โรคคางทูมคางทูม (Mumps, Epidemic parotitis) เป็นโรคติดต่อเฉียบพลันทางระบบทางเดินหายใจซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus และก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหูที่เรียกว่า “ต่อมพาโรติด” (Parotid glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายและข้างขวา โดยโรคอาจเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายเพียงข้างใดข้างหนึ่งหรือเกิดทั้งสองข้างก็ได้ นอกจากนั้นยังอาจเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายอื่นได้ เช่น ต่อมน้ำลายใต้คาง (Submandibular glands) และต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual glands) แต่ก็พบได้น้อยกว่าต่อมน้ำลายข้างหูมาก และเมื่อเกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายอื่น ๆ แล้วก็มักจะต้องเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมน้ำลายข้างหูด้วย คางทูมเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายใกล้เคียงกัน มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน และในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน และอาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว ในสมัยก่อนจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้กันมากขึ้น สาเหตุของคางทูม
อาการของคางทูม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคางทูมโรคนี้เมื่อเป็นแล้วส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่มีอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อคางทูมของเนื้อเยื่อส่วนอื่น โดยอาจจะแสดงอาการก่อน ขณะ หรือหลังขากรรไกรบวม หรืออาจเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีอาการขากรรไกรบวมก็ได้ (ภาวะแทรกซ้อนจากโรคคางทูมจะพบได้สูงขึ้นเมื่อเกิดโรคนี้ในเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ) ซึ่งผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจพบได้ มีดังนี้
การวินิจฉัยโรคคางทูมแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยมักมีไข้ประมาณ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีอาการไข้ก็ได้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างใดข้างหนึ่งหรือบวมทั้ง 2 ข้าง เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้มซึ่งอยู่ในบริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2 อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย และอาจพบอาการลิ้นบวมในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้ลิ้นอักเสบ หรือหน้าอกตรงส่วนใต้คอบวมในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้คางบวม ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคคางทูมให้แน่ชัด แพทย์อาจต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อคางทูม การตรวจหาเชื้อคางทูมจากน้ำลาย จากสารคัดหลั่งในช่องปาก จากน้ำปัสสาวะ หรือจากน้ำไขสันหลัง (การเจาะหลัง) เพราะอาการคางทูมอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การบาดเจ็บจากการถูกต่อย, ต่อมทอนซิลอักเสบ, เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ, เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน, ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น วิธีรักษาโรคคางทูม
วิธีป้องกันโรคคางทูม
สรุป โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด แต่เมื่อเกิดขึ้นในวัยรุ่นหรือในผู้ใหญ่ ความรุนแรงของโรคอาจสูงกว่าในเด็กปฐมวัยมาก (จากการมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้น) และการที่ชาวบ้านนิยมเขียน “เสือ” ที่ข้างแก้มทั้งสองข้างด้วยตัวหนังสือจีน หรือเสกปูนแดงป้ายหรือครามป้ายแล้วหายได้นั้นก็เป็นเพราะธรรมชาติของโรคนี้สามารถหายไปได้เองอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี บางครั้งโรคนี้ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ ผู้ป่วยจึงควรเรียนรู้วิธีการรักษาและป้องกันเผื่อไว้ด้วย เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
ภาพประกอบ : www.cancer.gov, holyhormones.com, www.vaccineinformation.org, www.news.iastate.edu เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |