เงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 8,000

อยากมีรถสักคัน แต่ติดอยู่ที่อายุน้อย เงินเก็บก็ยังไม่เยอะ แล้วความฝันจะเป็นจริงได้ไหม บอกเลยว่าถ้าวางแผนซื้อรถดี ๆ ก็มีสิทธิ์ทำได้เหมือนกัน


สินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงโดยทั่วไปแล้วก็ต้องมี "รถยนต์" กับ "บ้าน" แต่ถ้ามาพูดถึงเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานก็น่าจะมองเรื่องการวางแผนซื้อรถยนต์เป็นหลักก่อน อาจจะด้วยว่าตอนนี้ยังอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ แล้วด้วยระบบรถสาธารณะบ้านเรายังไม่ได้ดีมาก การมีรถยนต์ส่วนตัวก็เลยดูเหมือนจะเป็นเรื่องจำเป็นไปโดยปริยาย การเก็บเงินวางแผนซื้อรถยนต์ก็เลยดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหนึ่งที่หลาย ๆ คนตั้งเอาไว้

ถ้าถามว่าอายุน้อย ๆ ควรจะออกรถมั้ย ? หากว่ากันด้วยเหตุและผล การซื้อรถยนต์ถือว่าเป็นการซื้อสินทรัพย์เสื่อมมูลค่าที่จะปรับลดลงเรื่อย ๆ แล้วนอกเหนือจากค่าผ่อนงวดรถในแต่ละเดือนแล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เราต้องนำมาคิดพิจารณาด้วย ทั้งค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ บอกได้เลยว่าถ้าต้องการมีรถ Eco Car สักคันก็ต้องเตรียมเงินไว้ประมาณเดือนละ 10,000 - 12,000 บาทสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของรถยนต์คันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงควรเลือกซื้อรถให้เหมาะกับกำลังซื้อของเรา ซึ่งถ้าเราใช้รถยนต์เยอะก็อาจจะต้องเตรียมไว้มากกว่านั้น ส่วนตัวก็เลยมองว่าอายุน้อย ๆ การมีรถยนต์สักคันอาจจะไม่ควรสักเท่าไร เพราะรายจ่ายเรื่องรถยนต์จะเป็นรายจ่ายที่เยอะมากต่อเดือน ดังนั้นเจ้าของรถมือใหม่ทั้งหลายจึงควรจะคำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับรถคันแรกให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ คนอายุน้อย ๆ เพิ่งเริ่มทำงานอยากจะมีรถยนต์เป็นของตัวเองสักคันจะเตรียมตัวอย่างไร และวางแผนซื้อรถอย่างไร จึงจะเหมาะสม และไม่ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน มาฟังคำแนะนำกัน

ก่อนอื่นเลยหากว่าเราจะวางแผนซื้อรถยนต์ เราต้องรู้ราคารถยนต์หรือรุ่นรถยนต์ที่เราอยากได้ เพราะจะเป็นตัวที่กำหนดว่าเราต้องเตรียมเงินไว้เดือนละเท่าไร เพราะถ้าเป็นเด็กจบใหม่ ๆ มา การที่จะมีเงินสดเพื่อไปซื้อรถยนต์หนึ่งคันเลยน่าจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกันถ้าไม่มีทางบ้านให้การสนับสนุน ดังนั้นส่วนใหญ่จะใช้บริการสินเชื่อรถยนต์เป็นหลักกันอยู่แล้ว ก็จะมีการผ่อนตั้งแต่ 12 เดือนไปจนสูงสุดแถว ๆ 72 เดือน

สิ่งที่เราควรจะรู้เกี่ยวกับการวางแผนซื้อรถ คือการผ่อนชำระค่างวด เพราะยิ่งเราผ่อนนานเท่าไรเราก็จะยิ่งโดนคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เพราะการคิดดอกเบี้ยของการซื้อรถยนต์จะเป็นการคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat rate) ตัวอย่างเช่น

ถ้าเราเอารถเข้าไฟแนนซ์หรือใช้บริการสินเชื่อรถยนต์ สมมติว่ารถยนต์ราคา 600,000 บาท แล้วเราดาวน์ประมาณ 25% ก็คือ 150,000 บาท แปลว่าเราต้องใช้บริการสินเชื่อรถ 450,000 บาท

สมมติว่าโดนคิดดอกเบี้ยที่ 3% ต่อปี แล้วเราผ่อน 60 เดือนหรือ 5 ปี เวลาที่เขาคำนวณดอกเบี้ย เขาจะคำนวณด้วยการที่เอา 450,000 บาท มาคูณ 3% จะเท่ากับ 13,500 บาท แล้วเราผ่อนรถเป็นเวลา 5 ปี ก็เอา 13,500 x 5 ปี จะเท่ากับ 67,500 บาท นั่นแปลว่าเราจะมีหนี้ทั้งหมด 450,000 + 67,500 บาท จะเท่ากับ 517,500 บาท แล้วเราจะผ่อนงวดละเท่าไร ก็จะเอา 517,500 บาท มาหาร 60 งวด เราจะต้องผ่อนงวดละ 8,625 บาท

พอเห็นการคำนวณแบบนี้เราก็จะเห็นว่า หากว่าเราวางแผนซื้อรถ โดยสามารถดาวน์ได้เยอะเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นภาระต่องวดน้อยลง และถ้าผ่อนคำนวณงวดได้สั้น ก็จะเสียดอกเบี้ยน้อยเท่านั้น คำแนะนำก็คือ ควรจะเก็บเงินซื้อรถยนต์หรือควรนำเงินมาดาวน์ให้ได้ยิ่งเยอะยิ่งดี สัก 30 - 40% เป็นอย่างน้อย เพื่อลดภาระในแต่ละงวดลงไปอีก

นอกจากนี้ หลังจากที่เราคำนวณเสร็จแล้วว่าต้องผ่อนเดือนละเท่าไร ขั้นตอนต่อไปของการวางแผนซื้อรถคือ การดูค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าประกันรถยนต์ เป็นต้น เพราะเชื่อว่าเมื่อเราออกรถมาใหม่เราก็คงไม่อยากขับรถแบบไม่มีประกันแน่ ๆ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดเราขับออกไปแล้วเกิดอุบัติเหตุมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็อาจจะทำให้เราประสบปัญหาการเงินในอนาคตได้ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ ทั้งเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนยาง ก็เป็นรายจ่ายที่ไม่น้อยเหมือนกัน

ถ้าใครอยากคำนวณดูว่าเราต้องผ่อนเท่าไรยังไง ทางกรุงศรีฯ เราก็มีบริการ Plan Your Money ที่ไม่ได้ช่วยแค่การวางแผนซื้อรถ แต่เป็นการวางแผนการเงินของเราทั้งหมด เพียงแค่เรากรอกข้อมูล เราก็จะรู้ทันทีว่าเราต้องผ่อนงวดละเท่าไร และนอกจากเรื่องรถยนต์ Plan Your Money ก็ยังมีบริการคำนวณเรื่องการกู้ซื้อบ้าน รวมไปถึงการวางแผนภาษีที่จะช่วยทำให้เราเสียภาษีน้อยลง ทำให้เราเหลือเงินเก็บมากขึ้นด้วย

สุดท้ายก่อนที่เราจะวางแผนซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง อย่าลืมคิดคำนวณให้ดีก่อนว่าเราจำเป็นต้องใช้รถยนต์จริง ๆ เพราะอย่างที่เราเห็นว่าการมีรถยนต์ 1 คัน ก็มีรายจ่ายไม่ใช่น้อย ถ้าสำหรับคนที่ทำงานได้รับเงินเดือน 15,000 บาทแล้ว ต้องมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์สูงถึง 80% ก็ไม่น่าจะรับภาระค่าใช้จ่ายไหวแน่ ๆ

ดังนั้นการมีรถยนต์คันหนึ่งเราก็จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน แนะนำว่าถ้าเรามีรถยนต์แล้วไม่ได้สร้างรายได้ให้กับเราเพิ่มเติมเลยมีแต่รายจ่าย ส่วนตัวก็แนะนำว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่ควรมี แต่ถ้าบางคนการเดินทางยากลำบากจริง ๆ อาจจะต้องหาวิธีการเดินทางรูปแบบอื่น ๆ ที่น่าจะช่วยประหยัดเวลาและรายจ่ายได้ การคำนวณต่าง ๆ จะช่วยทำให้เราเห็นภาพมากขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดอารมณ์การใช้จ่ายลงแบบไม่คิดได้เป็นอย่างดี รถยนต์เป็นสินทรัพย์ที่ราคาค่อนข้างสูงก่อนซื้อควรวางแผนซื้อรถให้ดีก่อนทุกครั้ง


เชื่อว่าเด็กจบใหม่ และคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ 1-2 ปี หรือเหล่า First Jobber น่าจะกำลังวางแผนซื้อรถยนต์คันแรก เพื่อใช้ในการเดินทางไปทำงาน หรือเพื่อใช้ประกอบอาชีพหารายได้ แต่หลายคนอาจจะมีคำถามอยู่ในใจว่าการยื่นกู้ซื้อรถหรือขอสินเชื่อรถยนต์ใหม่จะต้องมีฐานเงินเดือนอยู่ที่เท่าไร และต้องมีเงินเดือนมากแค่ไหนถึงจะยื่นกู้ได้ วันนี้ เราจึงนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับการกู้ซื้อรถและการขอสินเชื้อรถยนต์ใหม่มาฝากกัน 


ก่อนอื่นสิ่งที่ควรรู้ก่อนจะกู้ซื้อรถ เราควรจะพิจารณาสถานะทางการเงิน และสภาพคล่องของตนเองเป็นอันดับแรก เพื่อจะได้ประเมินความเป็นไปได้ ในการผ่อนชำระค่างวดต่อเดือน ซึ่งการยื่นกู้ซื้อรถและขอสินเชื่อรถยนต์นั้น ผู้กู้จะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย คือมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และจะต้องมีหลักฐานรายรับที่ชัดเจนด้วย
ใครที่เป็นพนักงานบริษัทก็สามารถใช้สลิปเงินเดือน พร้อมด้วยหลักฐานการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยื่นดำเนินเรื่องได้ แต่หากใครทำงานอิสระ ก็จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานรายรับที่ได้รับในแต่ละเดือนเอาไว้ เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่ามีรายรับต่อเนื่องในทุกเดือน หรือมีเงินเข้าบัญชีจากหลายทาง เพียงพอที่จะดูแลหนี้สินใหม่ได้
ทั้งนี้ การคิดยอดผ่อนชำระนั้นจะไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน นั่นหมายความว่า หากคุณมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท คุณจะสามารถจ่ายค่าผ่อนชำระงวดรถได้สูงสุด 7500 บาท/เดือนนั่นเอง แต่ถ้าต้องการผ่อนชำระต่อเดือนให้น้อยลง ก็ควรวางเงินดาวน์ให้มากยิ่งขึ้น อย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะช่วยให้การขอกู้สินเชื่อรถยนต์ใหม่ผ่านการอนุมัติได้ง่ายขึ้น 


อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าเมื่อถอยรถใหม่ป้ายแดงมาใช้งานแล้ว ไม่ได้มีเฉพาะค่างวดรถเท่านั้นที่คุณต้องรับผิดชอบ แต่ยังมีค่าน้ำมันรถ ค่าประกันภัยรถ ค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ จากการนำรถเข้าเช็กระยะด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะมีรถใหม่ก็ต้องวางแผนการเงินให้ดี แม้ว่าเงินเดือนจะไม่ถึง 20,000 บาท ก็ยังสามารถมีรถได้โดยที่ยังมีสภาพคล่องทางการเงิน เพียงแต่ต้องมีเงินก้อนสำหรับการดาวน์รถที่มากพอ เพื่อที่จะได้ไม่มีภาระผ่อนค่างวดที่มากเกินไปนั่นเอง 


หากยังนึกภาพไม่ออกว่าควรวางเงินดาวน์สักเท่าไร ควรผ่อนนานแค่ไหนดี และกำลังตามหาสินเชื่อสำหรับรถโตโยต้าอยู่แล้วนั้น สามารถมาทดลองประเมินสินเชื่อรถยนต์เบื้องต้นได้เลยที่ https://www.tlt.co.th/calculator/car_model ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้นว่าหากต้องการผ่อนค่างวดไม่เกิน 7,000-8,000 บาท ต่องวด ควรจะวางดาวน์เงินเท่าไร และควรผ่อนกี่งวด ถ้าได้ราคาประเมินที่ต้องการแล้วก็สามารถขอสินเชื่ออนไลน์ผ่านทางลิงก์ https://www.tlt.co.th/onlineapp ได้เลย