แนวโน้ม อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี 2565

ทิศทางการลงทุนในปี 2565 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับฟันเฟืองเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวทั้ง ภาคการบริโภค, การลงทุน, การส่งออก รวมไปถึงการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีระหว่างทางอาจเผชิญปัจจัยกดดันบ้าง เช่น ในช่วงต้นปีระมัดระวังแรงขาย LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฎิทิน อีกทั้งยังคงต้องติดตามความชัดเจนในการเก็บภาษีซื้อขายหุ้น  รวมถึงปัจจัยเดิมๆ เช่น การแพร่กระจายของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ส่วนปัจจัยภายนอกติดตามการดำเนินนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ด้วยปัจจัยกดดันทั้งหลายเหล่านี้ เรามองเป็นโอกาสดีที่ควร "หาจังหวะซื้อ" โดยเชื่อว่าแนวโน้มระยะกลาง ตลาดยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้น

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วง 1Q65 คาดตลาดแกว่งขึ้น โดยประเมินกรอบแกว่ง 1600-1700 จุด แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าทั้งภาคการบริโภคในประเทศที่ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ การส่งออกที่เติบโตดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัว การฉีดวัคซีนที่ทั่วถึงขึ้นหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวจะค่อยๆฟื้นตัว และมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล กระตุ้นบาทแข็ง เอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า ส่วนปัจจัยเสี่ยงแนะระวังแรงขาย LTF ครบกำหนด, ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น, สภาพคล่องที่ลดลง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

สำหรับปี 2565 เราประเมินกำไรต่อหุ้นของ SET ที่ 94.2 บาทต่อหุ้น (+13%YoY) อิง PE Ratio ที่ 18.6 เท่า เทียบเคียงกับระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีของ SET + 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง ได้แก่ 1.แรงขาย LTF ครบกำหนด แนะเพิ่มความระมัดระวังในช่วงต้นปี จากโอกาสเกิดแรงขายจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฎิทิน (ซื้อเมื่อปี 2559) โดยหากประเมินเม็ดเงินจากยอดซื้อสุทธิในปี 2559 ราว 2.2 หมื่นล้านบาท มีโอกาสถูกไถ่ถอน (Redemption) เป็นแรงกดดันระยะสั้นต่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ดีมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ตลาดย่อตัว 2.เศรษฐกิจจีนชะลอตัว คาด GDP จีน ปี 65 ที่ +5.2% เติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลงจากปี 64 ที่ +8% แรงกดดันจากทั้งประเด็น COVID-19, มาตรการรัฐฯที่เข้มงวดมากขึ้น ผสานความเสี่ยงบริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่ของจีนที่ผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจลามไปยังบริษัทอื่นได้ แต่อย่างไรก็ดีภาครัฐฯก็พยายามอัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการลด RRR ดังนั้นผลกระทบโดยรวมอาจยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 3.การเก็บภาษีเทรดหุ้น มาตรการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม โดยปัจจุบันรัฐฯกำลังศึกษา 2 แนวทางคือ 1) ภาษีการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) และ 2) ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital gain Tax) โดยในเบื้องต้นเราคาดว่าภาครัฐฯมีโอกาสเก็บภาษีการขายหุ้น (ข้อ1) เนื่องจากใช้ข้อมูลในการจัดเก็บภาษีได้ง่ายกว่าภาษีกำไรจากการขายหุ้น ซึ่งจะค่อนข้างยากต่อการคิดต้นทุน โดยหากใช้จริงคาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนเนื่องจากทำให้ต้นทุนของนักลงทุนมากขึ้น และน่าจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดชะลอตัวลงเช่นกัน

กลยุทธ์การลงทุน : แนะทยอยสะสมหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวดี ขานรับเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้น ท่ามกลางวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ผสานหุ้นปันผลสูงที่เป็นเป้าหมายนักลงทุนสถาบันช่วงต้นปี โดยเราเลือก ASK, GULF, SCC, SPRC, WICE เป็น 1Q65 Quarterly top picks

1.ASK เป้าหมาย 55 คาดกำไรปี 64-65 เติบโต 35% YoY ต่อปี และจะเติบโต QoQ แตะระดับสูงสุดใหม่ทุกไตรมาสใน 4Q64-4Q65 รายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมโตแข็งแกร่ง จากยอดขายรถบรรทุกในประเทศที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากนายหน้าประกันภัยเติบโตสูง ราคาหุ้นเทรด PE ปี 65 เพียง 14.5x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 24x

2.GULF เป้าหมาย 48 คาดกำไรปี 2565 เติบโต +45%YoY เด่นสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เราศึกษา กำลังการผลิตรวมปี 65 เพิ่มขึ้น 33% สู่ 5,045 MW เน้นพลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยคาดปีหน้าเพิ่มขึ้นราว 200-400 MW ราคาก๊าซเพิ่มขึ้นกระทบจำกัด (รายได้จากนิคมฯเพียง 10% ของทั้งหมด)

3.SCC เป้าหมาย 520 ปี 2565 จะแยกธุรกิจปิโตรเคมีเข้าตลาด ช่วยเพิ่มมูลค่า และ ศักยภาพโต แนวโน้มในระยะยาวจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต ธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มกำลังการผลิต 55% บรรจุภัณฑ์ครบวงจรโตเท่าตัวใน5ปี วัสดุก่อสร้างเน้นโซลูชั่น หุ้นซื้อขาย PE ต่ำ และ ปันผลดี กระแสเงินสดสูงขยายการลงทุนต่อเนื่อง

4.SPRC เป้าหมาย 11.2 คาดค่าการกลั่นปี 65 ปรับตัวขึ้นสู่ 4.5-5 USD/bbl จากปีนี้ที่ 3.4 USD คาด Utilization Rate ปี 65 ขึ้นสู่ระดับ 85-90% จากปี 64 ที่ 74% ความต้องการ Gasoline สูงขึ้น คาด Spread ที่ 11-12 Vs เฉลี่ย 9 USD คาดปี 65 จะกลับมาจ่ายปันผลได้ราว 5% และ D/E ต่ำเพียง 0.3x

5.WICE เป้าหมาย 22.1 แนวโน้มกำไร 4Q64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน นอกจาก sea freight แล้ว WICE เด่นกว่ากลุ่มด้วยธุรกิจ cross border โต +159% YoY สัดส่วนรายได้ 28% Cross border กำลังเร่ง GPM ทั้งจากบริการ LTL และ Road-Rail ซึ่งได้ประโยชน์จากรถไฟจีน-ลาว

นายธีรัช ศฤงคารินทร์ Marketing Analyst บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และ นางสาวนิรมล วุฒิพฤกษ์ Manager, Business Planning and Risk Management บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด กล่าวถึงผลกระทบต่อ Polyethylene/Polypropylene ว่า หลังเข้าสู่ยุค New Normal โลกกลับมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอีกครั้ง ภาคอุตสาหกรรมการผลิต Polyethylene/Polypropylene และ Brand Owner ต่างก็ต้องปรับตัว ความต้องการสูงขึ้น แต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี หลังจากนี้ ต้องหันมาดูในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น

การใส่ใจสิ่งแวดล้อมจากธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล, การออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ง่ายต่อการรีไซเคิล เพราะพลาสติกสูงถึง 41% ในประเทศถูกใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ ประกอบกับหากผู้ใช้พลาสติกรู้จักวิธีจัดการให้เหมาะสม และยังสามารถมีส่วนร่วมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ เพียงแค่รู้จัก Reuse นำพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำ, ช่วยกันแยกขยะอย่างถูกวิธี และนำไป Recycle/Upcycle ต่อไป

แนวโน้ม อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี 2565

แนวโน้ม อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี 2565

โรงกลั่นในอนาคตจะผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยลง แต่เพิ่มการผลิตสารเคมีมากขึ้น

นายสิรวิชญ์ สมรัตนกุล นักวิเคราะห์การพาณิชย์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระบุว่า โรงกลั่นหลังจากนี้มีแนวโน้มผลิตเชื้อเพลิงน้อยลง และผลิตสัดส่วนสารเคมีเพิ่มมากขึ้น จึงผลักดันให้ตลาดเติบโตมากขึ้น แต่เราก็ยังคงต้องรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันด้วย ปัจจุบันเราสามารถผลิตพลาสติกจากธรรมชาติ (Bio-materials) ที่อาจเข้ามาแทนที่การใช้พลาสติกจากน้ำมัน (Fossil-based) ในอนาคตได้ แต่ข้อจำกัดของพลาสติกจากธรรมชาติ คือ ต้นทุน และความสามารถในการผลิตในจำนวนมากที่ยังมีข้อจำกัด

ขณะที่การแบนพลาสติกใช้ครั้งเดียว (Ban single-used plastic) กลายเป็นปัจจัยลบในตลาดนี้ แต่พลาสติกที่ใช้ในกลุ่มยานยนต์ ทั้งในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงเติบโตอยู่ จึงเชื่อว่าจะเข้ามาทดแทนส่วนที่ถูกแบนไป

แนวโน้ม อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี 2565

ดังนั้นแนวทางการปรับตัว และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพลาสติกหลังสถานการณ์ COVID-19 รวมถึงนโยบาย และแผนงานด้านความยั่งยืนของทุกภาคส่วน จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคต ทั้งในระดับประเทศ ระดับหน่วยงาน องค์กร ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น