ข้อมูลหนังสือ รหัสสินค้า 9786162872921 รายละเอียดย่อ งบการเงินที่ดูซับซ้อน เข้าใจยาก
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ไม่ว่าคุณจะอยากรู้ฐานะทางการเงินที่แท้จริงของบริษัทใดๆ ก็ตาม เพื่อลงทุนในหุ้น ตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจด้วย หรือแม้แต่สมัครเข้าทำงาน อุปกรณ์ที่คุณต้องมีก็แค่ปากกา 3 สีด้ามเดียวเท่านั้น! เล่มนี้ซื้อมาเพราะอยากจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับการอ่านงบใหม่ เนื้อหาสอนอ่านงบดุล+งบกำไรขาดทุน+งบกระแสเงินสดแบบพื้นฐาน สอนใช้ ratio วิเคราะห์งบนิดหน่อย โดยทั้งหมดนี้ใช้ปากกา 3 สีในการช่วยทำความเข้าใจ
การอธิบายงบในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การเอางบมากางแล้วสอนอ่าน แต่จะเริ่มจากแนวคิดการทำงบ เช่นในบทงบดุลก็สมมุติว่าเราจะเปิดธุรกิจร้านพิซซ่า เราจะใช้ทุนจากไหน ซื้ออะไร รายการต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจจะไปอยู่ในส่วนไหนของงบดุล โดยรวมแล้วเนื้อหาอ่านง่าย อธิบายเป็นขั้นตอน เน้นคอนเสปกว้างๆ เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากทำความเข้าใจงบการเงิน แต่สำหรับคนที่ทำบัญชีเป็นหรืออ่านงบการเงินเป็นอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเล่มนี้ เพราะเนื้อหาเบสิคมากจริงๆ อาจมีคำถามว่าเป็นหนังสือแปลจากญี่ปุ่นแล้วเอามาใช้กับไทยได้มั้ย คือปกติแล้วการทำงบของทุกประเทศจะคล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นหนังสือแปลแต่คอนเสปทางบัญชีก็ไม่ต่างจากของไทย มีแค่รายละเอียดบางอย่างเช่นความนิยมในการแบ่งประเภทที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างที่ยกมาก็จะอยู่ในบริบทของญี่ปุ่น ถ้าไม่คุ้นเคยชื่อบริษัทพวกนี้อาจจะมีงงๆ กับตัวอย่างบ้าง ที่จะต้องมีส่วนประกอบตั้งแต่ ค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างเชฟ ค่าลงทุนซื้อเตาถ่าน เงินลงทุนในสินทรัพย์ส่วนอื่น ๆ เงินกู้ยืมจากธนาคาร เงินส่วนของนักลงทุน กำไรสะสมสุทธิ. หนังสืออธิบายออกมาได้ชัดเจนมาก ส่วนประกอบต่าง ๆ ถูกนำไปจัดวางในงบการเงินทั้ง 3 อย่างลงตัว การใช้สีช่วยให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ การจัดวางตำแหน่ง การใช้ตัวอักษร A B C และภาพประกอบที่เรียงเป็นขั้นตอน ทำให้คนอ่าน อ่านตามได้ง่าย . สรุปสั้น ๆ คือเป็นหนังสือที่ทุกคนที่ไม่เคยเรียนบัญชีมาก่อนควรอ่าน หรือแม้แต่คนที่เคยเรียนบัญชีมาแล้ว แต่ลืมไปหมดแล้ว มาอ่านเล่มนี้ก็สามารถนำเทคนิคไปใช้ช่วยอ่านงบการเงินได้เหมือนกัน . ผู้เขียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และเป็นที่ปรึกษาบริษัทขนาดเล็กในญี่ปุ่น หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่ รวบรวมเทคนิคสำหรับคนอยากอ่านบัญชีเป็น โดยการใช้ปากกา 3 สี เกิดจากการลองผิดลองถูกของตัวผู้เขียนเอง . สิ่งที่ส่วนตัวมองว่า เป็นข้อเสียของหนังสือคือ ตัวอย่างที่หนังสือใช้ บริษัทที่ยกมาเป็นบริษัทในญี่ปุ่นทั้งหมด พอการวิเคราะห์งบการเงินเกี่ยวข้องกับความเข้าใจในธุรกิจนั้น ๆ ขั้นพื้นฐาน ถ้าคนที่ไม่รู้จักบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้น อ่านแล้วอาจงงได้ ทำความเข้าใจตามยากหน่อย . อีกอย่างคือเรื่องการใช้ทีมเบสบอลมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งน่าจะมาจากความชอบส่วนตัวของผู้เขียน แต่เนื่องจากทีมเบสบอลไม่ได้เกี่ยวอะไรโดยตรงกับงบการเงินอยู่แล้ว เลยเข้าใจยากขึ้นไปอีกขั้น . อย่างไรก็ตามนับเป็นหนังสือน่าสนใจสำหรับมือใหม่หัดอ่านงบการเงินทุก ๆ คนครับ . ส่วนสรุปค่อนข้างทำออกมาได้ยากมาก เพราะจำเป็นต้องใช้รูปภาพประกอบในการอธิบาย สรุปส่วนนี้จึงเน้นที่หลักการสำคัญ 5 อย่าง ที่คนอ่านงบการเงินต้องเข้าใจคร่าว ๆ นะครับ . 1) กฏเหล็ก 4 ข้อของงบดุล งบดุลคือ งบที่แสดงให้เห็นถึง สินทรัพย์ เงินยืม และทุน ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง โดย เราอาจแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วน A อยู่ด้านซ้าย = สินทรัพย์ ส่วน B อยู่ด้านขวาบน = เงินยืม ส่วน C อยู่ด้านขวาล่าง = ทุน . กฎข้อที่ 1 คือ A = B+C สินทรัพย์ = เงินยืม + ทุน ทั้งด้านซ้ายและขวาจะต้องสมดุลกันเสมอ . กฎข้อที่ 2 คือ สินทรัพย์ (A) คือ สิ่งที่ได้จากเงิน หรือได้มาจาก ส่วน B + C นั่นหมายถึงสิ่งของรวมถึงเงินที่เหลืออยู่ . กฎข้อที่ 3 คือ เงินยืม (B) คือ เงินที่ต้องคืน ส่วนใหญ่คือ เงินกู้ธนาคารเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ . กฎข้อที่ 4 คือ ทุน (C) คือ เงินที่ไม่ต้องคืน รวมถึงเงินในการลงทุนก้อนแรก และกำไรสะสม . . 2) กฎ ของงบกำไร - ขาดทุน กฎเพียงข้อเดียวของงบกำไร - ขาดทุน คือ กำไร คือยอดที่เหลืออยู่จากการนำรายได้มาลบด้วยค่าใช้จ่าย . การคำนวณกำไรในงบกำไรขาดทุน อาจแบ่งออกเป็น 5 ขั้น ตั้งแต่ ขั้นที่ 1: กำไรขั้นต้น กำไรขั้นต้น หรือ กำไรหยาบ = รายได้/ยอดขาย - ค่าวัตถุดิบสินค้า . ขั้นที่ 2: กำไรจากการดำเนินงาน กำไรจากการดำเนินงาน = กำไรขั้นต้น - ค่าใช้จ่ายในการขาย/บริหาร . ขั้นที่ 3: กำไรจากกิจกรรมตามปกติ กำไรจากกิจกรรมตามปกติ = กำไรขั้นต้น + กำไรอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลัก . ซึ่งกำไรอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลัก เช่น การที่บริษัทนำสินทรัพย์ไปลงทุนหุ้น และได้รับปันผล หรือ การที่บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ . ในทางทฤษฎี กำไรจากกิจกรรมตามปกติ อาจมากกว่า หรือน้อยกว่า กำไรจากการดำเนินงาน ได้ . ขั้นที่ 4: กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ = กำไรจากกิจกรรมตามปกติ + กำไร/ขาดทุนพิเศษ . กำไร/ขาดทุนพิเศษ เป็นเรื่องที่นาน ๆ จะเกิดสักครั้ง เช่น การที่บริษัทนำที่ดินและอาคารที่ครอบครองไปขาย หรือการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ . ขั้นที่ 5: กำไรสุทธิ กำไรสุทธิ = กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ - ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือก็คือ กำไรสุทธิ =กำไรที่เหลืออยู่หลังจากนำรายได้มาหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบริษัทในรอบ 1 ปี . 3) รู้จักค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา คือ การลดราคาของสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร หรือ ม้าแข่งพันธุ์ดี . ข้อดีของค่าเสื่อมราคา คือการป้องกันความผันผวนของกำไร ที่จะทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ เช่น ถ้าม้าพันธุ์ดี สามารถนำมาแข่งได้ 4 ปี ถ้าปีที่ 4 ต้องขายสินทรัพย์นี้ออกไป กำไรบริษัทก็จะลดฮวบฮาบ นักลงทุนก็จะขาดความมั่นใจ การคิดให้ม้าค่อย ๆ เสื่อมราคาในแต่ละปี จะช่วยให้กำไรไม่ผันผวนมากนัก . แต่ต้องเน้นย้ำว่า ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง . 4) รู้จักงบกระแสเงินสด 3 ประเภท งบประแสเงินสดเป็นงบที่เอาไว้ช่ายดูสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท ช่วยให้ดูว่าบริษัทมีเงินสดพอที่ดำเนินธุรกิจต่อหรือเปล่า และทำให้เห็นชัดเจนว่า ธุรกิจมีเงินไหลเข้าและไหลออกทางไหนและอย่างไรบ้าง . 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน เงินที่ได้มาจากการดำเนินธุรกิจหลัก และจ่ายออกไปเพื่อการดำเนินธุรกิจหลัก . มักจะอยู่ในรูป สินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน . โดยทั่วไปควรจะเป็น บวก อยู่เสมอ เพราะหมายถึงรายได้จากการขายสินค้า/บริการ มากกว่าต้นทุน และค่าใช้จ่าย . และถ้ากระแสเงินสดตัวนี้ติดลบติดต่อกันหลายปี ก็จะค่อนข้างอันตราย . 2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน เงินที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตั้งแต่ เครื่องจักร ที่ดิน อาคาร และเงินที่ได้จากการขายสิ่งเหล่านั้น . โดยทั่วไป อาจเป็นลบได้ เพราะบริษัทอาจนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ . 3.กระแสเงินสดจากกิจกรรมการหาเงิน เงินที่บริษัทได้มาตอนหาเงินทุน หรือเงินที่จ่ายไปตอนชำระหนี้ . โดยทั่วไป อาจเป็นลบได้ เพราะนั่นหมายถึงบริษัทมีเงินในการชำระหนี้มากกว่าเงินที่กู้เข้ามา . . 5) 3 ประเด็นหลักในการวิเคราะห์งบการเงิน . ประเด็นที่ 1: วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร เป็นตัวชี้วัดของนักลงทุน ที่จะบอกว่า ถ้าลงทุนกับบริษัทนี้ จะได้กำไรเท่าไหร่ . โดยส่วนใหญ่จะดูจากค่า ROE (Return on Equity) ซึ่งคือ กำไรสุทธิ หารด้วย เงินทุนส่วนของเจ้าของทุน . . ประเด็นที่ 2: วิเคราะห์ความปลอดภัย เป็นตัวชี้วัดของธนาคารหรือผู้ที่ต้องการปล่อยสินเชื่อ เพื่อดูว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหรน . ตัวชี้วัด คือ อัตราส่วนเงินทุนส่วนของเจ้าของ ซึ่งเท่ากับ เงินทุนส่วนของเจ้าของทุน หารด้วย สินทรัพย์รวมทั้งหมด (เงินทุนส่วนของเจ้าของ + เงินที่ต้องคืน) . . ประเด็นที่ 3: วิเคราะห์ประสิทธิภาพ เป็นตัวชี้วัดที่ผู้บริหารมักดู เพื่อตัดสินว่า บริษัทนำสินทรัพย์ไปใช้อย่างให้เกิดประโยชน์และเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ . ซึ่งดูจาก อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม ซึ่งเท่ากับ รายได้ หารด้วย สินทรัพย์รวม . . กล่าวโดยสรุปหลักการอ่านงบการเงินยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก ใครสนใจต้องลองไปซื้ออ่านกันดูอีกทีครับ . . ......................................................................................................................... |