สำนักงานกฎหมาย ชนินาฏ แอนด์ ลีดส์ ให้บริการกฎหมายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สิน, การเช่าซื้อที่ดิน, การซื้อคอนโด, การตรวจสอบโฉนดที่ดิน, การซื้อที่ดินของบริษัท, สัญญาข้อตกลงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สิน ผมเป็นข้าราชการประจำ มีคู่สมรสโดยชอบด้วยกฏหมายเป็นคนต่างด้าว จะสามารถซื้อบ้านและที่ดินได้หรือไม่ เพราะอ่านจากกฏเกณฑ์ต่างๆแล้วค่อนข้างสับสน ? ดิฉันกำลังจะซื้อที่ดินมีโฉนด ถ้าดิฉันอยากทราบว่าผู้ขายเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ในที่ดินจริงหรือไม่ ดิฉันจะต้องทำอย่างไรบ้างค่ะจึงจะตรวจสอบได้ ? ผมจะซื้อที่ดิน ผมจะทราบได้อย่างไรว่าที่ดินที่ผมจะซื้อกับโฉนดที่นายหน้านำมาให้ดูเป็นแปลงเดียวกัน ? ที่ดินตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ แต่คู่สัญญาอยู่กรุงเทพฯ หากต้องการทำสัญญาซื้อขายกันโดยไม่ต้องไปเชียงใหม่จะได้หรือไม่ ? ดิฉันทำสัญญาเช่าที่ดิน โดยตกลงกันว่าจะเช่า 5 ปี
แต่ภายหลังผู้เช่าได้ปรับปรุงที่ดินจนได้รับความเสียหายมากดิฉันจึงอยากทราบว่าโดยทั่วไปแล้วสัญญามีผล 5 ปี ตามที่ตกลงไว้ หรือ 3 ปี แน่ค่ะ เนื่องจากเป็นสัญญาที่เขียนขึ้นเองไม่ได้ทำต่อหน้านายทะเบียน ? ดิฉันแต่งงานกับคนต่างชาติและจดทะเบียนสมรสแล้วค่ะ ตอนนี้ดิฉันต้องการจะซื้อบ้านและที่ดินโดยให้เป็นชื่อของดิฉันคนเดียวได้มั๊ยคะ ? ผมอยากเปิดบริษัทฯ ในประเทศไทย ถ้าผมมีบริษัทฯ ต่างด้าวเป็นผู้ถือหุ้นด้วย แล้วบริษัทฯ ของผมจะซื้อที่ดินได้หรือเปล่าครับ ?
ต่อไปเป็นการซื้อขายที่ดินประเภทมีกรรมสิทธิ์ หรือการซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน หรือ นส๔ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน หากไม่ได้ทำตามแบบดังกล่าวแล้ว การซื้อขายที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย เช่น นาย ก ต้องการซื้อที่ดินที่มีโฉนดที่ดินของ นาย ข จำนวน ๒ ไร่ เป็นเงินจำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท นาย ข ตกลงขายที่ดินให้แก่นาย ก โดยที่นายก และ นาย ข ไม่ได้ตกลงกันเพื่อไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่ทำเป็นหนังสือสัญญาต่อกันเท่านั้น ในกรณีเช่นนี้ ตามกฎหมายเรียกว่า เป็นการซื้อขายที่ดินแบบเสร็จเด็ดขาด ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินระหว่าง นาย ก และนาย ข ตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ แต่หากว่า นาย ก และ นาย ข ได้ตกลงซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินโดยตกลงทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและจะไปดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน เมื่อได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด มีผลทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดระหว่าง นายก และนาย ข มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทำให้นาย ก ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีโฉนดนั้นนับแต่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน ดังเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2552 การซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 แต่หากผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินที่ซื้อขายกันโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทและครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ร้อง ดังนั้น ปัญหาที่ว่า การซื้อขายที่ดินโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากว่า เป็นการซื้อขายที่ดินที่สิทธิครอบครองเพียงอย่างเดียวการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่หากว่าเป็นการซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินแล้วโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินแล้ว การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด แต่การที่ผู้ขายได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ซื้อขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อแล้ว มีผลทำให้ผู้ซื้อที่ดินได้สิทธิครอบครอง หากปรากฏว่า ผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินโดยตลอดมาเป็นระเวลา ๑๐ ปี แล้ว ผู้ซื้อดังกล่าจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม ซึ่งผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์แบบจะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง แล้วผู้ซื้อสามารถนำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินได้ สรุปได้ว่า การซื้อขายที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหากว่าไม่ได้ทำเป็นจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การซื้อขายที่ดินย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด แต่อาจได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เพราะได้ครอบครองที่ดินมาเกินกว่า ๑๐ ปี นับแต่ได้รับการส่งมอบการครอบครอง |