ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในชีวิตของเราต้องสัมพันธ์อยู่กับบุคคลหลายประเภท แต่ละประเภทล้วน มีปทัสถานใน การปฏิบัติต่างกันออกไป นักวิชาการได้จัดจำแนกประเภท ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยอาศัยระดับความสัมพันธ์เป็นเกณฑ์ จากผิวเผินไปสู่ลึกซึ้ง การจัดประเภทเช่นนี้จะทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะ คาดหวังอะไรจากกันและกันได้และจะเตรียมตัวติดต่อกันอย่างไร จึงจะไม่เกิดปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในที่นี้จำแนกเป็น 3 ระดับ คือ Show 1. คนรู้จัก คนรู้จักนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน การสื่อสารกันมักเป็นเรื่องของ ข้อเท็จจริงและจาก ข้อเท็จจริงก็จะประเมินว่า ควรจะสร้าง ความสัมพันธ์ ในระดับต่อไปหรือไม่ คนรู้จักกันนั้นจะใช้ยุทธวิธีในการสื่อสาร เพื่อหาข้อเท็จจริง จากกันและกันใน 3 ประเภท
จากข้อมูลที่ได้มาไม่ว่าจะโดยวิธีใด คนเราจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อกรองว่าเราจะสัมพันธ์กับคนผู้นั้นต่อไปในระดับใด ความสัมพันธ์อาจเป็นไปในระดับเดิม หรือเพิ่มระดับไปสู่ความลึกซึ้ง หากข้อมูลที่รับมาก่อให้เกิดความพอใจ แต่หากข้อมูลที่รับมาเป็นข้อมูลที่ไม่น่าพอใจเราก็อาจเลือกที่จะไม่พบกันต่อไปอีก 2.
เพื่อน คำว่าเพื่อนเป็นคำที่พูดง่ายแต่ให้ความหมายยาก เพราะเพื่อนเป็นบทบาทที่เกิดขึ้นได้ในคู่สัมพันธ์ทุกประเภท ตั้งแต่เพื่อน กับเพื่อนจริง ๆ เพื่อนในระหว่างสามีภรรยา นายกับลูกน้อง ครูกับศิษย์ หรือแม้แต่พ่อแม่กับลูก เมื่อเอ่ยถึงคำว่าเพื่อน นักมนุษยสัมพันธ์ได้เสนอว่า หมายถึงความสัมพันธ์ ที่มีลักษณะพิเศษ ดังนี้ (Reardon, 1987) 2 .1 เพื่อนมีสถานะพิเศษในชีวิต เป็นคนที่เราไว้ใจและเป็นที่ยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเป็น ความสัมพันธ์แบบ
ไม่เอาเปรียบ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าคนเราจะ ไม่รับสิ่งใดจากเพื่อน แต่การได้สิ่งใดจากเพื่อนนั้นเป็นการได้มาโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตน ถูกบังคับหรือขู่เข็ญ 2 .2 เพื่อนมีฐานอยู่บนความเท่าเทียมกัน หมายถึงว่า ระหว่างเพื่อนไม่มีใครมีอำนาจหรือ อิทธิพลเหนือใคร แม้ว่าอีกคนหนึ่ง จะมีสถานภาพเหนือกว่า และตรงจุดนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บุคคลมีเพื่อนที่มีสถานภาพทางสังคมหรือเศรษฐกิจต่างจากตนเองมาก ๆ ได้ เนื่องจากอาจเกิดความขัดแย้งระหว่างบทบาทขึ้น 2 .3 เพื่อนต้องยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งจะรู้ได้จากการสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งว่าคล้อยตามกฏของความเป็นเพื่อนหรือไม่ กฏของความเป็นเพื่อน โดยทั่วไปประกอบด้วย
อย่างไรก็ตามนักวิชาการบางท่านได้สำรวจกฏดังกล่าวและเสนอว่ากฏเหล่านี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้รางวัลสำหรับความเป็นเพื่อน โดยพยายามหลีกเลี่ยง ความขัดแย้งซึ่งเป็นปรากกการณ์อีกด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างเพื่อน สำหรับการที่ยอมรับใครเข้ามามีความสัมพันธ์ในระดับเพื่อนนั้น เป็นไปตามทฤษฎีการเกิดความสัมพันธ์และสาเหตุการเกิดความสัมพันธ์ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป 3. ระดับลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ในระดับนี้เป็น ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เปิดตนเองต่อกันมาก ขึ้นต่อกัน และกันสูง มีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องมาก ความสัมพันธ์เช่นนี้ปรากฏอยู่ในสามี-ภรรยา พ่อแม่-ลูก พี่-น้อง เพื่อนสนิท คู่รัก หรือลักษณะอื่น ๆ มีข้อค้นพบที่น่าสนใจสำหรับความสัมพันธ์ประเภทนี้ ดังนี้ 3.1 คู่สัมพันธ์ระดับลึกซึ้งมักคาดหวังจากกันและกันสูง เกินกว่าขอบเขตที่เป็นจริง เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดก็มักกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง การเกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การที่บุคคลจะเลือกมีความสัมพันธ์กับใครเป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาสังคมให้ความสนใจมาก นักวิชาการในสาขานี้ได้พัฒนาทฤษฎีและข้อคิดเห็นเพื่อนำมาอธิบาย ดังนี้ (Organ & Hamner, 1982) 1. ทฤษฎีอธิบายการเกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 1.1 ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน 1.2 ความคล้ายคลึงของเจตคติ 1.3
การเติมความแตกต่างให้สมบูรณ์ 1.4
การเปรียบเทียบทางสังคม 1.5 ตัวแบบเสริมแรง 2. สาเหตุโดยทั่วไปของการเกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2.1
การมีจุดมุ่งหมายที่สอดคล้องกัน 2.2 ความต้องการใฝ่สัมพันธ์ 2.3 ความพอใจในกิจกรรมของผู้อื่น 2.4 การส่งเสริมสถานภาพส่วนตัว 2.5
การลดความวิตกกังวล 2.6 การใช้ความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเครื่องมือสำหรับการบรรลุจุดมุ่งหมายส่วนตัว ขั้นตอนของการเกิดความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนไข และเงื่อนไขที่สำคัญ คือ ท่าทีและความรู้สึกที่เราแสดงต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ท่าทีเหล่านี้มีผลอย่างยิ่ง ต่อการงอกงามและการสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ซึ่งกระบวนการเกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นเป็นไปตามขั้นตอน ดังนี้ 1. การเริ่มความสัมพันธ์ มีปัจจัยจำนวนมากที่มีอิทธิพลต่อการเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่ได้รับความสนใจ กันมาก ได้แก่ ก) การมีลักษณะทางกายที่ดึงดูดใจ ข) ความถี่ของการได้พบปะกัน และ ค) ความคล้ายคลึงกันในลักษณะต่างๆ 2. การสร้างความสัมพันธ์ ขั้นตอนที่สองนี้ยากที่จะระบุให้ชัดเจนลงไป แต่โดยทั่วไปจะเกิดใน 2 ลักษณะ
คือ 3. การกระชับความสัมพันธ์
ในขั้นนี้ต่างฝ่ายต่างพยายามหาวิธีรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันโดยการรักษาความน่าสนใจในการอยู่ร่วมกัน เรียนรู้นิสัยของอีกฝ่ายหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พัฒนานิสัยบางอย่างของตนเพื่อ การตอบสนองและการปรับตัว ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างต้องทำเช่นนี้ด้วยกัน ความสัมพันธ์จะเริ่มงอกงามจนรับรู้ได้ ทั้งคู่จะขึ้นอยู่กับกันและกันมากขึ้น มีพันธะในการคบหากันในลักษณะของการทำประโยชน์ให้แก่กันและกัน 4. การจบความสัมพันธ์ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ มีการเริ่มต้นและมีการสิ้นสุดและ การสิ้นสุดความสัมพันธ์มักตามมาด้วยความรู้สึกทางลบหรือความขัดแย้ง ในการจบความสัมพันธ์มีขั้นตอนที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ (Duck, 1982) 4.1 ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ กระบวนการติดต่อสื่อสารในตอนแรก ได้กล่าวไว้ว่า การติดต่อสื่อสารเป็นกระบวนการ นั่นหมายถึงว่า เป็นการกระทำที่มีขั้นตอนและมีลำดับของการแปรเปลี่ยน จากขั้นตอนหนึ่งไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นจุดเริ่มต้นที่สะดวกที่สุดในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี คือ การทำความเข้าใจกระบวนการสื่อสาร อันประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน คือ องค์ประกอบของการสื่อสารและขั้นตอนที่การสื่อสารดำเนินไป 1. องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสาร สำหรับในช่วงแรกนี้ เพนรอด (Penrod ,1983: 254) ได้เสนอความคิดว่า กระบวนการสื่อสารจะปรากฏเมื่อผู้สื่อสารตัดสินใจส่งสารไปยังผู้รับ โดยสารจะเริ่มในสมองของผู้ส่งซึ่งถือว่าเป็นแหล่งของข้อสนเทศแล้วจึงจะถูกส่งไปยังสมองของผู้รับ ซึ่งถือว่าเป็นปลายทางของการส่งสารด้วย วิธีการแบบใดแบบหนึ่ง และในขณะที่ส่งสารไปยังช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ นั้นอาจเกิดสิ่งรบกวนขึ้นได้ จากกระบวนการดังกล่าวจะเห็นว่า การสื่อสารจะปรากฏขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ และแสดงให้เห็นตามภาพ แหล่งที่มา : ดัดแปลงจาก Penrod, 1983, 254 จากภาพจะเห็นว่าองค์ประกอบเบื้องต้นของการสื่อสาร ได้แก่ 1.1 ผู้ส่งสารอันเป็นแหล่งของสารสนเทศที่ถูกส่งออกไป 1.2 สาร สิ่งที่เรียกว่าสารนั้นประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความรู้สึก เจตคติ การคาดการณ์ ข้อแนะนำ และความคิดเห็น เป็นต้น
การส่งสารไปก็เพื่อให้ผู้รับเกิดความรู้ ความรู้สึก หรือเกิด พฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง 1.3 สื่อ อันหมายถึงสิ่งที่เลือก เพื่อใช้ส่งสารไปยังผู้รับ สื่อสารเป็นภาษาพูดหรือเขียน ท่าทาง หรือสัญลักษณ์เฉพาะอย่าง ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้รับเข้าใจสิ่งที่ส่งไปได้ตรง ถูกต้องและชัดเจนตามความตั้งใจของผู้ส่งสาร 1.4 ผู้รับสาร อันอาจเป็นได้ทั้งบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งจะเป็นผู้รับสารที่ส่งมา ซึ่งในส่วนของการรับสารนี้จะมีการตีความสารที่ได้รับ ปรากฏการณ์ที่แสดงว่าผู้รับสารได้รับสารและตีความแล้ว คือ ผู้รับสารจะมีการสนองตอบต่อสาร เช่น คล้อยตาม ขัดแย้ง ต่อต้านหรือแม้แต่เป็นกลาง เมื่อสารถึงปลายทางแล้วจึงถือว่ากระบวนการสื่อสารได้เกิดแล้วอย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตามในระหว่างกระบวนการสื่อสารนั้นอาจมีสิ่งที่เรียกว่า สิ่งรบกวน (noise) ปรากฏอยู่ด้วย ดังนั้นในการสื่อสารครั้งหนึ่ง ๆ ผู้รับอาจได้ไม่ตรงกับความตั้งใจที่ผู้ส่งตั้งใจส่งมา ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งรบกวน สิ่งรบกวนของการสื่อสารจำแนกได้เป็น 2 ประการใหญ่ ๆ ประการแรก มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น แสง สี เสียง เป็นต้น และประการที่สอง มาจากปัจจัยภายในตัวบุคคลเอง เช่น ความคิดและความรู้สึกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่รับสาร สิ่งรบกวนทั้งสองประการนี้ถือว่าทำให้เกิดความสื่อสาร เกิดการลัดวงจรขึ้น 2. ขั้นตอนการสื่อสาร กระบวนการติดต่อสื่อสารจะเริ่มจากการเกิดความคิดของผู้ส่งสาร โดยผู้ส่งจะเริ่มจัดระบบความคิดของตนเองที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ก่อนที่สารจะถูกส่งออกไปจะต้องถูกนำมาเข้ารหัส เสียก่อน โดยเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของถ้อยคำหรือท่าทาง ทั้งนี้เพื่อให้สารที่ส่งออกไปตรงกับความคิดความรู้สึก เจตคติความตั้งใจของผู้ส่งสารขณะเดียวกันก็เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจได้ ซึ่งในบรรดา
พฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อการติดต่อสื่อสารนั้น ที่สังเกตได้ พบว่า 7% เป็นภาษาถ้อยคำแต่อีก 93% เป็นภาษาท่าทาง สื่อที่ใช้ส่งสารอาจอยู่ในรูปอื่น ๆ ได้อีก เช่น รูปภาพหรือแผนภูมิ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ในการโฆษณาสินค้า มักใช้ภาพเป็นสื่อในการบอกความคิด ในการประชุม มักใช้แผนภาพ ตารางหรือกราฟในการแสดงข้อมูล เป็นต้น เมื่อสารมาถึงผู้รับก็จะมีกระบวนการรับสารเกิดขึ้น โดยผู้รับจะตีความสารที่ผู้ส่งส่งออกมาชึ่งเรียกว่าเป็นกระบวนการเข้ารหัส สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในกระบวนการนี้ ได้แก่ การรับรู้ ประสบการณ์และความรู้สึกของผู้รับ เมื่อตีความได้อย่างไรแล้วผู้รับก็อาจโต้ตอบกลับไปยังผู้ส่งตามความเข้าใจของตนเอง ปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารอย่างไรก็ตามในการติดต่อสื่อสารแต่ละครั้ง จากประสบการณ์ของพวกเราทุกคนล้วนทราบดีว่าไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จเสมอไป หลายต่อหลายครั้ง ที่การติดต่อสื่อสารสร้างความเข้าใจผิดและลุกลามไปถึงการทำลายความสัมพันธ์ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องค้นหา คือ มีสิ่งใดบ้างที่ก่อให้เกิดปัญหาของ การติดต่อสื่อสาร และมีสิ่งใดบ้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญ รอบบินส์ (1992 ) ได้รวบรวมสิ่งที่เป็นปัญหาของ การติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันและพบว่า ในการสื่อสารแต่ละครั้งนั้นคนเรามักจะ ก.) ได้ยินในสิ่งที่คาดว่าจะได้ยิน 1. ความแตกต่างระหว่างการรับรู้ของบุคคล การรับรู้ เป็นกระบวนการที่บุคคลจัดสิ่งเร้าที่ปรากฏให้เป็นหมวดหมู่มีความหมายแล้วจึง ตีความ ต่อจากนั้นจัดเก็บสิ่งที่ตีความได้ไว้เป็นความจริง ในความคิดของตน ซึ่งบุคคลจะมีพฤติกรรมตอบสนองออกมาตามความจริงที่ตนรับรู้ จากความหมายจะเห็นได้ว่าการรับรู้โลกของบุคคลประกอบด้วยวิธีการที่เลือกรับสิ่งเร้า วิธีการจัดสิ่งเร้า และวิธีการตีความ ดังนั้นการที่จะเข้าใจความแตกต่างในการรับรู้ของบุคคลจึงต้องทำความเข้าใจกระบวนการทั้งสามนี้ 1.1
การเลือกรับสาร มนุษย์เราถูกแวดล้อมไปด้วยสารหลายชนิดและจำนวนมหาศาล แต่มนุษย์จะไม่รับรู้สารทั้งหมดที่ปรากฏ แต่จะเลือกรับรู้เพียงบางอย่างที่มีความสำคัญสำหรับตนเท่านั้น โดยสิ่งที่เลือกรับจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความคาดหวัง ความต้องการ ความสนใจ ค่านิยมหรืออารมณ์ของตนในขณะนั้น 1.2 การจัดระบบสาร เมื่อเราเลือกสารที่เราต้องการรับรู้แล้ว ขั้นต่อไปคือจัดสิ่งที่รับรู้นั้นให้เป็นระบบและมีความหมาย มีอยู่หลายวิธีที่คนเราใช้จัดระบบสาร ที่พบมากในการติดต่อสื่อสาร ได้แก่ 1.2.1
วิธีการของภาพและพื้น ในบรรดาสิ่งเร้าทั้งหลายนั้น สิ่งที่เราเอาใจใส่เป็นพิเศษและให้ความสำคัญจะเป็นภาพและสิ่งอื่น ๆ ที่เหลือจะกลายเป็นพื้นหรือฉากหลังซึ่งเราให้ ความสำคัญไม่มากนัก ดังนั้นเป็นไปได้ที่คนสองคนที่กำลังเจรจากันและต่างฝ่ายต่างนึกว่าตนกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกันแต่แท้จริงแล้วกำลังพูดคนละเรื่องกัน ปรากฏการณ์เช่นนี้ เรียกกันว่า dual monologue และตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมากระหว่างที่มีการติดต่อสื่อสาร 1.2.2 วิธีการของการเติมให้เต็มสมบูรณ์
วิธีการที่สองนี้อธิบายได้ว่า บุคคลมี แนวโน้มจะเติมสิ่งที่ขาดหายไปจากสิ่งเร้าลงไปในการรับรู้ของตนเพื่อให้สิ่งที่รับรู้นั้นสมบูรณ์ขึ้น และโดยทั่วไปในการติดต่อสื่อสารแล้วคนเรามีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะเติมสิ่งที่เป็นลบลงไปมากกว่าสิ่งที่เป็นบวก ตัวอย่างเช่น ในหน่วยงานมีการประชุมแต่เราไม่มีรายชื่อเข้าประชุมทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราควรจะมีคนส่วนใหญ่จะไม่คิดว่าผู้จัดประชุมลืมแต่จะคิดว่าจงใจที่จะไม่เชิญเราเข้าประชุม การกระทำที่ควรจะทำสำหรับขจัดอุปสรรคอันเนื่องมาจากการจัดระบบสารด้วยวิธีนี้ คือ
ตรวจสอบกับข้อเท็จจริงหรือกับความตั้งใจของผู้ส่งสาร 1.2.3 การตีความสาร ในการตีความสารของบุคคลนั้น มีปัจจัยหลักเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ปัจจัยซึ่งมีผลทำให้คนเราตีความสารอย่างเดียวกันต่างกันออกไป ได้แก่ 2. ความแตกต่างระหว่างแบบของพฤติกรรม รียดอร์น (Reardon, 1987) นักจิตวิทยาการสื่อสาร ได้เสนอว่า ในการติดต่อสื่อสารนั้นการรู้จักบุคคลผู้เป็นคู่สื่อสารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง นักสื่อสารทั้งหลายย้อนหลังไปได้จนถึง อริสโตเติลล้วนแล้วแต่พยายามศึกษาผู้ที่ตนติดต่อด้วย และพยายามปรับการสื่อสารของตนให้กับพฤติกรรมของคู่สื่อสารเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด เมอริลและคณะ (Merill and others cited by Robbins, 1992: 21 – 27) ได้จำแนกแบบพฤติกรรมของบุคคลในการติดต่อสื่อสารออกเป็น 4 แบบใหญ่ด้วยกัน
แต่ละแบบล้วนมีแนวโน้มในการสื่อสารที่ต่างกันออกไป และเมื่อบุคคลต่างแบบมาสื่อสารกันก็เป็นไปได้ที่อาจติดต่อกันลำบากมากกว่าปรกติ แบบของพฤติกรรมที่อ้างถึงนั้นจำแนกเป็น 2.1 ช่างวิเคราะห์ คนในแบบนี้มีแนวโน้มในเรื่องสมบูรณ์นิยม มักสนใจเรื่องข้อเท็จจริง ข้อมูล ตรรกะ และรายละเอียด มักชะลอการตัดสินใจจนกว่าจะแน่ใจว่าตนต้องการอะไรเสียก่อน ผลที่ตามมา คือ ดูเหมือนว่าเป็นคนที่ระมัดระวังจนเกินไปและไม่กล้าเสี่ยง อย่างไรก็ตามการตัดสินใจและข้อมูลของคนประเภทนี้เที่ยงตรงและเชื่อถือได้
ยิ่งไปกว่านั้นคนช่างวิเคราะห์มักซ่อนอารมณ์และไม่ชอบเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ 2.2 เป็นมิตร บุคคลที่มีแนวโน้มของพฤติกรรมแบบที่สองนี้มีลักษณะอบอุ่นและคิดว่ามิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พวกนี้ชอบที่จะดึงเอาคนอื่น ๆ เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมต่าง ๆ ถนัดในการเลือกสรรคนเข้าร่วมกิจกรรม ทำงานทีละหลาย ๆ อย่าง สนใจความรู้สึกของผู้อื่นแต่ไม่อยากบอกว่าตนคิดอย่างไร บุคคลที่มีพฤติกรรมประเภทนี้ชอบส่งบัตรให้ผู้คนในวาระต่าง ๆ และจะเสียใจหรือขัดเคืองหากผู้ที่ได้รับไม่สนใจการกระทำของเขา 2.3
ผลักดัน บุคคลแบบนี้มีลักษณะแรง ตรงไปตรงมาและมุ่งผลในการกระทำ มักจะให้ คำแนะนำแก่ผู้อื่นทั้ง ๆ ที่บางคนต้องการและบางคนก็ไม่ต้องการคำแนะนำ บางครั้งจะดูเหมือน คนชอบเร่งเร้า บังคับตนเองและผู้อื่น ไม่ชอบแสดงอารมณ์ นอกจากนั้นยังพอใจกับการวิพากษ์ตนเอง และเห็นว่าการคุยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความบันเทิง เป็นการกระทำที่เสียเวลาและไร้สาระ 2.4 แสดงออก บุคคลประเภทที่สี่มีลักษณะเด่นคือชอบสมาคม ชอบการสังสรรค์มี ความกระตือรือร้นสูงและคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ
มักกระทำสิ่งใดก็ตามโดยอาศัยแรงบันดาลใจและสังหรณ์ มีความอดทนต่ำต่อคนที่มีลักษณะต่างออกไปจากตน เนื่องจากบุคคลที่ชอบแสดงออกมักเบื่อง่ายจึงมักเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ และสนใจสิ่งต่าง ๆ เป็นพัก ๆ บุคคลที่มีแบบของพฤติกรรมต่างกันอย่างสุดขั้วมักจะประสบปัญหาในการสื่อสารกันให้เข้าใจ เนื่องจากต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีเจตนาที่จะทำให้ตนโกรธ ตัวอย่างเช่น เมื่อคนช่างวิเคราะห์ ติดต่อกับคนชอบแสดงออก คนช่างวิเคราะห์จะต้องการข้อมูลและรายละเอียดซึ่งฝ่ายหลังจะไม่มีให้ ในขณะเดียวกันผู้ที่ชอบแสดงออกคุยถึงภาพในอนาคต ก็มักเกิดความขัดแย้งพวกที่ผลักดันซึ่งสนใจแต่ปัจจุบัน เป็นต้น นักจิตวิทยาได้จับคู่ของแบบพฤติกรรมซึ่งขัดแย้งกันในการสื่อสารไว้ ดังนี้ คือ วิเคราะห์กับแสดงออก ผลักดันกับเป็นมิตร และผลักดันกับแสดงออกแต่มิได้หมายความว่า คู่แย้งเหล่านี้จะสื่อสารกันไม่ได้เลย คู่แย้งเหล่านี้จะสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหากปรับตัวโดยเรียนรู้แบบของตนเองและของคู่สนทนา ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ฝ่ายหนึ่ง ไม่ต้องการ 3. ความแตกต่างระหว่างการรับสาร รูปแบบของการรับสารของแต่ละคนจะต่างกันออกไปเช่นกัน โดยปรกติแล้วจะจำแนกออกเป็น3 ประเภท คือ รับโดยการฟัง การดู และการสัมผัส แต่ละประเภทมีลักษณะเด่นดังนี้ 3.1 การฟัง มีแนวโน้มที่จะรับสารที่เป็นภาษาพูดได้ดี สนใจเหตุผล แนวคิด ยุทธวิธี และ การแก้ปัญหา คำที่มักใช้เสมอ ๆ และส่อแสดงให้เห็นถึงการรับสารด้วยการฟัง ได้แก่ คิด ความคิด แนวคิด วิเคราะห์ ได้ยิน และฟังดู ตัวอย่างประโยคที่ชอบพูด เช่น 3.2 การดู มีแนวโน้มจะรับสารที่เป็นภาพได้ดี สนใจภาพ สัญลักษณ์ วิธีหรือการแก้ปัญหาที่เป็นองค์รวม คำที่มักใช้เสมอ ๆ และส่อแสดงให้เห็นถึงการรับสารโดยการดู ได้แก่ เห็น เกิดภาพ มอง วิสัยทัศน์ ค้นหา สมดุล เป็นต้น ตัวอย่างประโยคที่ชอบพูด เช่น 3.3 การสัมผัส มีแนวโน้มจะรับสารโดยอาศัยประสบการณ์
สนใจเรื่องสังหรณ์ ความบันดาลใจ การรับรู้ถึงการตัดสินใจและการเปลี่ยนแปลงของบุคคล คำที่มักใช้เสมอ ๆ และ ส่อแสดงให้เห็นถึงการับสารโดยการดู ได้แก่ รู้สึก จับ สัมผัส รับรู้ เกิดอารมณ์ และรู้สึกร่วม เป็นต้น ตัวอย่างประโยคที่ชอบพูด เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการติดต่อสื่อสารในขั้นตอนที่จะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพได้อย่างไรนั้น มีทักษะอยู่หลายทักษะที่ เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ แต่ที่จะเลือกนำมา กล่าวในที่นี้ ได้แก่ การฟัง ภาษาท่าทาง เทคนิคการสื่อสารกับบุคคลที่มีแบบพฤติกรรมต่างกันและการให้และรับข้อติชม 1. การฟัง ในการฟังแต่ละครั้งนักวิจัยด้านการสื่อสาร พบว่า ปรกติแล้วเราจะเข้าใจสิ่งที่เราฟังประมาณ 50% และหลังจากเวลาผ่านไป 48 ชั่วโมงความเข้าใจจะลดลงเหลือประมาณ 25% หรือน้อยกว่านั้น ดังนั้นหากเราฟังไม่เป็นหรือขาดทักษะการฟัง สารที่ได้รับมาแต่ละครั้ง อาจถูกลืมไปจนหมดสิ้น ทั้ง ๆ
ที่การฟังมีความสำคัญ แต่การฟังดูจะเป็นทักษะที่ถูกฝึกกันน้อยที่สุดในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว เราจะสื่อสารได้ดีเท่าใดขึ้นอยู่กับ คุณภาพในการฟังของเรา การฟังที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ การติดต่อชัดเจนขึ้น ช่วยให้เข้าใจความตั้งใจ ที่อยู่เบื้องหลัง การส่งสารและเข้าใจตัวสารเองได้ดีขึ้น 1.1 นิสัยการฟังที่ทำลายประสิทธิภาพการสื่อสาร นิสัยการฟังเชิงลบที่ควรลดลง 10 ข้อ ได้แก่
1.2 เทคนิคการฟังที่เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร จากการประมวลความคิดเห็นของ นักจิตวิทยาการสื่อสารหลายคน ได้เสนอเทคนิคการฟังที่เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารไว้ดังนี้
2. ภาษาท่าทาง 2.1 การเปล่งเสียง 2.2 การเคลื่อนไหวของร่างกาย 2.3 ระยะทาง 2.4 การสบตา 2.5 การแสดงสีหน้า 2.6 การสัมผัส 3.
เทคนิคการสื่อสารกับบุคคลที่มีแบบพฤติกรรมต่างกัน 3.1 ช่างวิเคราะห์ สำหรับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้
3.2 เป็นมิตร สำหรับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้
3 .3 ผลักดัน สำหรับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้
3.4 แสดงออก สำหรับคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้
4. การให้และรับข้อติชม 4.1 เมื่อเป็นฝ่ายให้ข้อติชม 4.1.1 พูดถึงพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงที่สังเกตเห็นได้ ภาพแสดงรูปแบบการรับมือกับคำติชม
สรุป |