บทที่ 1 สังคมของเราสาระการเรียนรู้1.โครงสร้างสังคม -การจัดระเบียบทางสังคม -สถาบันทางสังคม 2.การขัดเกลาทางสังคม 3.การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 4.การแก้ปัญหาและแนวทางการพัฒนาสังคม โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างทางสังคม คือ ระบบความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในสังคม ที่มารวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคม 1.กลุ่มปฐมภูมิ หมายถึง กลุ่มสังคมที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดสนิทสนมกัน 2.กลุ่มทุติยภูมิ หมายถึง กลุ่มสังคมที่มีความสัมพันธ์กันแบบเป็นทางการ การจัดระเบียบสังคม การจัดระเบียบทางสังคม หมายถึง กระบวนการทางสังคมที่จัดขึ้นเพื่อควบคุมสมาชิกให้มีความสัมพันธ์กันภายใต้แบบแผนและกฎเกณฑ์เดียวกัน สาเหตุของการจัดระเบียบสังคม 1.เพื่อให้การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปปอย่างเรียบร้อย 2.เพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในสังคม 3.ช่วยให้สังคมดำรงอยู่อย่างสงบสุข องค์ประกอบของการจัดระเบียบทางสังคม 1.บรรทัดฐานทางสังคม คือ แบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ในการปฏิบัติซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ 1.1 วิถีประชาหรือวิถีชาวบ้าน คือ แบบแผนความประพฤติที่สมาชิกปฏิบัติด้วยความเคยชิน 1.2 จารีต คือ แบบแผนความประพฤติที่สมาชิกประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 1.3 กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่รัฐบัญญัติขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร 2.สถานภาพ คือ ตำแหน่งของบุคคลที่สังคมกำหนดขึ้น ลักษณะของสถานภาพ 1)เป็นสิ่งเฉพาะบุคคลที่ทำให้แตกต่างไปจากผู้อื่น 2)บุคคลหนึ่งอาจมีหลายสถานภาพ 3)เป็นสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดที่บุคคลมีอยู่ในการติดต่อกับผู้อื่น 4)เป็นตัวกำหนดว่าบุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างไรในสังคม สถานภาพ แบ่งออกเป็น 2ประเภท คือ 1)สถานภาพที่ติดตัวมาโดยสังคมเป็นผู้กำหนด 2)สถานภาพที่ได้มาภายหลังโดยความสามารถ 3. บทบาท หมายถึง การปฎิบัติตามหน้าที่และการแสดงพฤติกรรมตามสถานภาพ 4. การควบคุมทางสังคม คือ กระบวนการต่างๆ ทางสังคม ที่มุ่งหมายให้สมาชิกของสังคมยอมรับและปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม สถาบันทางสังคม สถาบันทางสังคม หมายถึง แบบแผนในการคิด การกระทำที่คนในสังคมยึดถือ ยอมรับและปฏิบัติกันมาภายใต้กฎเกณฑ์ทางสังคม ประเภทและบทบาทหน้าที่ของสถาบันสังคม 1.สถาบันครอบครัว สถาบันทางสังคม เป็นสถาบันพื้นฐานของสังคมไทย ซึ่งเกิดจากกลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปมีความสัมพันธ์กันทางสมรส ทางสายโลหิต หน้าที่ของสถาบันครอบครัว 1)สร้างสรรค์สมาชิกใหม่ให้แก่สังคม 2)เลี้ยงดูและอบรมสมาชิกของครอบครัว 3)อบรมสั่งสอนให้รู้ระเบียบแบบแผนและโครงสร้างของสังคม 4)ให้ความรักและความอบอุ่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ 5)กำหนดสถานภาพทางสังคมให้แก่สมาชิก เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนเรียนรู้บทบาทของตนในด้านต่างๆ 2.สถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษา เป็นสถาบันที่จำเป็นสำหรับการพัฒนามนุษย์ต่อจากสถาบันครอบครัว โดยให้การศึกษาแก่สมาชิกในสังคม มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สมาชิกในสังคมเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม หน้าที่ของสถาบันการศึกษา 1)ให้ความรู้ ความสามารถ และทักษะแก่บุคคล 2)อบรมสมาชิกให้มีคุณธรรม จริยธรรม 3)สอนและฝึกอาชีพให้แก่สมาชิก 4)อนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม 5)เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญเพื่อการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิก 3.สถาบันศาสนา สถาบันศาสนา เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมก่อให้เกิดแบบแผนหรือแนวทางในการปฏิบัติตนของสมาชิกซึ่งประกอบด้วยความเชื่อ ความรู้สึกทางอารมณ์ สถาบันศาสนามีรูปแบบที่สำคัญ ได้แก่ พิธีกรรม หลักความเชื่อ หลักธรรมคำสอน หน้าที่สำคัญของศาสนา 1)จัดประเพณีและวัฒนธรรมทางศาสนา 2)อบรมศีลธรรมให้แก่สมาชิกของสังคม 3)เป็นพื้นฐานสำคัญของอำนาจรัฐ สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันการเมืองการปกครอง เป็นสถาบันที่กำหนดบทบาทในการจัดการทางสังคม หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง 1)ให้หลักประกันในเรื่องสิทธิและเสรีภาพแก่สมาชิกของสังคม 2)ป้องกันและระงับข้อพิพาท สร้างความยุติธรรมระหว่างสมาชิก 3)รักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของสังคม 4)ป้องกันสมาชิกไม่ให้ถูกรุกรานจากภายนอก สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันเศรษฐกิจเป็นสถาบันเศรษฐกิจสถาบันที่สนองความต้องการของสมาชิกในด้านปัจจัยสี่สถาบันเศรษฐกิจ หน้าที่ของสถาบันเศรษฐกิจ 1)จัดสรรและกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เพื่อสนองความต้องการของสมาชิก 2)พัฒนาและสร้างความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพ 3)ช่วยเหลือในการบริโภคให้เป็นไปได้อย่างพอเพียงและทั่วถึง 4)ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภค 5)เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเป็นรากฐานของบ้านเมือง การขัดเกลาทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม เป็นกระบวนการทางสังคมที่เกิดขึ้นพร้อมกับกระบวนการทางจิตวิทยาที่จะทำให้สมาชิกในสังคมได้เรียนรู้ ยอมรับค่านิยม กฎเกณฑ์ วัฒนธรรม ระเบียบแบบแผนที่สังคมได้กำหนดไว้เพื่อให้บุคคลสามารถพัฒนาบุคลิกภาพและปรับตัวให้เป็นสมาชิกในสังคม จุดมุ่งหมาย 1)เพื่อให้รู้จักบทบาทต่างๆ ในสังคม 2)เพื่อปลูกฝังระเบียบวินัย 3)เพื่อปลูกฝังความมุ่งมั่นตั้งใจ 4)เพื่อให้สมาชิกในสังคมเกิดความชำนาญและเพิ่มทักษะในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นในสังคม วิธีการขัดเกลาทางสังคม 1)การขัดเกลาทางตรง เป็นการชี้แนะแนวทางให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กลุ่มสังคมกำหนดไว้ให้ถูกต้องเหมาะสม 2)การขัดเกลาทางอ้อม เป็นการขัดเกลาซึ่งบุคคลจะประพฤติตามจากการสังเกตหรือเรียนรู้จากการกระทำ ตัวแทนของการขัดเกลาสังคม 1)ครอบครัว ครอบครัวมีบทบาทในการอบรมสั่งสอนเด็กมากที่สุด 2)ครูอาจารย์ เป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับเด็กและมีหน้าที่โดยตรงในการอบรมสั่งสอนสมาชิกในสังคมให้มีความรู้และรู้จักกฎเกณฑ์ วัฒนธรรมต่างๆ ของสังคม 3)กลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการขัดเกลาทางสังคมในวัยรุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัยรุ่นมักเชื่อเพื่อน และนิยมทำสิ่งต่างๆ ตามกัน 4)กลุ่มเพื่อนร่วมร่วมอาชีพ เมื่อบุคคลประกอบอาชีพก็จะต้องพบปะผู้คนและมีเพื่อนประกอบอาชีพเดียวกันหรือเพื่อนร่วมงาน 5)สื่อมวลชน ปัจจุบันสื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อบุคคลทุกเพศทุกวัย เนื่องจากสื่อมวลชนสามารถเข้าถึงบุคคลได้โดยผ่านจากสื่อทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ 6)กลุ่มทางศาสนา พระสงฆ์ นักบวช ผู้เผยแผ่หลักธรรมศาสนามีส่วนสำคัญในการขัดเกลาทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ระบบสังคม กระบวนการ ได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนี้อาจจะเป็นไปในทางก้าวหน้าหรือถดถอย ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1.ปัจจัยภายใน 1.1สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สภาพทางภูมิศาสตร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดการจัดระเบียบและสภาพต่างๆ ในสังคม 1.2การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร 2.ปัจจัยภายนอก 2.1 สังคมที่อยู่โดดเดี่ยวและสังคมที่มีการติดต่อสมาคม 2.2 โครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรม 2.3 ทัศนคติและค่านิยมเฉพาะของสังคม 2.4 ความต้องการรับรู้สิ่งใหม่ๆ 2.5 พื้นฐานทางวัฒนธรรม รูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1.การเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง โดยเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มีความเจริญของอารยธรรมขั้นต่ำไปสุ่สังคมที่มีความเจริญของอารยธรรมระดับสูงขั้นต่อไป 2.การเปลี่ยนแปลงแบบวัฏจักรเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่มีความสม่ำเสมอ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้เมื่อสังคมมีความเจริญถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็จะค่อยๆ เสื่อมสลายลง โดยไม่ได้สูญหายไป อุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1.การเห็นประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง 2.ความสอดคล้องกับวัฒนธรรมเดิม 3.กลุ่มรักษาผลประโยชน์ 4.ตัวแทนการเปลี่ยนแปลง ค่านิยมของสังคมไทย ค่านิยมของสังคมไทย คือ สิ่งที่มีคนสนใจ ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทุกคนถือปฏิบัติ ค่านิยมบางอย่างขึ้นอยู่กับลักษณะของสังคม สภาพแวดล้อมของสังคม การแก้ไขปัญหาและแนวทางการพัฒนาสังคม ปัญหาสังคมไทย ปัญหาสังคม หมายถึง สภาวการณ์ทางสังคมที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนโดยส่วนรวมมากขึ้น จำเป็นต้องมีนโยบายหรือโครงการแก้ไขและเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขหรือขจัดให้หมดไปได้ แนวทางการพัฒนาสังคมที่เริ่มจาก “ตัวเอง” ที่มี “จิตสาธารณะ” “จิตสาธารณะ” คือ จิตที่คำนึงถึงผู้อื่น โดยแสดงออกมาผ่านการกระทำ ดังนั้น จิตสาธารณะ จึง มีลักษณะเป็นจิตสำนึกหรือเป็นค่านิยมที่ดีควรปลูกฝังให้มีในตัวมนุษย์ทุกคนบุคคลที่มีจิตสาธารณะคือบุคคลดังนี้ -เป็นบุคคลที่มี “จิตอาสา” การรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์ยาก หรือขาดโอกาส -เป็นบุคคลที่มี “จิตเอื้ออาทร” การเป็นผู้มีน้ำใจแก่ผู้อื่น รู้จักแบ่งปัน -เป็นบุคคลที่ละ คำว่า “ ธุระไม่ใช่” เรื่องบางเรื่องแม้ดูเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ได้ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม แนวทางการพัฒนาสังคมจากการมีจิตสาธารณะ การพัฒนาสังคมจากการมีจิตสาธารณะ คือ การเป็นผู้ให้ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมแห่งการเป็นผู้ให้ นั่นคือ ให้ด้วยความจริงใจ มีความบริสุทธิ์ใจ และปรารถนาให้ผู้รับมีความสุข การให้มีหลายลักษณะดังนี้ -ให้ “แรงกาย” ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน หรืองานต่างๆ ที่เป็นภาระของพ่อแม่ ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของครู ใช้แรงกายในการออกค่ายสาธารณะประโยชน์ ไปช่วยสร้างโรงเรียน ห้องสมุด -ให้ “ใจ”อย่างเต็มที่กับการเรียนหนังสือ เรียนด้วยใจ แม้ต้องทำเพราะหน้าที่แต่ควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียน -ให้ “เกียรติ” การที่เราอยู่ร่วมกับผู้อื่น เราควรให้เกียรติแก่กัน รู้มารยาทและวิธีปฏิบัติต่อกัน -ให้ “ธรรมชาติ”ดีกับเราไปตลอด -ให้ ”ความเข้าใจ” แก่ผู้อื่น ความเข้าใจถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน -ให้ “ความเคารพ” ต่อกฎ กติกา มารยาทของสังคม -ให้ “ความเคารพ”ต่อความคิดเห็นและจิตใจผู้อื่น คุณค่าของการพัฒนาสังคมจากแนวคิดจิตสาธารณะ เยาวชนไทยในปัจจุบันขาดจิตสาธารณะมาก สนใจแต่เรื่องของตนเองว่าตนเองจะสอบผ่านหรือสอบตก ไปเที่ยวไหน แต่งกายอย่างไร ทำอะไรให้คลายเหงา คุยโทรศัพท์กับเพื่อน เล่นเกม เล่นแชท ต่างๆ สนใจในเรื่องของผู้อื่นมักเป็นการสนใจในเชิงลบ การซุบซิบนินทาในวงเพื่อน อันที่จริงแล้วสาเหตุของปัญหาดังกล่าว มิได้เกิดจากตัวเยาวชนทั้งหมด แต่เกิดจากบริบททางสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น เยาวชนอย่างนักเรียนจึงต้องมี “สติ” รู้เท่าทันสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ด้วยการไม่ลุ่มหลงอยู่กับ “กับดัก” ที่ผู้ใหญ่บางกลุ่มวางเอาไว้ เพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเอง ที่มา ขอบคุณเนื้อหาความรู้ จาก https://sites.google.com/site/sangkhmsuksam/bth-thi-2-sangkhm-khxng-rea |