อาการมือชา-เท้าชา ใครเคยเป็นบ้าง? ชื่อว่ามีหลายคนเคยเป็นแต่มักไม่ค่อยใส่ใจ เพราะคิดว่าเกิดชั่วคราวและหายได้เอง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาการชาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณเตือนของ "โรคปลายประสาทอักเสบ" ได้ อาการมือชา-เท้าชา ใครเคยเป็นบ้าง? ...เชื่อว่ามีหลายคนเคยเป็นแต่มักไม่ค่อยใส่ใจ เพราะคิดว่าเกิดชั่วคราวและหายได้เอง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาการชาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณเตือนของ "โรคปลายประสาทอักเสบ" ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่น่ากลัวตามมาหลังจากเป็นโรคปลายประสาทอักเสบโดยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ และความรู้สึกรับรู้ลดลงจนหมดความรู้สึกที่อวัยวะส่วนนั้นได้ โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy) เป็นกลุ่มอาการของเส้นประสาท ซึ่งทําหน้าที่นําคําสั่งจากสมองและไขสันหลังไปยังอวัยวะต่างๆ รวมถึง ทําหน้าที่รับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ กลับไปยังสมอง เส้นประสาทสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประสาทรับความรู้สึกซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมต่อ สมอง และไขสันหลังกับผิวหนัง หรือ อวัยวะภายใน 2. เส้นประสาทสั่งการหรือนําคําสั่ง ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับกล้ามเนื้อ 3. ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับอวัยวะภายใน อาการของโรคปลายประสาทอักเสบ ผู้ป่วยที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ จะมีอาการชาตามส่วนต่างๆ หรือความรู้สึกลดลงที่บริเวณปลายมือและเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสียการทรงตัวหรือเดินเซ เนื่องจากการรับความรู้สึกที่เท้าผิดปกติ ความดันโลหิตลดลงต่ำ ท้องผูกหรือท้องเสีย อาหารย่อยยาก เหงื่อออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการดังกล่าว มักเป็นตลอดเวลา หรือเป็นๆ หายๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้าลามถึงสะโพก อย่านิ่งนอนใจ เพราะหากปล่อยไว้นานๆ อาจเป็นโรคอัมพฤกษ์-อัมพาตได้ ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากกระดูกสันหลังหักกดทับเส้นประสาทนั่นเอง ภาพโดย VSRao จาก Pixabay สาเหตุของโรคปลายประสาทอักเสบ - โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด - เส้นประสาทถูกกดทับ จากการใส่เฝือก หรือใช้ไม้ค้ำ หรือการใช้งานข้อมือซ้ำๆ เป็นสาเหตุที่มักพบในผู้สูงวัย และผู้ที่ทำกิจกรรมในอิริยาบถเดิมๆ เป็นเวลานาน เช่น การนั่งหรือนอนตลอดทั้งวัน - เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกิดบาดแผลและความเสียหายต่อเส้นประสาท เช่น การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรืออุบัติเหตุอื่นๆ - โรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรค SLE โรคปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดอักเสบ - โรคของความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัส เช่น เชื้อ HIV - การได้รับสารพิษต่างๆ หรือการขาดวิตามิน เช่น วิตามิน B1 B6 B12 - เนื้องอกและมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไต โรคตับ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ผู้ที่เสี่ยงต่ออาการชาจากโรคปลายประสาทอักเสบ ได้แก่ ผู้ที่รับประทานอาหารเจ หรือมังสวิรัติ ปลาร้า ใบชา ใบเมี่ยง หมากพลู และทานมังสวิรัติ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปลายประสาทอักเสบเช่นกัน เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะมีสารทำลายวิตามิน B1 หากรับประทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ขาดวิตามินเหล่านี้ได้ รวมถึง ผู้สูงอายุก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยง เพราะผู้สูงอายุมักพบภาวะขาดวิตามิน B1, B6 และ B12 เนื่องจากทานอาหารได้น้อยกว่าคนปกติ รวมถึงร่างกายของผู้สูงอายุดูดซึมวิตามินได้ลดลง ภาพโดย andreas160578 จาก Pixabay วิธีการรักษาโรคปลายประสาทอักเสบ การรักษาอาการชาปลายนิ้วมือนิ้วเท้า แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 อาการชาไม่รุนแรง คือ มีอาการชาแปล๊บๆ เป็นระยะ ให้สะบัดข้อมือข้อเท้า หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ก็สามารถหายได้ หรืออาจรับประทานวิตามินบีเสริม เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เป็นต้น ระดับที่ 2 อาการชารุนแรงและต่อเนื่อง อาจต้องรักษาอาการชาปลายมือปลายเท้าด้วยยาต้านการอักเสบของเส้นประสาท หากอาการชายังไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเอ็นที่กดรัดเส้นประสาทนั้นออก ระดับที่ 3 ผลข้างเคียงจากโรคอื่น เช่น เบาหวาน ผู้ป่วยควรลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจให้วิตามินเสริมแก่ร่างกาย เป็นต้น สำหรับการวินิจฉัยและการรักษาแพทย์จะดูจากประวัติคนไข้เป็นสำคัญ ร่วมกับการตรวจร่างกาย จากนั้นส่งตรวจเลือด ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ การทำงานของเส้นประสาท ตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาสาเหตุของโรค โดยการรักษาปลายประสาทอักเสบ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เช่น การรักษาด้วยยา การผ่าตัด และการบำบัดอื่น อย่างการใช้เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาท การทำกายภาพบำบัด และการใช้ไม้ค้ำพยุง หรือเครื่องช่วยเดิน เป็นต้น ดังนั้น หากพบว่ามีอาการชา อ่อนแรงหรือเจ็บผิดปกติที่มือหรือเท้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเส้นประสาทส่วนปลาย ทําให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้มากขึ้น ภาพโดย Freepik การป้องกันโรคปลายประสาทอักเสบ - การป้องกันและควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคเบาหวาน การติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียต่างๆ - ทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น ผักใบเขียว ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ อาหารที่มีโปรตีนไขมันต่ำ - หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น การยกของหนัก การก้มๆ เงยๆ ในท่าเดิมนานๆ - ออกกำลังเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - หลีกเลี่ยงการไขว้ขาและการนั่งในท่าที่อาจกดทับเส้นประสาทควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด - ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - รับประทานวิตามิน B1, B6 และ B12 อย่างเหมาะสมเพราะวิตามิน B มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง และช่วยซ่อมแซมปลอกหุ้มเซลล์ประสาท หากพบเจออาการมือเท้าชา อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ เพราะหากเป็นต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคอันตรายได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , รพ.เวชธานี
|