แน่นอนว่าชีวิตของเจ้าของบล็อกนั้น ก็ขึ้นเวทีมาบ้าง แต่ในงานที่พูดอังกฤษล้วนอย่างงาน Android Bangkok Conference ก็ใช่ว่าจะมั่นใจนัก เพราะว่าปีนึงพูดอังกฤษที เลยมาเสริมความมั่นใจกันสักหน่อย Show
แล้วพอดีเห็นคอร์สที่ชื่อว่า "การนำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษเบื้องต้น" หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า "Giving Basic Presentations in English" เลยลงเรียนกันสักหน่อย ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดแล้วเข้าเรียนได้ที่ Giving Basic Presentations in English รุ่นที่ 2 รายวิชาเรื่อง Giving Basic Presentations in English จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้เรื่องทักษะการนำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเพื่อสามารถเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ของการนำเสนอ รวมถึงได้รู้เกี่ยวกับเนื้อหาการนำเสนอ ขั้นตอนการเตรียมตัว การวางแผนการนำเส… จริงๆคือกดดูจาก https://mooc.chula.ac.th/courses/49 นั่นแหละส่วนอันนี้ก็คือ video แนะนำคอร์ส เนื้อหาในนี้เป็น text เยอะหน่อย ขออภัยมา ณ ตรงนี้ด้วย Ep 1: Introduction – Presentation componentsเป็นการเตรียมความพร้อม และองค์ประกอบที่ใช้ในการนำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษจ้า 1) Know the audience รู้จักลักษณะของผู้ฟังคนฟังมาจากสายงานเดียวกันกับเรานั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ก็สามารถใช้คำศัพท์เฉพาะวงการนั้นๆได้ ตัวอย่างมาจากเราเอง งาน Android Bangkok Conference เป็นงานประจำปีที่ Android Developer ต้องมาฟัง และคนพูดก็เป็น Android Developer เช่นกัน ดังนั้นก็ไม่ต้องปรับอะไรมากเนอะ แต่ถ้าเป็นงานที่กว้างหน่อยอย่าง Mobile Conf ที่มีเฉพาะ Mobile Developer หรือ Code Mania ที่เป็นโปรแกรมเมอร์ทุกสาย เนื้อหาก็ต้องปรับไปตามคนฟังด้วยงี้ 2) Know the venue and equipment รู้ข้อมูลสถานที่และอุปกรณ์นำเสนอvenue คือสถานที่ และ equipment คืออุปกรณ์ ดังนั้นข้อนี้หมายความว่า เราต้องรู้ว่าเราต้องพูดที่ห้องไหน ห้องนั้นเป็นอย่างไร มีอุปกรณ์อะไรบ้าง ระบบเสียงในห้องเป็นอย่างไร เราต้องเตรียมอะไรเพิ่มไหม ส่วนใหญ่ก็ไปดูเอาวันงานนี่แหละ ก่อนที่เราจะขึ้นไปพูด บางที่ค่อนข้างน่าเศร้าใจตรงพวกอุปกรณ์นี่แหละก็ต้องทำใจกันไป 3) Know the topic and purposes รู้หัวข้อและจุดประสงค์ในการนำเสนอการนำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 4 ข้อด้วยกัน คือ
บทเรียนจะแบ่งออกเป็น 3 ก้อนใหญ่ๆ คือ
Ep 2: Story message – Make it interesting right from the startในส่วนของ Introduction หรือการเริ่มต้นการนำเสนอข้อมูลจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ 1) Greeting การทักทายและแนะนำตัว
2) Subject หัวข้อในการนำเสนอ
3) objective / purpose วัตถุประสงค์ในการนำเสนอ
เช่น to update you on ... หรือ to give you information about ... 4) Length ความยาวในการนำเสนอแต่ส่วนตัวเราคิดว่าเขาน่าจะ fix เวลาพูดมาให้เราอยู่แล้วเนอะ เพราะมันก็ต้องนัดคนมาฟัง เรื่องความว่างของสถานที่ และอื่นๆอีก
5) Outline/Main Part หัวข้อหลัก และใจความสำคัญของเรื่องที่เราจะพูด
6) Question ให้คนฟังได้ถามเราเปิดโอกาสให้คนได้ถาม มี 2 แบบ คือ 1) ถามตอนจบการนำเสนอ
2) ถามระหว่างการนำเสนอ
ในส่วนนี้จะมีตัวอย่างจากอาจารย์ด้วยนะ Ep 3: Story message – Make it well–organized in the body partกล่าวถึงการใช้สำนวนภาษา เพื่อเรียบเรียงเนื้อหาให้ไม่ติดขัดในการนำเสนอผลงาน เรียกว่า Signpost ที่เปรียบเหมือนป้ายบอกทางว่าตอนนี้เราพูดถึงไหนแล้ว ให้ผู้ฟังเข้าใจ และตามเนื้อหาของเราได้อย่างไม่ติดขัด ใช้ Signpost เพื่อประโยชน์ดังนี้ 1) Saying what is coming เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
2) Moving on to the next point เรากำลังเปลี่ยนหัวข้อใหม่ไปที่หัวข้ออะไร
3) Indicating the end of the section เนื้อหาในส่วนนี้กำลังจะจบลงแล้ว
4) Referring back กล่าวถึงหัวข้อที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้ตัวประโยคตัวอย่างจะเกี่ยวกับ past tense นิดนึง
5) Summarizing a point กล่าวจบ หรือพูดสรุปในหัวข้อที่เราพูดถึง
สำนวนสำหรับเชื่อมประโยค ใช้นำหน้าคำนาม หรือกลุ่มคำนาม
ตัวอย่าง
Ep 4: Story message – Make it memorable at the endทำยังไงให้การจบการนำเสนอ น่าประทับใจ ประกอบด้วย 1) Signaling the end of the presentationบอกคนฟังว่า การนำเสนอของเราจะจบลงแล้วนะ หรือให้สัญญาณกับคนฟังบอกว่ากำลังจะจบแล้ว เช่น
2) Summarizing the main pointsสรุปเนื้อหาใจความสำคัญที่ได้กล่วไปแล้ว เช่น
3) Recommending or suggesting somethingการให้ข้อแนะนำและเสนอแนะบางอย่าง กับคนฟัง ตรงนี้จะมี หรือไม่มีก็ได้นะ เช่น
4) Inviting questionsเปิดโอกาสให้คนฟังได้ถาม ประโยคเชิญชวนให้คนฟังถามคำถาม เช่น
วิธีการจบการนำเสนอให้น่าสนใจusing question จบโดยการถามคำถาม ที่เชื่อมโยงกับคำถาม
quoting a well-known person การจบด้วยคำกล่าวของคนดังๆ
Ep 5: Verbal message – Stress in words and chunks in sentencesVerbal message คือการจัดการกับภาษาที่เราเปล่งออกไป Word Stress การออกเสียงหนักเบาในพยางต่างๆที่อยู่ในคำ และ Chunking การแบ่งกลุ่มคำ แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อ 1) Two-syllable wordsการลงคำที่มีสองพยางค์ ปกติจะเน้นเสียงหลักที่พยางค์แรก เช่น bottle plastic paper garbage burning warming problem project 2) Multi-syllable wordsการลงคำที่มีมากหรือหลายพยางค์
3) numberการอ่านตัวเลข ตัวอย่างคู่คำ คือ thirteen 13 เน้นเสียง teen และ thirty 30 เน้นเสียงหน้า thir hundred thousand billion จะเน้นเสียงหนักที่พยางค์หน้า 4) acronyms and abbreviationsการอ่านตัวย่อ โดยปกติจะเน้นพยางค์สุดท้าย เช่น A.I. (Artficial Intelligence) จะเน้นที่ I เนอะ ก่อนอื่นเราจะพูดถึงชื่อเต็มรอบนึงว่า คำย่อนี้เราจะพูดถึงอันนี้นะ เช่น A.I. refers to Artficial Intelligence. หรืออีกคำนึงคือ W.E.D. จะเน้นเสียงที่ตัว D ตัวอย่างประโยค W.E.D. refers to World Environment Day which is on the 5th of June every year. 5) words in chunksการแบ่งกลุ่มคำ สามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ
ตัวอย่าง
ท้ายบทมีสรุปจ้า Ep 6: Verbal message – Speak with techniquesเทคนิคในการนำเสนอ มีอยู่ด้วยกัน 3 เทคนิค เพื่อทำให้ประโยคของเราสละสลวย และสื่อสารไปถึงคนฟังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ 1) softeningทำให้ข้อมูลนุ่มนวลขึ้น ทำได้ 2 วิธีคือ ใช้คำที่มีความหมายบวก เช่น
และใช้คำเล็กๆ ลดความแรงของข้อมูล ใช้คำขึ้นต้นประโยคให้ดูไม่ฟันธงในข้อมูลมากเกินไป เช่น
หรือเอาคำเล็กๆไว้ท้ายประโยค เช่นใส่คำว่า a bit ตัวอย่าง We are going to reduce hard copies a bit. 2) repetitionการพูดคำนั้นซํ้าๆ โดยให้พูดซํ้าไม่เกิน 2 ครั้ง นักพูดมืออาชีพจะใช้คำซํ้าๆ เช่น more and more, better and better, greener and greener ตัวอย่างประโยค
หรือเราจะนำประโยคที่ใช้ซํ้า แยกที่กันได้ โดยมากเป็นคำสรรพนาม เช่น ขึ้นและลงด้วยคำว่า everybody ตัวอย่าง
3) triplingคือการนำคำ 3 คำมาวางเรียงกัน เพื่อให้เกิด impact ในการนำเสนอผลงาน เป็นศิลปะในการดึงดูดความสนใจให้ผู้ฟัง อาจจะวางเรียง คำคุณศัพท์ 3 คำ คำกริยา 3 คำ คำนาม 3 คำ วลี 3 ก้อนก็ได้ คำคุณศัพท์ 3 คำ ตัวอย่างนำคำคุณศัพท์ที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาไว้ด้วยกัน
ตัวอย่างประโยค We should purchase reusable and refillable containers rather than disposable ones. คำนาม 3 คำ
ตัวอย่างประโยค Awareness, engagement and perpetuation is the way forward to the success in improving the quality of the environment. คำกริยา 3 คำ
ใช้คำวลี 3 วลี
ตัวอย่างประโยค We should say no to plastic bags, we should say no to disposable containers, and we should say no to printing materials. ทั้งหมดนั้นจะต้องเกิดจากการวางแผนที่ดีด้วยเนอะ Ep 7: Visual message – Say it right on screenหัวข้อใหญ่สุดท้ายนี้กล่าวถึง สื่อที่ใช้ประกอบในการนำเสนอ ในบทนี้จะพูดถึง 2 เรื่องหลักๆคือ 1) Structure of the slidesโครงสร้างและรูปแบบในการเตรียมสไลด์ visual หรือสื่อประกอบการนำเสนอ จะเป็นอะไรก็ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสไลด์อะเนอะ โดยมี key message คือ visuals go with the content สื่อการนำเสนอจะต้องสอดคล้องที่เราพูด และโครงสร้างจะมี introduction, body และ conclusion โดยเราจะไม่ระบุลงไปตรงในสไลด์เนอะ จะใช้รูปภาพ หรือ keyword ต่างๆแทน เพื่อให้ดูน่าสนใจ format ของ slide ขึ้นอยู่กับผู้ฟังและวัตถุประสงค์ของเรื่องนั้นๆ จะมีรูปแบบดังนี้
ข้อควรคำนึงถึงการออกแบบสไลด์ 3 ประการ โดยจะเน้นภาษาที่ใช้ในการนำเสนอบนสไลด์ 1) Relevant and high-quality photos หารูปภาพที่เกี่ยวข้องมาประกอบ และรูปควรจะมีความละเอียดเยอะ เพื่อไม่ให้ภาพแตกในตอนนำเสนอ 2) Easy-to-read fonts เราจะต้องพิจารณาถึง font size และ font type โดยจะต้องอ่านง่าย สไลด์การนำเสนอของเราจะเป็น visual aids 3) One key message per slide มีเพียง 1 ประเด็นต่อ 1 slide เท่านั้น หารูปภาพปังๆพร้อม keyword ไม่กี่คำ
จะแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลตามที่เราพูด หรือคำเฉพาะมากๆจะหาภาพมาประกอบได้ยาก เช่น techincal field ต่างๆ สามารถใช้กฏ Rules of five or six ในการกำหนดให้แต่ละสไลด์มีไม่เกิน 5-6 ประเด็นเท่านั้น ตัวอย่างจากในรูปเลยจ้า เราจะต้องใช้ set one pint at the time คือการใช้ animation เพื่อแสดงทีละประเด็นออกมาให้คนฟังได้อ่าน เพื่อไม่ให้เขาอ่านหัวข้อที่เรายังไม่ได้พูดไปก่อนล่วงหน้า 2) consistency of the language useภาษาที่ใช้บนสไลด์ ถ้าเป็น Ballroom Style เราจะใช้ keyword ไม่กี่คำ ประโยคสั้นๆ ทำให้เราไม่ต้องกังวลมากนัก แต่ถ้าเรามีมากกว่า 1 key message per slide จะต้องดู consistency of the language use ก็คือ ความสมํ่าเสมอ ความไปด้วยกันของภาษาบน slide เช่น ในตัวอย่าง ทุกประโยคขึ้นต้นด้วย Verb หรือตัวอย่างนี้โครงสร้างจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ผิดจ้า Ep 8: Visual message – Language for graphs and chartsนำเสนอตัวเลขต่างๆด้วย graphs หรือ charts จะทำให้คนฟังเห็นความสัมพันธ์ของตัวเลขได้มากขึ้น ในบทเรียนนี้จะแบ่งเป็น 2 เรื่องด้วยกัน คือ Which graph to choose? ควรเลือกใช้กราฟอะไรดีไม่ควรนำ Infographics มาใช้ในการนำเสนองาน โดยการแปะไว้บนสไลด์ เพราะว่า Infographic นั้นเป็นการสรุปเนื้อหาทุกอย่างมาอยู่ใน poster เดียวกันเนาะ ซึ่งจะไม่เหมาะกับการอธิบายแบบปากเปล่า ถ้าสนใจเรื่อง Infographics สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ เรียนรู้การสร้าง Infographics กันแบบง่ายๆเพียงมี Powerpoint และเราก็ได้ลง course ใหม่ประจำเดือนกรกฏาคม ชื่อว่า การสร้าง Infographics: What & How? นั่นเอง MikkiPastel StudioMinseo Chayabanjonglerdดังนั้น เราควรเลือกจากวัตถุประสงค์ และข้อมูลที่เรามี เช่น
ควรนำข้อมูลตัวเลขที่เป็นตาราง แปลงเป็นกราฟประเภทต่างๆ และสามารถนำเสนอข้อมูลพวกนี้ด้วยกราฟประเภทอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม เช่น
Language for describing graph and charts ภาษาที่ใช้มี 3 step ด้วยกันคือ 1) signposting to talking about graphs/charts เกริ่นนำว่าเราจะพูดถึงกราฟนี้แล้วนะ
2) introducing graphs/charts บอกว่าเนื้อหาของกราฟนี้เกี่ยวกับอะไร
ตัวอย่างประโยคจ้า 3) explaining key messages from graphs/charts key messages คือเลือกประเด็นที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับที่เรากำลังพูดถึง เช่น พูดตอนที่เรากำลังจะชี้กราฟตรงนั้น
เวลาที่เราอธิบายเนื้อหา หรือประเด็นหลักๆนั้น มีตัวอย่าง 2 แบบ ก็คือ 1) Talking about trends and figures การอธิบายตัวเลขหรือแนวโน้ม บน graphs หรือ charts นั่นเอง Trends ตัวอย่าง ตัวอย่างคำศัพท์ในการบอกเทรน จะมี
adv ที่บอกความเร็วความแรง จะมี
Tense ที่ใช้
Figures คิดเป็น .. %
ตัวอย่าง The largest proportion of air pollution causes is vehicles, which make up 28% of the total. 2) Describing causes and consequence การบอกเหตุและสิ่งที่ตามมา ตัวอย่างประโยค
กลุ่มคำเพื่อบอกเหตุและเล่าถึงผลที่ตามมา จะมี result in, due to, because of, cause, caused by, consequently, so, because ตัวอย่างประโยค I'd like you to take a look at this line graph. It compares the amount of plastic waste in the past three years. As you can see from the graph, the amount of plastic waste has declined significantly because people are more concerned about the environment. Consequently, the plastics industry was able to report a reduction in its carbon footprint earlier this year. Ep 9: Conclusionการฝึกซ้อม ช่วยทำให้การนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ดี และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แหล่งข้อมูลในการเรียนรู้ ที่แรกหนีไม่พ้น TED Talk เราจะได้ฟังเนื้อหาที่หลากหลาย ได้ตัวอย่างการพูด ฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ และได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆจาก transcripts TED: Ideas worth spreading TED Talks are influential videos from expert speakers on education, business, science, tech and creativity, with subtitles in 100+ languages. Ideas free to stream and download. TED Talksหรือของสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีรายการที่ชื่อว่า "PRESENTATION TIPS @ HOME WITH AJ.P'JOY" เกี่ยวกับการนำเสนอผลงานจ้า CULI CULI, กรุงเทพมหานคร. ถูกใจ 13,934 คน · 60 คนกำลังพูดถึงสิ่งนี้ · 1,218 คนเคยมาที่นี่. Chulalongkorn University Language Institute (CULI) สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางเราก็หวังว่าการสรุปคอร์สเรียนนี้จะได้ประโยค เอ้ยย ประโยชน์กันไม่มากก็น้อยเนอะ สุดท้ายฝากร้านกันสักนิด ฝากเพจด้วยนะจ๊ะ
และฝากช่องทางใหม่ ทาง Twitter ฮับ
|