หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อมีการทําสนธิสัญญาเบอร์นี ระหว่างไทย-อังกฤษ ในปี 2369 ด้วยสนธิสัญญาดังกล่าว ทําให้รัฐไทยสูญเสียรายได้จากการผูกขาดและยกเลิกระบบการค้าโดยพระคลังสินค้า รัฐไทยในเวลานั้นก็คือ การนำวิธีการเก็บภาษีอากรโดยให้เอกชนเป็นผู้ประมูล การดําเนินการผูกขาด ที่มีมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา ที่เรียกว่า “ระบบเจ้าภาษีนายอากร” มาใช้ 

โดยรัฐกำหนดให้เจ้าภาษีนายอากรมีหน้าที่ รวบรวมภาษีมาส่งมอบให้รัฐ แต่ไม่นับเป็นข้าราชการของรัฐโดยตรง อย่างไรก็ตามบุคคลเหล่านี้จะมีอํานาจทางการเมืองและอภิสิทธิ์เหนือราษฎรทั่วไป มีอํานาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับภาษีอากรด้วย ยิ่งเป็นเจ้าภาษีนายอากรในหัวเมืองแล้ว อํานาจและอิทธิพลเหมือนเจ้าเมืองย่อยๆ ทีเดียว

ระบบเจ้าภาษีนายอากรยังอาศัยโครงสร้างในระบบศักดินาเดิมในการแสวงหาผลประโยชน์ ระบบนี้สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนําของไทย ด้วยปรากฏว่า เบื้องหลังของเจ้าภาษีนายอากรก็คือ ขุนนางราชสำนัก หรือเจ้านายบางพระองค์ ที่จะให้การคุ้มครองเพื่อให้พ้นจากการลงโทษทางกฎหมาย หากเจ้าภาษีนายอากรที่อยู่ในการคุ้มครองของตนกระทําผิดหรือเก็บภาษีเกินขอบเขต

เมื่อเจ้าภาษีนายอากรมีชนชั้นนำเป็นผู้อุปถัมภ์ ก็เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา

ต้นรัชกาลที่ 5 ต้องประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังตามที่บัญชีระบุมีจํานวนเงิน 40,000 ชั่ง แต่ตัวเงินจริงกลับมีอยู่เพียง 20,000 ชั่ง หรือใน พ.ศ. 2414 เมื่อต้องพระราชทานเบี้ยหวัดพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ เป็นจํานวนเงิน 11,000 ชั่ง เจ้าหน้าที่พระคลังมหาสมบัติผู้รับผิดชอบด้านการเงินต้องวิ่งหาเงินจํานวนนี้ถวาย รัชกาลที่ 5 เองได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “เงินไม่พอจ่ายราชการ ต้องเป็นหนี้ตั้งแต่งานพระบรมศพตลอดมาจนถึงปีมะแม เป็นเงิน 100,000 ชั่ง”  

ปัญหาดังกล่าว มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ผู้ควบคุมตําแหน่งพระคลัง (ระหว่าง พ.ศ. 2411- 2416) เมื่อเจ้าภาษีนําเงินค่าภาษีมาส่งให้ เจ้าพระยาภาณวงศ์ฯ จะเก็บไว้เองและนำมาใช้จ่ายทั้งในกิจการราชการแผ่นดิน เช่น  ค่าจ้างชาวจีนเลื่อยไม้ทําพระเมรุ, ซื้อไม้ทําประภาคารที่สมุทรปราการ ฯลฯ ใช้ในกิจการส่วนตัว  เช่น สร้างบ้านให้ บุตรชาย, แจกเงินภรรยาน้อย บุตร และคนใช้  รวมถึงนำเงินดังกล่าวไปหาประโยชน์ด้วยการปล่อยกู้คิดดอกเบี้ย ฯลฯ

ในปี พ.ศ. 2416 ทันที หลังจากรัชกาลที่ 5 ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้นเป็นกษัตริย์ทีมีอำนาจการบริหารเต็มที่ จึงดำเนินการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างรัฐและอำนาจให้แข็งแกร่ง รวมถึงการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีอากร โดยทรงเริ่มขบวนการปฏิรูปโดยการจัดตั้ง “หอรัษฎากรพิพัฒน์” ให้มีน้าที่รวบรวมรายได้ของแผ่นดิน ควบคุมการประมูลและการชำระเงินภาษีของเจ้าภาษีนายอากร เจ้าภาษีนายอากรต้องชำระเงินโดยตรงกับหอรัษฏากรพิพัฒน์ไม่ต้องผ่านขุนนางเหมือนเดิม


ข้อมูลจาก

พรรณี บัวเล็ก. สยามในกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5, สำนักพพิม์เมืองโบราณ พ.ศ. 2541

��ҹ���ɰ�Ԩ
1. ��û�Ѻ��ا�к���ä�ѧ �¡��ä�ѧ�͡�ҡ������ ����������˹�ҷ��ҧ��ҹ��õ�ҧ�����
��§���ҧ���� �ç��� ����ɮҡþԾѲ�� �������� �.�. 2416 ��鹵ç��;����ҡ�ѵ����������
�ӹѡ�ҹ��ҧ�纼Ż���ª�� ����������ҡâͧ�蹴Թ����������������� �������¡�ҹ�
����ɮҡþԾѲ�� ����� ��з�ǧ��Ф�ѧ������ѵ� ����� �.�. 2435
2. ��ҡ����¡Ǵ�ѹ�����ҡ� �ô � ����Ҿ���Ҫ�ѭ�ѵ�����Ѻ ����ɮҡþԾѲ�� �������� 4 �Զع�¹
2416 ���ҧ��ѡࡳ�������¡�������ҡ����ѹ���µ��Ẻ�ҡ�
3. ��û�Ѻ��ا�к������ҡ�Ẻ���� �.�. 2435 �ç��駢����ǧ��ѧ任�Шӷء���� ���ͷ�˹�ҷ���������ҡèҡ��ɮ��µç �����Ǻ�������ѧ��з�ǧ��Ф�ѧ������ѵ�
4. ¡��ԡ�к�������չ���ҡ� ����¹�������Ժ���������ͧ����͹�ѹ����ء����
5. �Ѵ�ӧ�����ҳ�蹴Թ ����繤����á ����� �.�. 2439 ���¡����Ҫ��Ѿ��ͧ���ͧ���͡�ҡ�����ͧ�蹴Թ ��� ��Ф�ѧ��ҧ��� �������Ѻ�Ѵ��÷�Ѿ���Թ��ǹ�����ҡ�ѵ���� ����Ѻ����������ҡâͧ�蹴Թ ����Ф�ѧ������ѵ��繼��Ǻ�������
6. �Ѵ�к��Թ������� ��¡��ԡ�к��Թ����ǧ ˹����Թ ���ͧ �ա ������ �Ѱ ���� ���֧ ��� �����ҧ˹����Թ������� ����� ����­�ҷ ����­��֧ ����­ʵҧ�� ��˹���� 100 ʵҧ�� ��ҡѺ 1 �ҷ �������駼�Ե����­ʵҧ��Ӵ��·ͧ�Ӣ���� 4 �Ҥ� ���� 20 ʵҧ�� 10 ʵҧ�� 5 ʵҧ����� 2 ʵҧ�����
7. ��Ҿ���Ҫ�ѭ�ѵԸ��ѵ� �.�. 121 �Ѵ����츹�ѵ�����á ���Ҥ� 5 �ҷ 10 �ҷ 20 �ҷ 100 �ҷ��� 1000 �ҷ �����������Դ 1 �ҷ
8. ����¹�ҵ�Ұҹ�Թ�����ҵ�Ұҹ�ͧ�� �.�. 127 ����� 11 ��Ȩԡ�¹ 2451 �����ѡ���ѵ���š����¹�Թ���������ʹ���ͧ�Ѻ��ѡ�ҡŷ����
9. ���Դ��Ҥ������á ������¡��� �ؤ������ Book Clup ���Ǣ;���Ҫ�ҹ��к���Ҫҹحҵ������¹�繺���ѷ���١��ͧ��������� �ժ������ ����ѷ ầ����������Ҩ� �ع�ӡѴ �����������¹������ ��Ҥ���¾ҳԪ�� �ӡѴ ����� �.�. 2482

หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

             นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นต้นมา เงินผลประโยชน์รายได้ของแผ่นดินลดลงไปมาก ในขณะที่การใช้จ่ายในกรมพระคลังมหาสมบัติเพิ่มรายการขึ้นทุกปี จนในที่สุดรายได้ไม่พอจ่ายต้องค้างชำระ รัฐบาลต้องเป็นหนี้สินอยู่เป็นอันมาก ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงมีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ฉบับลงวันที่ ๒๘ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๒ ความตอนหนึ่งว่า

หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

               "…ในเวลาครึ่งปีต่อมา เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงไปเป็นลำดับ จนถึงปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เงินแผ่นดินที่เคยได้อยู่ปีละ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ชั่ง แต่ไม่ได้ตัวเงินกี่มากน้อย แต่เงินเบี้ยหวัดปีละ ๑๑,๐๐๐ ชั่ง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่วิ่งมาหาเป็นพื้น นอกนั้นก็ปล่อยค้าง ที่ได้เงินตัวจริงมีประมาณ ๒๐,๐๐๐ ชั่งเท่านั้น ...  เงินไม่พอจ่ายราชการต้องเป็นหนี้ตั้งแต่งานพระบรมศพมาจนปีมะแมนี้ (พ.ศ.๒๔๑๔) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ชั่ง เพราะเหตุเช่นนี้ หม่อมฉันจึงนิ่งอยู่ไม่ได้ จับจัดการคลังมหาสมบัติ...

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชคลังหลายประการ ดังนี้
            ๑. การจัดเก็บภาษีอากรไม่มีการจัดระบบให้ถูกต้อง การเงินของประเทศได้ถูกแบ่งไปอยู่ที่เจ้านายและขุนนางผู้มีอำนาจ โดยอำนาจการจัดเก็บภาษีอากรกระจายไปอยู่ตามกรมต่างๆ เช่น กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระกลาโหม กรมมหาดไทย กรมนา และกรมพระคลังสินค้า เป็นต้น แล้วแต่เจ้ากรมผู้บังคับบัญชากรมนั้นๆ จะจัดเก็บตามประสงค์ ไม่เป็นระเบียบแบบแผนอันเดียวกันที่จะพึงปฏิบัติเยี่ยงอารยประเทศ นอกจากนี้ภาษีอากรที่กรมต่างๆ จัดเก็บได้ ซึ่งจะต้องมอบเงินส่วนหนึ่งให้กรมพระคลังมหาสมบัติ ก็ปรากฏว่าให้บ้างไม่ให้บ้าง กรมพระคลังมหาสมบัติเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานรับเงินหลวง ไม่มีอำนาจบังคับหรือเรียกร้องให้กรมต่างๆ ปฏิบัติตามแต่อย่างใดเพราะไม่มีระเบียบบัญญัติกฎหมายวางไว้ให้ทำเช่นนั้นได้ ทำให้เงินผลประโยชน์ของแผ่นดินรั่วไหลไปทางอื่นเสียเป็นอันมาก

หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

          ๒. ระบบเจ้าภาษีนายอากรไม่มีประสิทธิภาพ ตามที่รัฐบาลได้ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดการเก็บภาษีอากรชนิดต่างๆ และนำเงินส่งรัฐเพื่อเป็นรายได้นำมาทะนุบำรุงประเทศนั้น ปรากฏว่าในระยะแรกเจ้าภาษีนายอากรก็นำเงินส่งราชการเต็มตามจำนวนและตรงเวลา แต่เมื่อเร้นราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน เกิดระบบการยักยอก ฉ้อโกงเงินหลวงของเจ้าหน้าที่และเจ้าภาษีนายอากร นานวันไปเจ้าภาษีนายอากรมักบิดพลิ้วผัดผ่อน ไม่ส่งเงินตามกำหนดและส่งให้ไม่ครบตามจำนวน อีกทั้งยังทำการรีดนาทาจำนวนเงินที่รัฐควรจะได้ก็ไม่ครบตามจำนวนที่พึงได้ เป็นผลกระทบต่อเงินรายจ่ายของแผ่นดิน จนเกือบจะไม่พอใช้ในกิจการต่างๆ

    ๓. การจัดทำบัญชีของกรมพระคลังมหาสมบัติไม่เรียบร้อย นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การทำบัญชีรับและจ่ายเงินของกรมพระคลังมหาสมบัติ มิได้มีปรากฏไว้เป็นแบบอย่างและเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบได้ จึงไม่ทราบแน่นอนว่าในแต่ละปี รัฐได้รับเงินเท่าไร และจ่ายราชการไปเท่าไร มีกำไรหรือขาดทุน เมื่อพระคลังมหาสมบัติแต่ละคนดับสูญไป บัญชีนั้นก็สูญหายไปหมด ไม่มีการจัดแจงเรียบเรียงบัญชีไว้สำหรับแผ่นดิน เมื่อสิ้นปีก็มิได้งบบัญชีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทราบเป็นบัญชีข้างที่ไว้สำหรับทรงตรวจดูตัวเงินแผ่นดินว่ามีเงินมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้แม้ในคลังหลวงจะมีการเก็บรักษาเงินทุนสำรองเผื่อไว้ในยามฉุกเฉิน แต่เพราะขาดการบันทึกบัญชีที่เป็นระบบ จึงไม่มีหลักฐานปรากฏไว้

ก่อตั้ง..หอรัษฎากรพิพัฒน์
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

         เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นว่าราชการแผ่นดินโดยเด็ดขาด  พระองค์ก็มิได้คิดนำเงินถุงแดงออกมาใช้แก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ทรงใช้วิธีปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรและการคลังภายในประเทศแทน โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ในพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดินและตรวจตราการเก็บภาษีอากรซึ่งกระทรวงต่างๆ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บนั้นเพื่อให้รู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินของแผ่นดินในด้านภาษีอากรให้ส่งเข้าพระคลังมหาสมบัติตามกำหนด พร้อมกันนั้นได้ทรงตรา พระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช ๑๒๓๕  ขึ้น
           จากการตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานอำนาจแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงจัดให้มีเจ้าพนักงานบัญชีกลางรวบรวมพระราชทรัพย์ซึ่งขึ้นในท้องพระคลังทั้งปวง ตั้งสำนักงานอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ให้มีแบบธรรมเนียมที่เจ้าภาษีนายอากรต้องปฏิบัติในการรับประมูลผูกขาดจัดเก็บภาษีอากร ให้มีเจ้าจำนวนภาษีของพระคลังทั้งปวงมาทำงานในสำนักงานเป็นประจำ เพื่อตรวจตราเงินภาษีอากรที่เจ้าภาษีนายอากรนำส่งต่อพระคลังแต่ละแห่ง โดยครบถ้วนตามงวดที่กำหนดให้
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

        การกำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานหอรัษฎากรพิพัฒน์ และระเบียบข้อบังคับให้เจ้าภาษีนายอากรปฏิบัติโดยเคร่งครัด เป็นการตัดผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานทั้งปวง จึงกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางรากฐานระเบียบการปฏิบัติการภาษีอากรและการเงินของประเทศไว้เป็นครั้งแรก ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
              ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า การภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์ก้อนใหญ่สำหรับใช้จ่ายในราชการทะนุบำรุงบ้านเมือง และใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น พระคลังมหาสมบัติยังจัดไม่รัดกุมเป็นระเบียบเรียบร้อย เงินผลประโยชน์ของรัฐบาลยังกระจัดกระจายตกค้างอยู่กับเจ้าภาษีนายอากรเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เงินยังไม่พอใช้จ่ายในราชการและการทะนุบำรุงบ้านเมืองให้สมดุลย์ จึงทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือ Councillors of State พร้อมด้วยคณะเสนาบดี ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช ๑๒๓๗ ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๘ ว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินของทางราชการ ถือได้ว่าเป็นกฎหมายงบประมาณฉบับแรก
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น
ของเมืองไทย ดังปรากฏอยู่ในมาตราที่ ๑ และมาตราที่ ๒ ของพระราชบัญญัติ 
           ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้น กำหนดการปกครองส่วนกลางเป็นกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการปกครองของไทยให้ทันสมัย กรมพระคลังมหาสมบัติจึงได้รับการยกฐานะเป็น “กระทรวง” เพราะใช้คำภาษาอังกฤษเพื่อเรียกอธิบดีว่า มินิสเตอร์ ออฟ ฟิแนนซ์
               เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น กำหนดให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติมีหน้าที่สำหรับ รับ จ่าย และรักษาเงินแผ่นดินทั้งสรรพราชสมบัติพัสดุทั้งปวง กับถือบัญชีพระราชทรัพย์สำหรับ
แผ่นดินทั้งสิ้น และเก็บภาษีอากรเงินขึ้นแผ่นดินตลอดทั่วพระราชอาณาจักร มีเสนาบดีรับผิดชอบบังคับราชการในกระทรวงสิทธิ์ขาด ประกอบด้วยกรมเจ้ากระทรวงและกรมขึ้น รวมเป็นกรมใหญ่ ๑๓ กรม นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้แยกการเงินส่วนแผ่นดินและเงินส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด โดยให้กรมพระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลในส่วนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

      ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง โดยแบ่งหน่วยราชการส่วนกลางเป็น ๑๒ กระทรวง จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายในการปฏิบัติราชการ  ทรงประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่าง ๆ ขึ้นให้มีศักดิ์เสมอกัน  ยุบเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์
             ในส่วนของการค้านั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ ซึ่งไทยได้เปิดทำการค้าเสรีกับนานาประเทศเป็นต้นมา การค้าขายทั้งภายในและภายนอกประเทศขยายตัวขึ้นมาก มีเรือต่างประเทศไปมาค้าขายและนำสินค้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกันเพิ่มมากขึ้น เรือสินค้าของไทยเองก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันชาวต่างประเทศก็เข้ามาตั้งบริษัท ห้างร้าน ประกอบการค้าขาย และการอุตสาหกรรมทวีจำนวนขึ้น
            การค้าที่ขยายตัวขึ้นมากเห็นได้จากมูลค่ารวมของสินค้าเข้าและออก เช่น ใน พ.ศ. ๒๓๙๓ ก่อนการทำสนธิสัญญาบาวริง สินค้าเข้ามีมูลค่าประมาณ ๔.๓ ล้านบาท สินค้าออก ๕.๕๙ ล้านบาท ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ มูลค่าสินค้าเข้าและสินค้าออกเพิ่มเป็น ๑๘.๑๒ ล้านบาทและ ๒๗.๒๕ ล้านบาทตามลำดับ และตลอดเวลานั้นไทยเกินดุลการค้ามาโดยตลอด ทั้งนี้ไทยได้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกประมาณร้อยละ ๕ ของผลผลิตทั้งหมดของประเทศในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๕๐ ของผลผลิตทั้งหมดในปี พ.ศ. ๒๔๔๓
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น
โดยมีเนื้อที่ปลูกข้าวเพิ่มจาก ๕.๘ ล้านไร่ก่เป็น ๙.๑ ล้านไร่
ใน พ.ศ. ๒๔๔๓  จึงอนทำสนธิสัญญาบาวริง เห็นได้ว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่
สำคัญที่เกิดจากการเปิดประเทศเพื่อค้าขายกับชาติตะวันตกก็คือ ระบบเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตัวเองมาเป็นเศรษฐกิจที่ผลิตเพื่อตลาดหรือเป็นเศรษฐกิจแบบเงินตรามากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การขยายตลาดและการสะสมทุนในเวลาต่อมา
หอรัษฎากรพิพัฒน์ถูกยกฐานะขึ้นเป็น

รัษฎากรพิพัฒน์มีความสําคัญอย่างไร

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชปรารภว่า เงินภาษีอากรอันเป็นผลประโยชน์ของแผ่นดิน จัดเก็บกันไม่เป็นระเบียบกระจัดกระจายรั่วไหลไปมากมาย ในปี พ.ศ. 2416 จึงได้ตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235 และได้โปรดเกล้าตั้งสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อเป็นสำนักงานกลางสำหรับเก็บเงินผลประโยชน์รายได้ภาษีอากรของแผ่นดิน ...

การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใด

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ใน วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2416 เพื่อจัดวางหลักเกณฑ์ระบบการจัดเก็บภาษีอากร ให้เป็นระเบียบมีแบบแผน ควบคุมเจ้าภาษีอากร ให้จัดส่งเงินรายได้แผ่นดินให้ ตรงตามกำหนดเวลา ถ้าผู้ใดละเมิดระเบียบแบบแผนการจัดส่งเงินภาษีอากรจะ ถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด โดยทรงแต่งตั้งให้ ...

หอรัษฎากรพิพัฒน์ปัจจุบันมีชื่อว่าอะไร

ในพุทธศักราช ๒๕๔๖ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ใช้อาคารหอรัษฎากรพิพัฒน์ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ

กรมพระคลังสินค้าตั้งขึ้นในสมัยใด

อยุธยา คือระบบผูกขาดทางการค้า โดยระบบพระคลัง สินค้า พระคลังสินค้าเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เริ่มแรก เป็นที่เก็บของส่วยและอากรตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อมีมากเกินความต้องการรัฐบาลก็ส่งไปขายต่างประ เทศหาเงินเข้ารัฐ แต่ในสมัยแรก ๆ นั้นยังไม่ปรากฏ หลักฐานที่เด่นชัด ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ