ประเทศที่รวยที่สุดในโลก 2565

ประเทศที่ร่ำรวยมักจะมีคำจำกัดความทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันซึ่งบางประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการส่งออกในขณะที่บางประเทศขึ้นอยู่กับน้ำมันและก๊าซ

มาดูกันว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกตอนนี้คือกำลังซื้อจากกำลังซื้อ -Power-parity (PPP) ต่อคนหรือกำลังซื้อต่อประชากรต่อปีคืออะไร ...

ลองมาดูกันว่าประเทศที่ร่ำรวยที่สุด 5 อันดับแรกของโลกคืออะไรคุณคิดอย่างไร?

5. เนเธอร์แลนด์ $ 47,633 PPP ต่อคน
ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

มันเป็นประเทศที่มีประชากรเกือบ 17 ล้านคนและมีความเสี่ยงในการซื้อ (PPP) $ 47,633 เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีทิวลิปมากมาย

4. ไอร์แลนด์, $ 48,755 PPP ต่อคน


ประเทศที่สวยงามมีรายได้ $ 48,755 และประชากรน้อยกว่า 5 ล้าน อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ เหมืองแร่ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและ

3. ซาอุดิอาระเบีย $ 52,010 PPP ต่อคน
ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

บทความโดย pussy888thai

pussy888

2. US $ 54,629 PPP ต่อคน


ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่ใหญ่ที่สุดและเป็นมหาอำนาจในโลกที่มีประชากรมากกว่า 310 ล้านคน เหตุผลหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศคือเทคโนโลยี

1. สวิตเซอร์แลนด์ $ 57,235 PPP ต่อคน
ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์สำหรับวันหยุดพักผ่อนธนาคารและสถาบันการเงินของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนของอังกฤษเปิดโผ "เมืองร่ำรวยที่สุดในโลก ปี 2565" เมืองไหนครองอันดับ 1 เศรษฐีอาศัยอยู่กว่า 3 แสนคน

วันนี้(13 ก.ย. 65)เฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานชั้นนำระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับ 20 เมืองที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลกในปี 2565 ซึ่งผลปรากฏว่า สหรัฐอเมริกามีเมืองที่ติดอันดับมากที่สุด โดยนิวยอร์กครองแชมป์ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 345,600 คน ส่วนอีก 5 เมืองที่ติดอันดับประกอบด้วยซานฟรานซิสโก ลอสแอนเจลิส ชิคาโก ฮิวสตัน และดัลลัส

 สำหรับอันดับ 2 ตกเป็นของโตเกียว ด้วยจำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐรวม 304,900 คน ขณะที่ลอนดอนซึ่งครองแชมป์มาหลายปี หล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 4 ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 272,400 คน ส่วนทางด้านจีนมีสองเมืองที่เข้ามาติด 10 อันดับแรก ได้แก่ ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้

รายชื่อเมืองทั้งหมดที่ติดอันดับ 20 เมืองที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลกในปี 2565 ประกอบด้วย 

1. นิวยอร์ก 

2. โตเกียว

3. ซานฟรานซิสโก

4. ลอนดอน

5. สิงคโปร์

6. ลอสแอนเจลิส

7. ชิคาโก

8. ฮิวสตัน

9. ปักกิ่ง

10. เซี่ยงไฮ้

11. ซิดนีย์ 

12. ฮ่องกง (เขตบริหารพิเศษของจีน)

13. แฟรงก์เฟิร์ต

14. โทรอนโต

15. ซูริก

16. โซล 

17. เมลเบิร์น 

18. ดัลลัส

19. เจนีวา

20. ปารีส

ดร. ยอร์ก สเตฟเฟน (Dr. Juerg Steffen) ซีอีโอของเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ชี้ให้เห็นว่า 14 จาก 20 เมืองที่ติดอันดับอยู่ในประเทศที่มีโปรแกรมการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน (Investment Migration) "สิทธิในการอยู่อาศัย ทำงาน ศึกษาเล่าเรียน และลงทุนในศูนย์กลางการเงินชั้นนำระดับโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน สิงคโปร์ ซิดนีย์ และ โทรอนโต สามารถเข้าถึงได้ผ่านการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ ความสามารถในการโยกย้ายตัวเอง ครอบครัว หรือธุรกิจไปยังเมืองที่เอื้ออำนวยมากกว่า หรือการได้มีสิทธิเลือกถือสัญชาติของหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นแง่มุมที่มีความสำคัญมากขึ้นสำหรับลูกค้าในการวางแผนความมั่งคั่งและการจัดการมรดก"

 คุณแอนดรูว์ เอมอยล์ส (Andrew Amoils) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของนิวเวิลด์เวลท์ คาดการณ์ว่า จำนวนมหาเศรษฐีในดูไบ มุมไบ และเซินเจิ้น จะเพิ่มขึ้นจนเข้ามาติดอันดับ 20 เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกภายในปี 2573 "เมืองที่มีอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซแข็งแกร่งทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษในปีนี้ ซึ่งรวมถึงริยาด ชาร์จาห์ ลูอันดา อาบูดาบี โดฮา และลากอส ส่วนเมืองอื่น ๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วประกอบด้วย ลูกาโน เมืองในสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้มั่งคั่งที่เกษียณอายุแล้ว, บังคาลอร์ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ซิลิคอนแวลลีย์ของอินเดีย" และหางโจว เมืองที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจีน"

ดร. โฮเซ กาบัลเลโร (Dr. José Caballero) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากไอเอ็มดี เวิลด์ คอมเพททิทีฟเนส เซ็นเตอร์ (IMD World Competitiveness Center) กล่าวถึงรายงานพลเมืองโลกของเฮนลี่ย์ฉบับล่าสุดว่า "คุณภาพชีวิตคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการโยกย้ายทั่วโลก และสำหรับผู้บริหารธุรกิจแล้ว มาตรฐานชีวิตในระดับสูงและสถาบันต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ คือปัจจัยดึงดูดที่สำคัญของเมือง"

เป็นประจำทุกปีที่นิตยสาร Forbes จะประกาศการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลก ซึ่งในปี 2022 นี้เป็นการจัดอันดับครั้งที่ 36 ซึ่งพบว่าปีนี้ทั่วโลกมีมามหาเศรษฐีทั้งหมด 2,668 คน ลดลง 87 คนจากปีที่แล้ว

โดยปีนี้เหล่าคนที่รวยที่สุดในโลกมีทรัพย์สินรวมกัน 12.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (425 ล้านล้านบาท) ลดลง 4 แสนล้านเหรียญจากปี 2021

สาเหตุสำคัญมาจากสงคราม การระบาดที่ยังยืดเยื้อ และตลาดที่ซบเซา โดยที่น่าตกใจที่สุดก็คือในรัสเซีย ที่จำนวนมหาเศรษฐีลดลงจากปีที่แล้ว 34 คน

ที่ร้ายแรงกว่าก็คือในจีน ที่มหาเศรษฐีที่ติดอันดับมีจำนวนลดลงจากปีที่แล้ว 87 คน หลังโดนรัฐบาลไล่ปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีอย่างหนักนั่นเอง

แต่ถึงอย่างนั้น Forbes ก็พบว่าปีนี้มีมหาเศรษฐีกว่า 1,000 คนที่รวยขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ถึง 236 รายอีกด้วย ในจำนวนนี้ยังเป็นเศรษฐีจากบาร์เบโดส บัลแกเรีย เอสโตเนีย และอุรุกวัย ที่เป็นประเทศที่ติดอันดับเป็นครั้งแรกอีกด้วย

ประเทศที่รวยที่สุดในโลก 2565

สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำของโลกด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 735 คน มูลค่าทรัพย์สินรวมกัน 4.7 ล้านล้านเหรียญ โดย ‘อีลอน มัสก์’ ครองอันดับ 1 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก

ส่วนประเทศจีน (รวมมาเก๊าและฮ่องกง) มีจำนวนเศรษฐีรองลงมาคือ 607 คน มูลค่าทรัพย์สินรวม 2.3 ล้านล้านเหรียญ

สำหรับประเทศไทย อันดับ 1 ยังคงเป็น ‘เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์’ แห่งซีพี โดยอยู่ในอันดับ 137 ของโลก รองลงมาคือ ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ แห่งไทยเบฟเวอเรจ และอันดับ 3 คือ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ แห่ง GULF

ที่น่าสนใจคือหากดูจากการจัดอันดับนี้แล้ว ‘เฉลิม อยู่วิทยา’ แห่ง Red Bull ไม่ติด 1 ใน 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย ทั้งที่ในปีก่อนอยู่อันดับ 2