พุทธประวัติ ช่วง มัชฌิมกาล มัชฌิมกาล เป็นระยะเวลาช่วงกลางของพุทธประวัติในชาติสุดท้าย ที่ดำเนินต่อจากช่วงปฐมกาลเป็นรอยต่อที่สำคัญที่ พระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยจะได้แสดงถึงการบำเพ็ญเพียรที่ทำให้พระองค์ได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบทบาทของพระองค์ที่ทำหน้าที่เป็นครูของโลก ที่ตรัสสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดพระชนมชีพของพระองค์จนกระทั่งถึงช่วงที่พระองค์ได้ทำการปลงอายุสังขาร เป็นลำดับไปดังที่จะได้แสดงต่อไป พุทธประวัติ ตอน ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เมื่ออุปมาทั้ง 3 ข้อนี้เกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญเพียร ด้วยการทรมานตนตาม แบบอย่างการบำเพ็ญเพียรในยุคนั้น เพื่อแสวงหาแนวทางตรัสรู้ แต่หลังจากที่ได้บำเพ็ญเพียรอย่างหนักตลอด 6 ปี ก็ยังไม่สามารถบรรลุธรรมตามที่ปรารถนาได้
กลับได้รับแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว พระองค์จึงเกิดความคิดว่า การปฏิบัติอย่างนี้คงจะไม่ใช่ทางตรัสรู้ ทางตรัสรู้น่าจะเป็นอย่างอื่น และในขณะนั้นพระองค์ก็ได้หวน ระลึกถึงเมื่อครั้งงานแรกนาขวัญที่ประทับอยู่ใต้ต้นหว้าว่า การบำเพ็ญเพียรทางจิตนั้น อาจจะเป็นหนทางตรัสรู้ได้ และก็พลันได้ยินเสียงพิณ 3 สายแว่วมา ทรงระลึกได้ว่า สายที่ขึงตึงเกินไป ดีดไปได้ไม่นานก็ขาด สายที่ 2 ขึงหย่อนเกินไปดีดเท่าไรก็ไม่มีเสียง สายที่ 3 ดีดได้ไพเราะจับใจ ทำให้นึกได้ว่าความพอดีคือทางสายกลางเท่า
นั้นที่จะเป็นหนทางนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ทรงพิจารณาได้ดังนี้แล้ว จึงเลิกการทรมานตนเอง หันกลับมาเสวย พระกระยาหารและทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ผู้เฝ้าคอยอุปัฏฐากมาตลอด 6 ปีที่ทรงทรมานพระวรกาย หวังเพียงเพื่อจะได้บรรลุธรรมตามอย่างสมณะนี้ แต่บัดนี้ สมณะนี้กลับเลิกล้มความเพียร กลับไปมักมากในกามคุณ จึงเสื่อมศรัทธาหนีกลับไปยังป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน พญามารพาไพร่พลยกทัพมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระองค์ แต่พระองค์ไม่ทรงหวาดหวั่น ในขณะนั้น พญามารพร้อมกองทัพมารได้มาปรากฏตัวขึ้น เพื่อคิดที่จะทำลายพระโพธิสัตว์ เหล่าเทวดาจึงหนีหายไปอยู่ขอบจักรวาล ทำให้พระโพธิสัตว์ต้องอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว แต่พระองค์ก็มิได้ หวั่นไหวต่อกองทัพมารที่มาแต่อย่างใด ก็ยังคงนั่งคู้บังลังก์อยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ นึกถึงบารมีทั้ง 30 ทัศที่ พระองค์ได้สั่งสมมาตลอด 20 อสงไขยกับแสนมหากัปอย่างไม่หวาดกลัวต่อพญามารและกองทัพมาร
จนในที่สุดพญามารและกองทัพมารก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรพระองค์ได้ ก็ต้องถอยทัพกลับไปยังที่อยู่ของตน จากนั้นก็ทรงทำความเพียรต่อไปโดยไม่ย่อท้อ สัปดาห์ที่ 2 ทรงนั่งปฏิบัติธรรมต่อไปอีก 7 วัน พอครบ 7 วัน ก็เสด็จลงจากรัตนะบัลลังก์ไปประทับ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้ทอดพระเนตรดูต้นโพธิใหญ่ถึง 7 วัน สถานที่นี้เรียกว่า อนิมิสเจดีย์ พุทธประวัติ ตอน ปฐมเทศนา ครั้นเมื่อผ่านไป 7 วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้ราชายตนะเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธนั้นอีก ทรงปริวิตกว่า วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ทรงแสดงปฐมเทศนาชื่อ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” พราหมณ์โกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา วันนี้จึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นคือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเรียกวันนี้ว่า “วันอาสาฬหบูชา”
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารภที่จะแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ในรุ่งเช้า พระองค์ก็ทรงเสด็จดำเนินไปยังป่า อิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งเป็นสถานที่อาศัยอยู่ของพวกปัญจวัคคีย์ โดยในระหว่างทางพระองค์ก็ได้พบอุปกาชีวก ผู้ไม่เชื่อความที่พระองค์ตรัสรู้เอง และหลังจากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์แล้ว ไม่ได้ให้การต้อนรับ เนื่องจากยังผิดหวังกับพระองค์ที่เลิกการทำทุกกรกิริยา แต่ด้วยบุญบารมีที่เคยสร้างด้วยกันมากับพระพุทธเจ้า ประกอบกับบุญที่ตนได้ทำเอาไว้ในกาลก่อน
จึงทำให้ปัญจวัคคีย์ทำการดูแลต้อนรับอย่างดี ยอมเชื่อฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกอย่าง พุทธประวัติ ตอน ประกาศพระศาสนา แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร พุทธประวัติ ตอน ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา การที่ยสกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นผลดีกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่าง มาก เพราะพระยสะมีสหายมาก เมื่อท่านเข้ามาบวชแล้ว สหายเหล่านั้นก็ได้พากันบวชตามเข้ามา อีกเป็น จำนวนมาก ทำให้มีพระสาวกเพิ่มมากขึ้น เป็นกำลังในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่กระจายได้มากขึ้นด้วย เมื่อมีจำนวนของพระสาวกมากถึง 60 รูป ซึ่งพอที่จะเป็นกำลังในการเผยแผ่พระศาสนาเพื่อ ประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์จึงได้ส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนายังที่ต่างๆ ทั่วแผ่นดิน ซึ่งก่อนที่จะออกไปประกาศพระศาสนา พระพุทธองค์ก็ได้ให้โอวาทแก่พระสาวกเหล่านั้นว่า ประกาศพระศาสนานำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอจงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้ง อรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี” พุทธประวัติ ตอน ประกาศศาสนา ณ อุรุเวลาเสนานิคม การที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังอุรุเวลาเสนานิคมนี้ ก็ด้วยเหตุ 2 อย่าง คือ เพื่อจะทรงเปลื้องปฏิญญา ที่ได้ทรงให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสารตั้งแต่เมื่อครั้งที่เสด็จออกทรงผนวช และเพื่อจะปดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรในเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเป็นที่รวมอยู่ของนักบวชเจ้าลัทธิ มากมายในยุคนั้น แต่การที่จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรอยู่ในราชคฤห์ซึ่งมีศาสนาอื่นอยู่ก่อน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประชาชนในเมืองล้วนนับถือเจ้าลัทธิต่างๆ กันมาก ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเทศนา สั่งสอนพวกเจ้าลัทธิเหล่านั้นให้เกิดความเลื่อมใสพระพุทธองค์ก่อน โดยเฉพาะอุรุเวลกัสสปะซึ่งถือว่า เป็นอาจารย์ใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งพระเจ้าพิมพิสารยังให้ความเคารพนับถือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปกรุงราชคฤห์ทรงเทศน์โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จไปโปรดอุรุเวลกัสสปะให้เลื่อมใสก่อน ก็จะทำให้พระพุทธศาสนา สามารถประดิษฐานในเมืองราชคฤห์ได้สะดวกรวดเร็วและง่ายขึ้น เพราะเมื่ออุรุเวลกัสสปะให้ความเคารพ เลื่อมใสนับถือพระองค์แล้ว เหล่าศิษยานุศิษย์ของอุรุเวลกัสสปะซึ่งรวมถึงพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นกษัตริย์ แห่งเมืองราชคฤห์ ก็ย่อมที่จะมานับถือพระองค์ตามอุรุเวลกัสสปะอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระพุทธศาสนาสามารถที่จะเผยแผ่ยังเมืองราชคฤห์ได้ และยังทำให้การประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ทำได้ง่ายขึ้นและยังรวดเร็วไปทั่วแผ่นดินได้ง่าย เนื่องจากราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการค้าขายและมีผู้คนเข้าออกเมืองมาก ก็ทำให้คนที่เข้ามาเมืองนี้ได้รู้ข่าวการบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะพากันไปบอกกล่าวกันต่อ เมื่อผู้ที่ทราบข่าวก็จะมาหาพระพุทธองค์และมาศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไป พุทธประวัติ ตอน พบอัครสาวก หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ส่งพระสาวกออกไปประกาศพระพุทธศาสนายังสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ก็ทำให้ในสถานที่ที่พระสาวกได้เดินทางไปถึงก็ทำให้มีผู้คนมานับถือพระพุทธศาสนากันมากเพิ่มขึ้น และยังมีคนอีกจำนวนมากที่อยากที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนากัน เหมือนอย่างที่พระอัสสชิได้ทำให้พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งในขณะนั้นท่าน ทั้งสองเป็นปริพาชก มีชื่อเดิมว่า อุปติสสะและโกลิตะ
ท่านทั้งสองเป็นสหายกัน ต่างมีบริวาร 250 คนอาศัย อยู่ที่กรุงราชคฤห์ และออกบวชเป็นศิษย์ของท่านสัญชัยปริพาชกเรียนจนจบความรู้ของอาจารย์ก็ยังไม่พบสิ่งที่ตนเองต้องการ เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3ของปีถัดมานับจากวันตรัสรู้ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูป
ที่เผยแผ่พระศาสนา
ในการประชุมครั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทพระปาฏิโมกข์ในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ 1,250 รูป ซึ่งถือว่าเป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
และเป็นนโยบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้คณะสงฆ์ยึดเป็นหลักปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 3. วิธีการที่จะนำไปสู่การบรรลุถึงอุดมการณ์และหลักการดำเนินชีวิต คือ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้ประมาณใน ภ้ัตตาหาร อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด และประกอบความเพียรในอธิจิต พุทธประวัติ ตอน เสด็จโปรดพระญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ตั้งแต่วันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกผนวชอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตในขณะที่ทรงมี พระชนมายุ 29 พรรษา
พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาทรงติดตามสดับข่าวของพระองค์อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยาอยู่นั้น เทวดาจะนำข่าวมาแจ้งให้ทรงทราบเป็นระยะๆ ต่อมาพระเจ้า สุทโธทนะทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้แล้ว ในขณะนี้ประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ จึงส่งอำมาตย์ 1 คนพร้อมบริวาร 1,000 คน ส่งสาส์นไปกราบนิมนต์พระพุทธเจ้า 9 ครั้ง ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่พระองค์กำลังทรงแสดงธรรม และได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ออกบวชกันหมดทำให้ไม่ได้ยื่นสาสน์ที่พระเจ้าสุทโธทนะฝากไป
ในที่สุดพระเจ้าสุทโธทนะได้ขอร้องให้กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ ใกล้ชิดถือสาสน์ไปกราบนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยกำชับว่า ไม่ว่ากาฬุทายีจะออกบวชหรือไม่ก็ตามต้องกลับมาส่งข่าวให้พระองค์ทราบ กาฬุทายีและบริวาร 1,000 คนได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรมอยู่ ทำให้กาฬุทายีพร้อมกับบริวารได้ฟังธรรมที่ทรงแสดงจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา พุทธประวัติ ตอน กำเนิดภิกษุณี พระนางมหาปชาบดีผู้เป็นพระน้านางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความตั้งใจปรารถนาที่จะออกบวช ได้เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทถึง 3 ครั้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่อนุญาต
พระนางเกิดความน้อยพระทัย จึงได้ปลงพระเกศา ทรงครองผ้ากาสาวะ ถือเพศบรรพชิตพร้อมด้วยนางกษัตริย์เมืองต่างๆ เป็นจำนวนมาก และได้พากันออกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปยังกูฏาคารศาลาเพื่อทูลขอบรรพชาอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงที่ซุ้มประตูกูฏาคารศาลา พระอานนท์ออกมาต้อนรับ เห็นใบหน้าของพระนางนองไปด้วยน้ำตา จึงได้ถามถึงเหตุที่ทำให้พระนางร้องไห้ พอทราบความแล้วก็อาสาจะไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธประวัติ ตอน โปรดพระพุทธมารดา หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปฏิหาริย์ เพื่อปราบเดียรถีย์และยังความเลื่อมใสแก่มหาชนชาวเมืองสาวัตถีแล้ว ทรงเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อจำพรรษาและโปรดพุทธมารดา เมื่อพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปแล้ว ได้ประทับนั่งอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ท้าวสักกเทวราชเทวดา ผู้เป็นใหญ่เป็นหัวหน้าปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลายได้มาเข้าเฝ้า พระพุทธมารดา ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ประทับนั่งเป็นประธานในท่ามกลางเหล่าเทวดาทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรม 7 คัมภีร์แก่พระพุทธมารดา และเหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างเรื่องความกตัญญูทรงเทศน์โปรดพุทธบิดา จนได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมตลอด 3 เดือน ในเวลาจบเทศนา พระพุทธมารดา ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล เมื่อออกพรรษาพระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ ณ ประตูเมืองสังกัสสะ ในวันมหาปวารณา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 โดยมีมหาชนจำนวนมากที่ได้ทราบข่าวการเสด็จลงมาจากพระมหาโมคคัลลานะ ได้มาคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ที่เมืองสังกัสสะ และการเสด็จลงมาในครั้งนี้ พระพุทธองค์ได้เปิดภพทั้ง 3
ให้เห็นกัน ได้หมด เพื่อแสดงปาฏิหาริย์แก่มหาชน ทำให้มหาชนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า และบางพวก ที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ได้ทำการปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตพระองค์หนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ ปัจจุบันนี้ ในวันออกพรรษาของทุกๆ ปี ณ บริเวณแม่น้ำโขงได้มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพญานาคส่วนใหญ่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อระลึกนึกถึงในวันที่พระพุทธองค์ได้เสด็จลงมาจากดาวดึงส์
จึงทำการพ่นบั้งไฟออกมาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา สรุปพุทธประวัติ ตอนที่ 2 พุทธประวัติในช่วงมัชฌิมกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงทำความเพียรอย่างหนักเพื่อหาทางหลุดพ้น แม้จะต้องทนทำทุกรกิริยานานถึง 6 ปี พระองค์ก็ไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด ยังคงค้นหาทางหลุดพ้นให้ได้
และในที่สุดพระองค์ก็ทรงค้นพบทางที่จะทำให้หลุดพ้นได้ แต่กว่าที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้นั้น พระองค์ก็ทรงมีความตั้งใจมั่น แม้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะก็ยอมทำ “ สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” ที่มา : https://www.dmc.tv/index.php |