การตั้งครรภ์ (Pregnancy) คือภาวะที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิแล้วได้ตัวอ่อน เกิดขึ้นในการตั้งครรภ์ที่ปกติตัวอ่อนจะไปฝังที่เยื่อบุโพรงมดลูก จากนั้นตัวอ่อนซึ่งมีเซลล์เดียวก็จะแบ่งตัวและพัฒนาเป็นอวัยวะต่างๆและเจริญเป็นทารกต่อไป ซึ่งโดยทั่วไปในผู้หญิงปกติที่มีประ จำเดือนทุกๆประมาณ 4 สัปดาห์จะมีอายุครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์หรือ 280 วันนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด Show
อะไรคือครรภ์เสี่ยงสูง?ครรภ์เสี่ยงสูงคือภาวะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายต่อมารดาและ/หรือต่อทารกในครรภ์ได้เช่น การที่มารดามีโรคประจำตัวบางอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง และโรคมะเร็ง ซึ่งการตั้งครรภ์อาจส่งผลให้โรคของมารดาที่ตั้งครรภ์แย่ลงและอาจส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์ด้วย สาเหตุที่ทำให้การตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่พบบ่อยคือ
การตั้งครรภ์มีกี่ระยะ? แต่ละระยะมีอาการอย่างไร?ในทางการแพทย์นั้นการตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ระยะนั่นคือ ระยะที่มีการตั้งครรภ์ ระยะที่มี การเจ็บครรภ์คลอด และระยะหลังคลอด ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์อาจจะมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการตอนเช้า รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อาการจะดีขึ้นเมื่อผ่านช่วง 3เดือนแรกไปแล้ว นอกจากนั้นอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย ท้องผูกได้บ้างในบางคน เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นประมาณ 20 สัปดาห์จะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารก หญิงตั้งครรภ์ควรที่จะต้องสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ทุกวันเพื่อดูว่าทารกในครรภ์ยังมีชีวิตดีอยู่หรือไม่ (ซึ่งถ้าสงสัยเด็กดิ้นผิดปกติเช่น ดิ้นลดลงหรือไม่ดิ้น ต้องรีบพบสูตินรีแพทย์) นอกจากนั้นอาจพบว่ามีการบวมที่ขาทั้งสองข้างได้เล็กน้อย
1. อาการเจ็บครรภ์คลอด จะมีลักษณะปวดทั่วท้องทั้งหมด ท้อง/มดลูกแข็งเกร็งเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูก โดยอาการปวดจะบีบและคลายเป็นพักๆสม่ำเสมออย่างน้อย 10 นาทีต่อครั้ง ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่เอวร่วมด้วย 2. มีมูกปนเลือดออกทางช่องคลอดซึ่งแสดงว่ามีการเริ่มเปิดของปากมดลูกพร้อมที่จะคลอดแล้ว 3. การมีน้ำเดินคือการมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอด กลั้นไม่ได้เหมือนปัสสาวะ ทั้งนี้เกิดจากถุงน้ำคร่ำแตก ในระยะหลังคลอดจะยังคงมีเลือดไหลออกทางช่องคลอดในปริมาณไม่มากซึ่งเรียกว่าน้ำคาวปลา ในช่วงแรกจะมีสีแดงสด จากนั้นจะค่อยๆจางลงเป็นสีน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นสีใสๆ โดยน้ำคาวปลาควรจะหมดภายใน 2 - 4 สัปดาห์ ซึ่งถ้าน้ำคาวปลาผิดปกติเช่น เป็นเลือดสดตลอดเวลา หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือเมื่อผ่านระยะเวลานี้ไปแล้วยังคงมีน้ำคาวปลาอยู่ ควรรีบพบสูตินรีเวชเพราะอาจมีการติดเชื้อในมดลูกหรืออาจมีรกค้างอยู่ได้ การมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยบีบเป็นพักๆโดยอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมารดาให้นมบุตร อาการที่เกิดขึ้นเป็นภาวะปกติแสดงว่ามดลูกกำลังหดตัวเข้าสู่อุ้งเชิงกราน การขับปัสสาวะหลังคลอดในช่วง 2 - 3 วันแรก ปริมาณปัสสาวะที่ออกจะออกมากกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายขับน้ำส่วนเกินที่เกิดจากการตั้งครรภ์ออกจากร่างกาย ภายหลังคลอดอาจเกิดอาการผิดปกติทางด้านจิตใจได้เช่น อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากปัญหาความสับสนในบทบาทของมารดาและภรรยา โดยอาการจะค่อยๆกลับเป็นปกติภายใน 2 - 3 สัปดาห์ แต่ถ้าอาการเหล่านี้เรื้อรังควรรีบพบสูตินรีแพทย์ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์?อาการที่แสดงว่าอาจมีการตั้งครรภ์คือ 1. ประจำเดือนขาด 2. คลื่นไส้ อาเจียน มักมีอาการช่วงเช้าหรือมีอาการมากในช่วงเช้า 3. อยากอาหารแปลกๆ 4. อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน 5. อาจปวดศีรษะบ่อยขึ้นแต่ไม่รุนแรง 6. มีการเปลี่ยนแปลงของเต้านม เต้านมและหัวนมขยายใหญ่ขึ้น อาจรู้สึกเจ็บเต้านมและหัวนม 7. ปัสสาวะบ่อยๆเพราะขนาดมดลูกโตขึ้นจึงกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น ในกรณีที่มีอาการดังกล่าวและสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ อาจตรวจยืนยันการตั้งครรภ์เองโดยการไปซื้อแถบตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์จากร้านขายยาขนาดใหญ่มาตรวจ ซึ่งหลังจากจุ่มแถบตรวจกับปัสสาวะ ถ้าพบว่าแถบขึ้น 2 ขีดแสดงว่ามีการตั้งครรภ์ ในกรณีที่ไม่แน่ใจควรรีบไปพบสูตินรีแพทย์ แพทย์วินิจฉัยได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์?แพทย์จะทำการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์โดยดูจากประวัติอาการ ประวัติเพศสัมพันธ์ ประวัติขาดประจำเดือน การตรวจร่างกาย การตรวจภายใน และมีการยืนยันผลการตรวจโดยการนำปัสสาวะไป ตรวจดูการตั้งครรภ์ เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เมื่อไร?เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่เป็นไปได้เพื่อจะได้ทำการฝากครรภ์ ประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน ประเมินว่ามีภาวะเสี่ยงในการตั้งครรภ์หรือไม่ นอกจากนั้นยังมีการตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) หรือไม่ รวมถึงการตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมียด้วยเพื่อการดูแลทารกตั้งแต่ในครรภ์ จะดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ที่สำคัญคือ
ข้อห้ามขณะตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?ข้อห้ามสำคัญขณะตั้งครรภ์คือ การใช้ยาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเนื่องจากยาบางอย่างอาจส่งผลให้ทารกพิการได้ นอกจากนั้นในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์มีโรคประจำตัวรวมทั้งโรคธาลัสซีเมียควรรีบไปฝากครรภ์ เพื่อประเมินความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ว่า การตั้งครรภ์จะส่งผลต่อมารดาและทารกในครรภ์หรือไม่ ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?อาการ/ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์เช่น อาการอ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดศีรษะ หลอดเลือดดำขาขอด ท้องผูก ริดสีดวงทวาร อาการแสบกระเพาะ มีตกขาว และอาการตะคริว รู้ได้อย่างไรว่าครรภ์อาจผิดปกติ?อาการที่ต้องรีบมารับการรักษาที่โรงพยาบาลเช่น เลือดออกทางช่องคลอด บวมที่หน้า นิ้ว ขา หรือเท้า ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ตามองเห็นไม่ชัด (อาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ) ปวดท้อง อาเจียนอย่างต่อเนื่อง มีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขัด มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด และ/หรือทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงมาก รู้ได้อย่างไรว่าใกล้คลอด?อาการที่บ่งบอกว่าใกล้คลอดที่สำคัญคือ มีอาการเจ็บครรภ์สม่ำเสมอประมาณทุก 10 นาที ครั้ง มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด หรือมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอดคล้ายปัสสาวะแต่กลั้นไม่ได้ เมื่อใกล้คลอดควรทำอย่างไร?เมื่อมีอาการต่างๆที่บ่งชี้ว่าใกล้คลอดเช่น เจ็บครรภ์ถี่ทุก 10 นาที มีมูกปนเลือดออกทางช่องคลอด หรือมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอดโดยกลั้นไม่ได้ ควรรีบมาโรงพยาบาล การปฏิบัติตัวหลังคลอดมีอะไรบ้าง?การปฏิบัติตัวหลังคลอดคือ
ควรตั้งครรภ์อีกครั้งเมื่อไหร่?การตั้งครรภ์ในครรภ์ถัดไปนั้นควรเว้นระยะห่างในการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 ปีเพื่อให้หญิงหลังคลอดได้มีโอกาสพักในระหว่างไม่ตั้งครรภ์บ้าง ถ้าไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?ควรมีการวางแผนเพื่อคุมกำเนิด (การวางแผนครอบครัว) ในกรณีที่ยังไม่พร้อมในการจะมีบุตรคนถัดไป ซึ่งการคุมกำเนิดในปัจจุบันมีมากมายหลายวิธีเช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด การใช้ยาฉีดคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด การฝังยาคุมกำเนิด/ยาฝังคุมกำเนิด การใช้ถุงยางอนามัยชาย เป็นต้น ดังนั้นจึงควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ผู้ดูแลในเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อเริ่มฝากครรภ์ |