมด้วยคณะเสนาบดี ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช ๑๒๓๗ ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๘ ว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินของทางราชการ ถือได้ว่าเป็นกฎหมายงบประมาณฉบับแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้น กำหนดการปกครองส่วนกลางเป็นกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการปกครองของไทยให้ทันสมัย กรมพระคลังมหาสมบัติจึงได้รับการยกฐานะเป็น “กระทรวง” เพราะใช้คำภาษาอังกฤษเพื่อเรียกอธิบดีว่า มินิสเตอร์ ออฟ ฟิแนนซ์ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น กำหนดให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติมีหน้าที่สำหรับ รับ จ่าย และรักษาเงินแผ่นดินทั้งสรรพราชสมบัติพัสดุทั้งปวง กับถือบัญชีพระราชทรัพย์สำหรับ แผ่นดินทั้งสิ้น และเก็บภาษีอากรเงินขึ้นแผ่นดินตลอดทั่วพระราชอาณาจักร มีเสนาบดีรับผิดชอบบังคับราชการในกระทรวงสิทธิ์ขาด ประกอบด้วยกรมเจ้ากระทรวงและกรมขึ้น รวมเป็นกรมใหญ่ ๑๓ กรม นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้แยกการเงินส่วนแผ่นดินและเงินส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด โดยให้กรมพระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลในส่วนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง โดยแบ่งหน่วยราชการส่วนกลางเป็น ๑๒ กระทรวง จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายในการปฏิบัติราชการ ทรงประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่าง ๆ ขึ้นให้มีศักดิ์เสมอกัน ยุบเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์ ในส่วนของการค้านั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งไทยได้เปิดทำการค้าเสรีกับนานาประเทศเป็นต้นมา การค้าขายทั้งภายในและภายนอกประเทศขยายตัวขึ้นมาก มีเรือต่างประเทศไปมาค้าขายและนำสินค้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกันเพิ่มมากขึ้น เรือสินค้าของไทยเองก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันชาวต่างประเทศก็เข้ามาตั้งบริษัท ห้างร้าน ประกอบการค้าขาย และการอุตสาหกรรมทวีจำนวนขึ้น การค้าที่ขยายตัวขึ้นมากเห็นได้จากมูลค่ารวมของสินค้าเข้าและออก เช่น ใน พ.ศ. ๒๓๙๓ ก่อนการทำสนธิสัญญาบาวริง สินค้าเข้ามีมูลค่าประมาณ ๔.๓ ล้านบาท สินค้าออก ๕.๕๙ ล้านบาท ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ มูลค่าสินค้าเข้าและสินค้าออกเพิ่มเป็น ๑๘.๑๒ ล้านบาทและ ๒๗.๒๕ ล้านบาทตามลำดับ และตลอดเวลานั้นไทยเกินดุลการค้ามาโดยตลอด ทั้งนี้ไทยได้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกประมาณร้อยละ ๕ ของผลผลิตทั้งหมดของประเทศในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๕๐ ของผลผลิตทั้งหมดในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ จึงอนทำสนธิสัญญาบาวริง เห็นได้ว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ สำคัญที่เกิดจากการเปิดประเทศเพื่อค้าขายกับชาติตะวันตกก็คือ ระบบเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตัวเองมาเป็นเศรษฐกิจที่ผลิตเพื่อตลาดหรือเป็นเศรษฐกิจแบบเงินตรามากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การขยายตลาดและการสะสมทุนในเวลาต่อมา รัษฎากรพิพัฒน์มีความสําคัญอย่างไรในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชปรารภว่า เงินภาษีอากรอันเป็นผลประโยชน์ของแผ่นดิน จัดเก็บกันไม่เป็นระเบียบกระจัดกระจายรั่วไหลไปมากมาย ในปี พ.ศ. 2416 จึงได้ตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235 และได้โปรดเกล้าตั้งสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อเป็นสำนักงานกลางสำหรับเก็บเงินผลประโยชน์รายได้ภาษีอากรของแผ่นดิน ...
การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ใน วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2416 เพื่อจัดวางหลักเกณฑ์ระบบการจัดเก็บภาษีอากร ให้เป็นระเบียบมีแบบแผน ควบคุมเจ้าภาษีอากร ให้จัดส่งเงินรายได้แผ่นดินให้ ตรงตามกำหนดเวลา ถ้าผู้ใดละเมิดระเบียบแบบแผนการจัดส่งเงินภาษีอากรจะ ถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด โดยทรงแต่งตั้งให้ ...
หอรัษฎากรพิพัฒน์ปัจจุบันมีชื่อว่าอะไรในพุทธศักราช ๒๕๔๖ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้อาคารหอรัษฎากรพิพัฒน์ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ
กรมพระคลังสินค้าตั้งขึ้นในสมัยใดอยุธยา คือระบบผูกขาดทางการค้า โดยระบบพระคลัง สินค้า พระคลังสินค้าเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เริ่มแรก เป็นที่เก็บของส่วยและอากรตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อมีมากเกินความต้องการรัฐบาลก็ส่งไปขายต่างประ เทศหาเงินเข้ารัฐ แต่ในสมัยแรก ๆ นั้นยังไม่ปรากฏ หลักฐานที่เด่นชัด ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
|