Show
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระมหากษัตริย์ไทย เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะลดลงหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ "ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์[2][3] พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ทรงเป็นจอมทัพไทย พุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก มีพระราชอำนาจสถาปนาและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์กับฐานันดรศักดิ์ พระราชทานอภัยโทษ ประกาศสงครามและสงบศึก รวมตลอดถึงพระราชอำนาจอื่น ๆ ซึ่งจะทรงใช้ได้ก็แต่โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ยกเว้นพระราชอำนาจบางประการที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย คือ ตั้งและถอดองคมนตรีกับบรรดาข้าราชการในพระองค์ มีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้แก่ส่วนราชการในพระองค์ทุกปี[4] พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรีเป็นประมุขราชวงศ์ มีที่ประทับอย่างเป็นทางการคือพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงตอบรับการขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แต่ในทางนิตินัยถือว่าพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559[5] รัชทายาทของพระมหากษัตริย์ไทยมีตำแหน่งเรียกว่าสยามมกุฎราชกุมาร การสืบพระราชสันติวงศ์ของพระมหากษัตริย์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 โดยมีลักษณะเป็นการโอนจากบิดาสู่บุตรตามหลักบุตรคนหัวปีเฉพาะที่เป็นชาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปัจจุบันเปิดให้เสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้[6][7][8] บทบาทตามรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญปี 2490 และ 2492 มีการเพิ่มพระราชอำนาจอย่างสำคัญ เช่น พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ ทรงสามารถแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้กึ่งหนึ่ง[9]:47 การใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย ตั้งแต่รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา เช่น
บทบาทในการเมืองไทยหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พระมหากษัตริย์ไทยมีพระราชอำนาจจำกัดตามรัฐธรรมนูญ และถูกคณะราษฎรลดบทบาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงร่วมมือกับคณะเจ้าเพื่อพยายามล้มล้างและประหัตประหารสมาชิกคณะราษฎร[9]:19–33 เครือข่ายสายลับของพระองค์ใช้วังไกลกังวลเป็นศูนย์กลาง[9]:27 ทรงโยกย้ายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของพระองค์[9]:33 ความขัดแย้งในเรื่องพระราชอำนาจเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลคณะราษฎรจนนำไปสู่การสละราชสมบติ[9]:163–4 เหตุการณ์การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโจมตีปรีดี พนมยงค์และมรดกของเขา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีรัฐประหารถึง 11 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2490 ซึ่งทำลายอำนาจของคณะราษฎร ความขัดแย้งกับจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ในเรื่องที่ดินตั้งแต่ปี 2494[9]:48–9 สุดท้ายนำไปสู่รัฐประหารปี 2500 โดยมีหลักฐานพระองค์และกลุ่มกษัตริย์นิยมเคลื่อนไหวเตรียมรัฐประหาร มีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่า พระองค์ทรงพระราชทานเงินสนับสนุนแก่พรรคประชาธิปัตย์ 700,000 บาท และมีรายงานว่าพระองค์ทรงเสด็จฯ ไปบ้านพักของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชในยามวิกาลอย่างลับ ๆ อยู่เสมอ[9]:52 ในเรื่องพระราชอำนาจโดยพฤตินัยนั้น ธงทอง จันทรางศุเขียนถึงพระราชอำนาจนี้ว่า "แม้ว่าพระราชอำนาจดังกล่าวจะมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใดก็ตาม แต่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้าใจตรงกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่จริง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพระราชอำนาจส่วนที่สำคัญที่สุดในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน"[14]:461 การสถาปนาพระราชอำนาจนำของพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นผ่านการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยมีพระราชหัตถเลขาใจความว่า ควรถือพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปอยู่เหนือการเมือง "โดยเฉพาะการไม่เข้าไปเป็นฝักฝ่ายต่อสู้แข่งขัน รณรงค์ทางการเมือง อันอาจจะนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน และกระทบต่อความสงบเรียบร้อยสมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับราษฎร" ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา ไม่มีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะการไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับหลักการการดำรงอยู่เหนือการเมือง[15] ในปี พ.ศ. 2562 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงมีพระราชโองการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ความโดยสรุปว่า การนำพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ แม้จะทรงกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม เป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง[16][17] ประวัติกำเนิดรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (รับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) ที่ถือว่าวรรณะกษัตริย์มีอำนาจทางทหาร และหลักความเชื่อแบบเถรวาท ที่ถือพระมหากษัตริย์เป็น "ธรรมราชา" หลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิดธรรมราชาตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกพระมหากษัตริย์ว่าพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเรียกว่าพระเจ้ากรุงสยาม[18] สถานะของพระมหากษัตริย์ในยุคนี้ได้รับคติ "เทวราชา" จากศาสนาฮินดู กล่าวคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพเจ้าอวตารมาเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ดังเห็นได้จากการใช้คำนำหน้าพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้า" ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 กลุ่มนักศึกษาซึ่งได้รับการศึกษาแบบตะวันตกและนายทหารเรียก "ผู้ก่อการ" ได้ปฏิวัติยึดอำนาจและเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวสยาม ในเดือนธันวาคมปีนั้นจึงพระราชทานรัฐธรรมนูญเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาสู่ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ บทบาทของพระมหากษัตริย์ก็เหลือเพียงประมุขแห่งรัฐเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ผ่านรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และศาลตามลำดับ โดยเป็นการเปลี่ยนแนวคิดจากอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนมาเป็นความคิดแบบ "อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ" (สมมติว่ากษัตริย์มาจากมติของปวงชน) ซึ่งได้อิทธิพลมาจากขุนนางร่างกฎหมายที่นิยมกษัตริย์[9]:11–12 ในปี พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติ หลังทรงไม่ลงรอยกับรัฐบาลที่เป็นอำนาจนิยมมากขึ้น พระองค์ทรงประทับในสหราชอาณาจักรจนสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรทรงสืบราชสันตติวงศ์ ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 10 พรรษาและเสด็จอยู่ต่างประเทศในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงมีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทน ในช่วงนั้น บทบาทและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ถูกยึดโดยรัฐบาลฟาสซิสต์จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้นำสยามเข้ากับฝ่ายอักษะระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสงครามยุติ จอมพลแปลกถูกถอดออกและพระมหากษัตริย์เสด็จนิวัติประเทศ ระหว่างสงคราม พระญาติหลายพระองค์ของพระมหากษัตริย์เป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย ซึ่งต่อต้านการยึดครองของต่างชาติระหว่างสงครามและช่วยกู้ฐานะของประเทศไทยหลังสงคราม หลังพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2489 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นทรงพระชนมายุ 19 พรรษา กลายเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมา พระองค์มีปฐมบรมราชโองการดังนี้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ระหว่างปี พ.ศ. 2475–2500 พระมหากษัตริย์ไทยมีบทบาททางสังคมน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเขามีแนวคิดต่อต้านราชวงศ์ อย่างไรก็ดี หลังรัฐประหารโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลฟื้นฟูบทบาททางสังคมดังกล่าว และรื้อฟื้นราชประเพณีดั้งเดิมรวมทั้งการหมอบกราบ ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้จอมพล สฤษดิ์เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในพุทธทศวรรษ 2510 เริ่มเห็นได้ชัดว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาททางการเมือง หลังจากทรงสนับสนุนนักศึกษาในปี พ.ศ. 2516 ทรงเปลี่ยนมาสนับสนุนกลุ่มฝ่ายขวาในปี พ.ศ. 2519 และรัฐบาลธานินทร์ จนสู่รัฐบาลพลเอกเปรม[19]:558 ปรากฏชัดในครั้งกบฏยังเติร์กในปี พ.ศ. 2524 ที่ทรงประกาศสนับสนุนรัฐบาลพลเอกเปรมทำให้กบฏล้มเหลว[19]:558–9 เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2543 บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยถูกนักวิชาการ สื่อ ผู้สังเกตการณ์และนักประเพณีนิยมคัดค้านเพิ่มขึ้น และเมื่อผู้สนใจนิยมประชาธิปไตยที่มีการศึกษาเริ่มแสดงออกซึ่งสิทธิคำพูดของเขา หลายคนถือว่าชุดกฎหมายและมาตรการเกี่ยวข้องกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ในประเทศไทยซึ่งมุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์และราชวงศ์เป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพการแสดงออก มีการจับกุม การสืบสวนอาญาและจำคุกหลายครั้งโดยอาศัยกฎหมายเหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสว่า สามารถวิจารณ์พระองค์ได้หากสร้างสรรค์และไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเมืองไทยชัดเจนขึ้นหลังการมีส่วนและสนับสนุนรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[20]:378 ส่วนราชการในพระองค์กรมราชเลขานุการในพระองค์และสภาองคมนตรีไทยสนับสนุนภาระหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ โดยปรึกษากับนายกรัฐมนตรี พระราชวังและพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มีสำนักพระราชวังและสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการตามลำดับ หน่วยงานเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลไทย และพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพนักงานทั้งหมด[21] การสืบราชสันตติวงศ์ดูบทความหลักที่: สยามมกุฎราชกุมาร สยามมกุฎราชกุมารเป็นพระอิสริยยศของผู้ที่จะสืบราชสมบัติต่อจากพระมหากษัตริย์ มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ และจะดำรงพระยศนี้ตลอดพระชนม์ชีพจนกว่าพระมหากษัตริย์จะสวรรคตหรือสละราชสมบัติ พระอิสริยยศนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงกำหนดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2429 เพื่อเป็นรัชทายาทแทนตำแหน่งพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล นอกจากพระอิสริยยศสยามมกุฎราชกุมารแล้ว ยังมีกฎหมายกำหนดทายาทโดยสันนิษฐาน คือ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นงานวิชาการ
สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีความสําคัญอย่างไร“สถาบันพระมหากษัตริย์” หนึ่งในสามเสาหลักสำคัญของประเทศไทยที่ยืนหยัดมานับพันปีจนถึงปัจจุบัน โดยมีบทบาทมีคุณูปการนำพาคนไทยสร้างชาติ รักษาเอกราช วัฒนธรรม ความเป็นไทยให้คงอยู่รอด ท่ามกลางการรุกคืบขยายอิทธิพลทางความคิดของชาติตะวันตก ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ได้นำพาประเทศให้พัฒนาเติบโตก้าวทันการ ...
พระมหากษัตริย์ทรงมีความสําคัญต่อสังคมอย่างไรในสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุด ประชาชนชาวไทยต่างถวายความจงรักภักดีและยึดมั่นพระมหากษัตริย์เสมือนเจ้าเหนือหัว ทั้งนี้เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงมีความใกล้ชิดกับประชาชน ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประชาชน ทรงมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนมาตลอด จากการ ...
สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนสําคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทยอย่างไร1) ด้านประเพณีและพิธีสำคัญต่าง ๆ พระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติไทยมาตั้งแต่อดีต ทั้งพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์โดยตรง เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีของรัฐ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และพระพระราชพิธีทางศาสนา เช่น พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอด ...
สถาบันชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์มีความสำคัญอย่างไรสถาบันหลักของชาติ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเสาหลักในการสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน เป็นบ่อเกิดของความรัก ความสามัคคี นำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นภัยนานาประการ ไม่ว่าจะเป็นภัยรุกรานของประเทศอื่น ภัยจาก ...
|