Show
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] (พระราชสมภพ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495)[3] เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของประเทศไทย นับเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นสยามมกุฎราชกุมารใน พ.ศ. 2515 เวลานั้นมีพระชนม์ 20 พรรษา ครั้นรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีการคาดการณ์ว่า พระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อทันที แต่ทรงผัดผ่อนไปก่อน เพื่อให้เวลาผู้คนไว้อาลัยพระราชบิดา[4] กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 จึงทรงรับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์ และทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชบิดาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560[5][6][7] พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์จัดขึ้นในวันที่ 4–6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[8] แต่รัฐบาลไทยให้นับรัชสมัยของพระองค์ย้อนหลังไปถึงวันสวรรคตของพระราชบิดา[9] เนื่องด้วยพระชนม์ 64 พรรษาในเวลานั้น พระองค์จึงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระชนม์สูงที่สุดในวันครองราชย์[10] ในช่วงต้นรัชกาล พระองค์ประทับที่พระตำหนักในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เป็นส่วนใหญ่[11] พระองค์อภิเษกสมรสและหย่าร้างหลายครั้ง[12] ทรงตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เป็นพระอัครมเหสีพระองค์ปัจจุบันในคราวราชาภิเษก และยังทรงมีภริยาคนอื่นอีกในเวลาเดียวกัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปีที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีคู่ครองหลายคน[12] พระองค์ยังทรงมีบทบาททางการเมือง โดยทรงให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ในประเด็นเกี่ยวกับพระราชอำนาจ ถึงแม้ร่างนั้นจะผ่านประชามติแล้ว[13] และในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 พระองค์ทรงออกประกาศประณามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเชษฐภคินี ที่รับการเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี[14] และทรงให้ออกอากาศพระราชดำรัสของพระราชบิดาว่าด้วยการเลือกคนดีในคืนก่อนวันเลือกตั้ง[15] นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีการโอนกองกำลังและงบประมาณสาธารณะบางส่วนไปขึ้นกับพระองค์โดยตรง[16][17] ทั้งมีการจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เสียใหม่ โดยให้ขึ้นอยู่กับพระราชอำนาจที่จะจัดการตามพระราชอัธยาศัย และมีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองมาเป็นพระปรมาภิไธยโดยตรง[18][19] เว็บไซต์ บิสซิเนสอินไซเดอร์ ประเมินพระราชทรัพย์ของพระองค์ใน พ.ศ. 2563 ไว้ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก[20] อนึ่ง ใน พ.ศ. 2564 มีการเปิดโปงเอกสารฝากตำแหน่งตำรวจ ที่เรียกว่า "ตั๋วช้าง"[21] โดยเป็นเอกสารกราบบังคมทูลขอให้พระองค์ทรงสนับสนุนการแต่งตั้งหรือเลื่อนยศนายตำรวจ[22] นับตั้งแต่ พ.ศ. 2563 มีการประท้วงในที่สาธารณะเพื่อให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และจำกัดพระราชอำนาจ[23][24] มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยมากขึ้น ทั้งมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ[25][26] ผู้มีส่วนร่วมในการดังกล่าวถูกจับกุม คุมขัง และดำเนินคดีอย่างกว้างขวางในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[27] โดยมีสถิติว่า ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้ว 91 ราย[28] พระราชสมภพพระบรมวงศานุวงศ์ใน พ.ศ. 2509 รัชกาลที่ 10 ทรงยืนขวาสุด มีบันทึกว่า เมื่อรัชกาลที่ 9 กับพระบรมราชินี คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จนิวัติพระนครในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2494 นั้น ทรงหวังว่า "คงจะมีพระราชโอรสเป็นพระองค์ถัดไป" หลังจากที่มีพระราชธิดามาแล้ว[29] ครั้นวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17:45 น.[30] สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จึงประสูติพระองค์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต[31] พระองค์มีพระเชษฐภคินี คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และมีพระขนิษฐภคินีสองพระองค์ คือ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี[32] ขณะพระชนมายุได้หนึ่งพรรษา รัชกาลที่ 9 โปรดให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ตั้งพระนามและถวายตามดวงพระชะตาว่า[33]
พระนาม "วชิราลงกรณ" นั้น กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงตั้งจาก "วชิระ" อันเป็นพระนามฉายาในขณะผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวกกับ "อลงกรณ์" จากพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[34][35] มีความหมายว่า "ทรงเครื่องเพชรหรืออสนีบาต"[36] พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่รัชกาลที่ 10 เมื่อยังทรงพระเยาว์ รัชกาลที่ 9 ทรงให้จัดพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ขึ้น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ระหว่างวันที่ 14–15 กันยายน พ.ศ. 2495[37] สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ในเย็นวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2495[38] เช้าวันรุ่งขึ้น (15 กันยายน) จึงมีพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ในห้องพิธี สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดขับไม้มโหรีขับกล่อมถวายพระพรในวาระนี้ด้วย และมีการถ่ายทอดเสียงพระราชพิธีทางวิทยุไปทั่วประเทศ[37][39][40] การศึกษารัชกาลที่ 10 และรัชกาลที่ 9 ใน พ.ศ. 2504 เมื่อมีพระชนม์ 4 พรรษา รัชกาลที่ 9 โปรดให้เริ่มถวายพระอักษร ทรงเข้าศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่โรงเรียนจิตรลดาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2499 ขณะนั้น โรงเรียนนี้ยังตั้งอยู่ที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต ต่อมาย้ายไปตั้งในบริเวณพระราชฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่นี่จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนคิงสมีด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2509 จากนั้น ทรงศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตรีต แคว้นซัมเมอร์เซต ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2509 จนถึง พ.ศ. 2513 ระหว่างทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ ทรงให้สัมภาษณ์ว่า "ทรงทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นการซักฉลองพระองค์ หรือขัดรองพระบาท โดยไม่มีบุคคลอื่นให้ความช่วยเหลือ เฉกเช่นสามัญชนทั่วไป"[41] จากนั้น ทรงศึกษาวิชาทหารต่อในประเทศออสเตรเลีย ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่คิงส์สกูล นครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2513 จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2514 ครั้น พ.ศ. 2515 ทรงเข้าศึกษาการทหารชั้นสูงที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา การศึกษาที่ดันทรูนนั้นแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาควิชาการทหารโดยกองทัพบกออสเตรเลีย และภาคการศึกษาวิชาสามัญระดับปริญญาตรีโดยมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2519 ทรงได้รับถวายสัญญาบัตรจากวิทยาลัยการทหารดันทรูน และปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอักษรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์[42][43] เมื่อนิวัติประเทศไทย ทรงรับราชการทหาร แล้วทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46 เมื่อ พ.ศ. 2520 ทรงเข้าศึกษาในสาขาวิชานิติศาสตร์ รุ่นที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. 2525 ทรงสำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) และพ.ศ. 2533 ทรงเข้ารับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร แห่งสหราชอาณาจักร[44] สยามมกุฎราชกุมารนิลเด อีออตตี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอิตาลี เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อมีพระชนม์ 20 พรรษา และทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 รัชกาลที่ 9 ทรงให้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสยามมกุฏราชกุมาร มีพระราชพิธีสถาปนาในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต[45] มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
นับเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่ 3 ของไทย[46][47] ผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ถวายตัวเป็นพุทธมามกะ พ.ศ. 2509 พระองค์มีพระทัยศรัทธาจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา[48] ทรงหาโอกาสในวันหยุดเสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชและทรงเยี่ยมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ทรงสนทนาศึกษาธรรมะคำสั่งสอนของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า[49] รัชกาลที่ 9 จึงโปรดให้พระองค์ผนวชในวันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เวลา 15:37 นาฬิกา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม[50] มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก) ถวายอนุสาสน์ ผนวชแล้วเสด็จไปทำทัฬหีกรรม ณ พระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน เมื่อเวลา 16:59 นาฬิกาของวันนั้น โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์[51] เสร็จแล้วเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร[52] มีพระมหารัชมงคลดิลก (บุญเรือน ปุณฺณโก) เป็นพระอภิบาล[53] ทรงได้รับพระนามฉายาว่า "วชิราลงกรโณภิกขุ"[54] ผนวชอยู่ 15 วัน จึงลาพระผนวช ณ พระตำหนักปั้นหย่า ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เวลา 10:15 นาฬิกา[55] จดหมายเหตุเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบของพระองค์ ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้ผลิตนั้น อ้างว่า "ตลอดระยะเวลาแห่งการผนวชนั้น ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานาประการ เช่น ทรงร่วมทำวัตรเช้าเย็น ทำสังฆกรรม สดับพระธรรม เทศนา และทรงศึกษาพระธรรมวินัย ร่วมกับพระภิกษุอื่น ๆ เสด็จพระราช ดำเนินไปทรงรับภัตตาหารบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ และประชาชน ณ สถานที่ต่าง ๆ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะสมเด็จ พระสังฆราช และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ณ พระอาราม ต่าง ๆ เสด็จพระราชดำเนินไปทรง สักการะพระพุทธรูปสำคัญ เจดียสถาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในส่วนภูมิภาค และเสด็จออกให้คณะสงฆ์และคณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายสักการะ เป็นต้น"[56] การทหารสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงฝึกเครื่องบินรบแบบเอฟ-5 พระองค์สนพระราชหฤทัยในกิจการกองทัพมาแต่ทรงพระเยาว์ และขณะประทับอยู่ในประเทศไทย ได้ทรงเยี่ยมที่ตั้งทหารหลายแห่ง[57] เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียและทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรอื่น ๆ แล้ว ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทั้งยังทรงเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครในบริเวณพื้นที่อันตราย[58] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2508 รัชกาลที่ 9 พระราชทานยศทหารให้แก่พระองค์ คือ ร้อยตรี เรือตรี พรรคนาวิน และเรืออากาศตรี แห่งกองทัพทั้งสาม[59] นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งทางทหารตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับกองพัน, ผู้บังคับกองพัน, ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ คู่มือทหารที่หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ผลิตขึ้น อ้างว่า "ทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่าง และพระราชทานคำสั่งสอนแก่ข้าราชบริพารทุกหมู่เหล่าด้วยพระองค์เอง" และ"มีการเทิดทูนยกย่องพระองค์เป็น บรมครูทางการทหาร"[60] พระจริยวัตรพอล วอลโฟวิทซ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (ขวา) โดยเสด็จรัชกาลที่ 10 เข้าสู่เพนตากอนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 พระชนมชีพส่วนพระองค์เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชนอย่างกว้างขวาง[61] บีบีซีไทยอ้างว่า พระองค์มักตกเป็นข่าว โดยเฉพาะในเรื่องสตรี การพนัน และเรื่องผิดกฎหมาย จนเป็นที่กังขาเกี่ยวกับความเหมาะสมของพระองค์[36] เดือนตุลาคม พ.ศ. 2524 พระราชชนนีของพระองค์ทรงกล่าวเปรียบเปรยว่า พระองค์ทรงเหมือนดอน ควน ที่โปรดการใช้เวลาว่างสุดสัปดาห์ไปกับหญิงงามมากกว่าการประกอบพระราชกรณียกิจ[36][62]
วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2545 นิตยสาร ฟาร์อิสเทิร์นอีโคโนมิกรีวิว ลงบทความว่า พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย[64] อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2553 หลังจากที่ พันตำรวจโท ทักษิณ พ้นจากตำแหน่งไปโดยการรัฐประหารแล้ว พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี ยอมรับว่า "แน่นอนว่า เจ้าฟ้าชายยังทรงรักษาสัมพันธภาพบางอย่างกับอดีตนายกฯ ทักษิณเอาไว้ พระองค์ทรงพบกับทักษิณเป็นช่วง ๆ"[65] วันที่ 12 ธันวาคม ปีเดียวกัน บิลาฮารี เคาสิกัน (Bilahari Kausikan) ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ แถลงว่า พระองค์ทรงติดการพนัน และทรงได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพันตำรวจโท ทักษิณ[66] โอกาสเดียวกัน พลเอก เปรม เสริมว่า "ทักษิณเสี่ยงทำลายตัวเอง เขาอาจคิดว่า เจ้าฟ้าชายจะทรงปฏิบัติกับเขาเหมือนดังเขาเป็นพระสหายหรือผู้สนับสนุนเพียงเพราะเขาส่งเสริมการเงินให้แก่พระองค์ แต่เจ้าฟ้าชายไม่ทรงชอบพระทัยความสัมพันธ์แบบนั้นสักเท่าไร"[67] ใน พ.ศ. 2551 ราล์ฟ แอล.บอยซ์ (Ralph L. Boyce) นักการทูตชาวสหรัฐ รายงานต่อรัฐบาลสหรัฐว่า พระองค์เคยตรัสปฏิเสธกับเขาเรื่องข่าวที่ว่าทรงมีความสัมพันธ์กับพันตำรวจโท ทักษิณ บอยซ์กล่าวว่า[68]
อย่างไรก็ดี ผู้แปลโทรเลขดังกล่าวเป็นภาษาไทยในนิตยสาร ฟ้าเดียวกัน ระบุไว้ว่า "ความสำคัญของโทรเลขทูตที่เผยแพร่จากวิกิลีกส์ จึงอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ส่งไปยังสหรัฐ"[69] ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์หลังจากรัชกาลที่ 9 ก็เป็นที่กล่าวถึงมากในสังคม นักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่า ตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้มีอยู่สามสิ่ง คือ องคมนตรี กองทัพ และความเหมาะสมของพระองค์[70] ใน พ.ศ. 2545 นิตยสาร ดิอีโคโนมิสต์ ลงข้อความว่า "ผู้คนเคารพเจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์น้อยมาก (กว่ารัชกาลที่ 9) ชาวกรุงเทพมหานครพากันร่ำลือเรื่องชีวิตส่วนพระองค์อันมัวหมอง...ไม่มีผู้สืบราชบัลลังก์พระองค์ใดจะประสบความสำเร็จอย่างที่กษัตริย์ภูมิพลทรงได้รับมาในช่วงเวลาทรงราชย์ 64 ปี..." และรัฐบาลไทยได้สั่งห้ามจำหน่ายนิตยสารฉบับดังกล่าว ใน พ.ศ. 2553 ดิอีโคโนมิสต์ ลงบทความอีกว่า พระองค์ "ทรงเป็นที่รังเกียจและเกรงกลัวอย่างกว้างขวาง" และ"ทรงแปลกประหลาดอย่างคาดไม่ถึง" และฉบับนี้ก็มิได้จำหน่ายในประเทศไทยเช่นกัน[71] ครั้นวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553 นิตยสารออนไลน์ เอเชียเซนทิเนล ลงว่า พระองค์ "ถือว่าทรงเอาแน่นอนไม่ได้ และทรงไม่สามารถปกครองได้โดยแท้"[72] เว็บไซต์นี้ถูกสกัดกั้นในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว[73] อนึ่ง มีผู้คนเห็นว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้เป็นพระกนิษฐภคินี ชอบที่จะได้สืบราชสมบัติมากกว่า[74] พลเอก เปรม และองคมนตรีคนอื่น ๆ มีความเห็นค่อนข้างลบเกี่ยวกับพระองค์ ส่วนราล์ฟก็เคยรายงานต่อรัฐบาลสหรัฐว่า "[พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ] ดูอึดอัดพระทัยอย่างเห็นได้ชัดต่อคำถามธรรมดา ๆ เกี่ยวกับเจ้าฟ้าสิรินธรซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของมกุฎราชกุมาร"[75] วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552 แฮร์รี นิโคเลดส์ ชาวออสเตรเลีย ถูกศาลไทยจำคุก 3 ปี เพราะเผยแพร่หนังสือพาดพิงพระองค์ ความตอนหนึ่งว่า "ถ้าเจ้าฟ้าชายทรงรักใคร่ชอบพออนุภรรยานางใด และต่อมาเธอทรยศพระองค์ เมื่อนั้นเธอและครอบครัวก็จะหายไปจากโลกนี้ สาบสูญไปทั้งชื่อเสียงเรียงนาม เทือกเถาเหล่ากอ และบรรดาเงื่อนเค้าร่องรอยเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาตลอดกาล" ต่อมา รัชกาลที่ 9 พระราชทานอภัยโทษให้เขา และเขาให้สัมภาษณ์แก่ ฮัฟฟิงตันโพสต์ ว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องแต่งทั้งสิ้น[76][77][78][79] พระองค์ทรงทราบปัญหาและข่าวที่กล่าวมาแล้วเป็นอย่างดี[80] และเคยพระราชทานสัมภาษณ์ในนิตยสาร ดิฉัน แก่ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้ใกล้ชิดพระองค์ ว่า[81]
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553 อีริก จี.จอห์น (Eric G. John) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย รายงานไปยังรัฐบาลสหรัฐว่า เขาได้เปรยกับพลเอก เปรม ว่า "เวลานี้ เจ้าฟ้าชายทรงอยู่ที่ใด" พลเอก เปรม ตอบว่า "คุณก็รู้ว่าทรงใช้ชีวิตส่วนพระองค์แบบไหน...เจ้าฟ้าชายพอพระทัยใช้เวลาลอบเสด็จไปยังมิวนิก เพื่อประทับอยู่กับเมียเก็บของพระองค์ มากกว่าจะประทับอยู่ในประเทศไทยกับพระวรชายาและพระโอรส"[82] พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรีที่ร่วมวงสนทนา กล่าวเสริมว่า "ข่าวเรื่องเมียน้อยของพระองค์ที่เป็นแอร์โฮสเตสมีอยู่เต็มเว็บไซต์ไปหมด...น่าเศร้าที่เดี๋ยวนี้ท่านทูตไทยที่เยอรมนีต้องออกจากเบอร์ลินไปมิวนิกเพื่อไปเข้าเฝ้าพระองค์เป็นประจำ"[83] พระมหากษัตริย์
ทรงครองราชย์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 10 ใน พ.ศ. 2562 เมื่อรัชกาลที่ 9 สวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว พระองค์จะได้สืบราชสมบัติต่อ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันว่า พระองค์จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่[84] แต่ทรงขอผ่อนผัน เนื่องจากทรงต้องการร่วมไว้ทุกข์กับชาวไทย จนกว่าจะผ่านพระราชพิธีพระบรมศพไประยะหนึ่งก่อน[85] พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยตำแหน่งไปพลางก่อน[86] วันที่ 29 พฤศจิกายน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดประชุมวาระพิเศษตามรัฐธรรมนูญ เพื่อรับทราบการอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์[87] และพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เดินทางไปอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และพระองค์ทรงรับการอัญเชิญโดยมีพระราชดำรัสอย่างเป็นทางการ[88] แต่มีประกาศว่า ทางนิตินัยถือว่า ได้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 แล้ว[89] พระองค์ทรงให้เฉลิมพระปรมาภิไธยชั่วคราวว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร"[90] บรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พระองค์โปรดให้ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ณ พระบรมมหาราชวัง มีการเฉลิมพระปรมาภิไธยตามพระสุพรรณบัฏว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" และมีพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป"[91] ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระองค์เสกสมรสกับพลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา และโปรดให้สถาปนาพลเอกหญิง สุทิดา ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี[92][93] บทบาททางการเมืองใน พ.ศ. 2560 พระองค์ทรงเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติแล้ว[6] โดยแก้ไขเรื่องพระราชอำนาจ[94] ในปีเดียวกัน ทรงตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจตั้งผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย[95] ต่อมาใน พ.ศ. 2561 มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นพระปรมาภิไธยของพระองค์โดยตรง และสำนักงานฯ ชี้แจงว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย จึงต้องถวายทรัพย์สินในความดูแลคืนให้แก่พระมหากษัตริย์เพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัย และกล่าวว่า ทรัพย์สินที่พระองค์เป็นเจ้าของจะมีการเสียภาษีอากรเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป[96] นอกจากนี้ พระองค์ยังมีอำนาจควบคุมโดยตรงต่อสำนักพระราชวังและหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ด้วย[97] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเชษฐภคินี รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคไทยรักษาชาติ พระองค์ก็ออกประกาศในวันเดียวกันว่า การดังกล่าวเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[14] นอกจากนี้ ในคืนก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 ยังทรงให้เผยแพร่พระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ 9 ที่ให้เลือกคนดีปกครองบ้านเมือง[15] ทำให้เกิดแฮชแท็ก "#โตแล้วเลือกเองได้" ในทวิตเตอร์[98] ในปีงบประมาณ 2564 พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบกตามการเสนอของพระองค์ แทนผู้ที่พลเอก ประยุทธ์ เสนอ[99] ในการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ผู้ประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อลดพระราชอำนาจให้สอดคล้องกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[100][101][102] สื่อต่างประเทศรายงานปฏิกิริยาของพระองค์สองกระแส กระแสหนึ่งว่า พระองค์ไม่รู้สึกถูกรบกวนพระทัยกับข้อเรียกร้องนี้[103] แต่อีกด้านหนึ่งก็มีรายงานว่า ทรงให้สื่อตรวจพิจารณา (เซ็นเซอร์) ข้อเรียกร้องดังกล่าว[104] สื่อขนามนามว่า การประท้วงในวันที่ 19–20 กันยายน เป็นการต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย[105] และการที่รัฐสภาเลื่อนลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในปลายเดือนกันยายน ทำให้เกิดความไม่พอใจ จนนำไปสู่กระแสนิยมสาธารณรัฐในโลกออนไลน์อย่างเปิดเผย[106][107] โฆษกรัฐบาลเยอรมันแจ้งสถานเอกอัครราชทูตไทยหลายครั้งถึงความกังวลเกี่ยวกับการทรงงานในต่างแดนของพระองค์[108] ใน พ.ศ. 2564 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลเปิดโปงเอกสารฝากตำแหน่งตำรวจ ที่เรียกว่า "ตั๋วช้าง"[21] โดยเป็นเอกสารที่ขอให้ทรงสนับสนุนการแต่งตั้งหรือเลื่อนยศนายตำรวจ[22] โควิด-19ช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดในประเทศไทย พระองค์ประทับอยู่นอกประเทศพร้อมด้วยข้าราชบริพารราว 100 คนที่โรงแรมบริเวณบาวาเรียนแอลป์ ประเทศเยอรมนี จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563[109] สื่อต่างประเทศรายงานว่า การประทับอยู่ที่โรงแรมดังกล่าวเป็นไปด้วยความหรูหรา และมีพระสนมกำนัลอย่างน้อย 20 คน[110] สถานการณ์เกี่ยวกับโรคยังทำให้พระองค์ต้องทรงงดพระราชพิธีฉัตรมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และวิสาขบูชา ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564[111] ในช่วงดังกล่าว มีกลุ่มผู้อ้างข่าวลือว่า พระองค์ประชวร[112] ต่อมา หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล อ้างว่า พระวชิรญาณโกศล (คม อภิวโร) วัดป่าธรรมคีรีวัน เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมแล้วออกมาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระองค์มีพระพลานามัยปรกติดี[113] และ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เพจบางเพจบนเฟซบุ๊กแชร์คำกล่าวของพระอธิการสุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทอง ว่า ได้สนทนาธรรมกับพระองค์ และพระองค์มีพระพลามัยแข็งแรง[114] พระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ซึ่งได้รับสิทธิให้จัดหาวัคซีนสำหรับโรคนี้เข้ามาในประเทศไทย ถึงแม้ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน และยังได้รับเงินสนับสนุน 600 ล้านบาทจากรัฐบาลไทย[115][116] ผู้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[117][118] ในการระบาดของโรคโควิด-19 นี้ พระองค์พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 2,852,144,487.59 ล้านบาทเพื่อจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 27 แห่ง กับกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง[119] ทั้งยังพระราชทาน "ถุงพระราชทานกำลังใจ" แก่ผู้แทนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข[120] กว่า 188,266 ถุง[121] และพระราชทานเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย 36 คัน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ5 คัน รถเอกซเรย์ระบบดิจิทัล 2 คัน และรถต่อพ่วงชีวนิรภัย 6 คัน ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้ปฏิบัติงานเชิงรุกภาคสนามในการตรวจหาเชื้อโควิดในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง และใช้เป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ในการเก็บตัวอย่างโรค[122] พระราชกรณียกิจทางราชการ
ด้านการบิน
ด้านการต่างประเทศเมื่อครั้งยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร พระองค์ได้ตามเสด็จพระราชบิดาและพระราชมารดาไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับคณะทูตานุทูตต่างประเทศหลายครั้ง ในครั้งที่เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2514 หม่อมราชวงศ์ชนม์สวัสดิ์ ชมพูนุท อ้างว่า มีผลให้ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นใกล้ชิดกันมากขึ้น[127] นอกจากนี้ ยังได้ทรงเยือนประเทศอิตาลี และทรงพบพระสันตะปาปา เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2525 ต่อมาในระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 8 มีนาคม พ.ศ. 2530 ทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ทรงพบเติ้ง เสี่ยวผิง ณ มหาศาลาประชาคม กรุงปักกิ่ง และเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2530 ทรงเยือนประเทศญี่ปุ่น ทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี[128] ด้านการศึกษาพระองค์พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้อาคารของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เป็นที่ตั้งของโรงเรียนชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลทหารมหาดเล็กราชวัลลภ ระยะแรกจัดการเรียนการสอนเฉพาะชั้นอนุบาล[ต้องการอ้างอิง] ต่อมา โรงเรียนได้ย้ายไปที่จังหวัดนนทบุรี และได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์[ต้องการอ้างอิง] และโอนไปสังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติเมี่อ พ.ศ. 2534 ดำเนินการสอนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย[ต้องการอ้างอิง] โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย จังหวัด ระยอง โดยที่กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาระนอง เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนม์มายุ 42 พรรษาทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามโรงเรียนว่าโรงเรียนมกุฏเมืองราชวิทยาลัย มีความหมายว่าราชวิทยาลัยสูงสุดแห่งเมือง และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์โรงเรียนและทรงเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียน ณ สถานที่เรียนชั่วคราวโรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย[129] นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบเป็นค่าก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกล[ต้องการอ้างอิง] และกระทรวงศึกษาธิการถวายโรงเรียนมัธยมศึกษา 15 แห่งเป็นโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ คือ
พระองค์ยังทรงเยี่ยมเยาวชนในตำบลต่าง ๆ[ต้องการอ้างอิง] ทรงสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เยาวชนตำบล[ต้องการอ้างอิง] รวมทั้งทรงเป็นประธานงานวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ 20 กันยายนของทุกปี[ต้องการอ้างอิง] พระองค์ยังทรงอุปการะเด็กกำพร้า เช่น จักรกฤษณ์ และอนุเดช ชูศรี ที่ครอบครัวเสียชีวิตจากภูเขาถล่มเมื่อ พ.ศ. 2554[131] รวมทั้งครอบครัวของบูรฮาน และบุศรินทร์ หร่ายมณี ซึ่งบิดาถูกลอบสังหารจากเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้[132][133] เป็นต้น พระองค์มีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2552 เป็นทุนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงระดับปริญญาตรี ต่อมาทรงให้จัดตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553[134] โดยทรงให้นำโครงการทุนการศึกษามาดำเนินการภายใต้ ม.ท.ศ. เพื่อสนับสนุนผู้ศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จนถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า โดยเป็นทุนให้เปล่า และเมื่อจบการศึกษา จะได้รับโอกาสให้สมัครเป็นข้าราชบริพารในพระองค์ฯ[135][136][137][138] ด้านการแพทย์และสาธารณสุขพระองค์โดยเสด็จพระราชบิดาและพระราชมารดาไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบทเสมอ[ต้องการอ้างอิง] จึงมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรได้รับการรักษาพยาบาลอันทั่วถึงและมีมาตรฐาน[ต้องการอ้างอิง] เป็นที่มาของการตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชในท้องถิ่นห่างไกลและกันดารขึ้นใน พ.ศ. 2520[ต้องการอ้างอิง] เงินในการจัดตั้งมาจากการบริจาคของรัฐบาลและประชาชนทั่วไปผ่านมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช[ต้องการอ้างอิง] ปัจจุบันมีโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพระราชสังกัดกระทรวงสาธารณสุขรวม 21 แห่ง[ต้องการอ้างอิง] เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560 พระองค์พระราชทานเงิน 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายสมุดไดอารีภาพการ์ตูนฝีพระหัตถ์ เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล[139] วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พระองค์พระราชทานเงิน 2,407 ล้านบาทซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลทั่วประเทศ เงินดังกล่าวมาจากการถวายของประชาชนเพื่อร่วมพระราชกุศลในพระราชพิธีพระบรมศพรัชกาลที่ 9 และมาจากการจัดงานอุ่นไอรัก คลายความหนาว "สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์"[140] พระองค์ทรงตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี ด้วยหัวใจ เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ตลอดจนการให้จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เข้าไปมีบทบาทในการช่วยเหลือราชทัณฑ์ ทั้งทางด้าน การแพทย์ การพยาบาล และการอบรม[141] ด้านการเกษตรพระองค์พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ในพื้นที่สวนบ้านกองแห หมู่ที่ 4 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1,350 ไร่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการคลินิกเกษตร เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีการเกษตรจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ[ต้องการอ้างอิง] คลินิกดังกล่าวพระราชทานนามว่า "เกษตรวิชญา" แปลว่า ปราชญ์แห่งการเกษตร[142] ด้านสังคมวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 พระองค์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ โปรดให้พลอากาศโท ภักดี แสงชูโต นำผ้าห่มกันหนาว 20,000 ผืน ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีกษิต ภิรมย์ เป็นผู้รับมอบ[143] และเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 พระองค์พระราชทานของยังชีพไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากเหตุเขื่อนทรุดตัวที่ประเทศลาว[144] ใน พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงเยี่ยมประชาชนที่ประสบปัญหาความไม่สงบในจังหวัดนราธิวาส ณ ร้านข้าวต้มอั้งม้อของภักดี พรมเมน[145][146] พระองค์ทรงรับโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก และอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์[147] พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปั่นนำขบวนในกิจกรรม ปั่นเพื่อแม่ (Bike for Mom) ใน พ.ศ. 2543 พระองค์ทรงตั้งโครงการกีฬาล้างอบายมุขด้วยลูกฟุตบอล เพื่อส่งเสริมการกีฬาแก่เยาวชนไทยโดยใช้กีฬาฟุตบอลเป็นหลัก[148] นอกจากนี้ ใน พ.ศ. 2558 คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เป็นรัฐบาลในขณะนั้น จัดกิจกรรมปั่นจักรยานทั่วประเทศ ในชื่อกิจกรรม "ปั่นเพื่อแม่" (Bike for Mom) เฉลิมพระเกียรติพระราชมารดาของพระองค์ในวันที่ 16 สิงหาคม[149] และกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ" (Bike for Dad) เฉลิมพระเกียรติพระราชบิดาของพระองค์ในวันที่ 11 ธันวาคม[150] โดยระบุว่า เป็นไปตามพระราชดำริของพระองค์ที่ต้องการส่งเสริมการออกกำลังกาย ซึ่งพระองค์ทรงร่วมปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ ด้วย ในทั้งสองกิจกรรม[151] การแอบอ้างพระนามใน พ.ศ. 2557 มีพระราชบัณฑูรให้จับกุมและดำเนินคดีพลตำรวจเอก พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติของท่านผู้หญิง ศรีรัศมิ์ สุวะดี อดีตพระวรชายาในพระองค์ ฐานแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์[152] รวมไปถึงกฎหมายฟอกเงิน ประสบการณ์ทางทหาร
พระบรมราชอิสริยยศและพระเกียรติยศ
พระบรมราชอิสริยยศ
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลพระราชลัญจกรเป็นรูปวชิราวุธ ซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นเทพศาสตราของพระอินทร์ และเป็นสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย ใช้แบบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านบนมีจุลมงกุฎ (พระเกี้ยว) อันเป็นศิราภรณ์ประดับพระเกศหรือพระเศียรของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ และเป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ 5) ใช้แบบตามพระราชนิยมในรัชกาลที่ 5 แทนคำว่า "อลงกรณ์" ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย "มหาวชิราลงกรณ" เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวาร[ต้องการอ้างอิง] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประกอบด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยและต่างประเทศ[154] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยพระองค์ทรงเป็นประธานของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากรัชกาลที่ 9 ดังนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
พระยศทหารพระยศทหาร ได้แก่[165]
สิ่งอันเนื่องมาด้วยพระปรมาภิไธยสถาบันการศึกษา
การคมนาคม
ศาสนสถาน
สถานที่ราชการ
สถานที่
พระราชสันตติวงศ์
เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติเหรียญที่เกี่ยวข้องกับพระองค์มีดังนี้
รถยนต์พระที่นั่งรถยนต์พระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทะเบียน ร.ย.ล.4 สังกัดกองพระราชพาหนะ พระราชวังดุสิต
พงศาวลี
ดูเพิ่ม
อ้างอิงเชิงอรรถ
แหล่งข้อมูลอื่น
|