มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกภิวัฒน์ การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับมนุษยชาติ
การแคลื่อนย้ายทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงพริบตา ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่จะต้องอาศัยระยะเวลานับศตวรรษ สาเหตุที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วนั้นก็คือ เทคโนโลยีการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ส่งสารหรือผู้ที่มีอำนาจทางการสื่อสารย่อมเป็นผู้แพร่กระจายวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้รับสารหรือผู้ที่ไร้อำนาจทางการสื่อสารก็อยู่ในสถานะของผู้รับเอาวัฒนธรรมใหม่นั้นมาผนวกกับวัฒนธรรมเดิม จนถูกครอบงำไปในที่สุด ปรากฏการณ์เหล่านี้
ส่งผลให้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษย์ในหลางพื้นที่เริ่มลดบทบาทความสำคัญลงและถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมและความรู้สมัยใหม่ แน่นอนว่าเทคโนโลยีการสื่อสารไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่เทคโนโลยีการสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบพลิกฝ่ามือ และมีวัตถุประสงค์ของอนุสัญญา ว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (2003) 4 ประการ ดังนี้ 1. พื่อปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกลำดับที่ 171 โดยสมัครเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559 และมีผลในการเข้าเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2559 โดยมีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานภายใต้อนุสัญญาฯ และได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ.2559 ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการทำงานของประเทศไทย ซึ่งได้มีการกำหนดคำนิยามความหมายของ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไว้ว่า” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” หมายถึง การปฏิบัติ การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครื่องมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลุ่มชน หรือในบางกรณีปัจเจกบุคคลยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งนี้ เป็นสิ่งซึ่งชุมชนและกลุ่มชนสร้างขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีต่อธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของตน และทำให้คนเหล่านั้นเกิดความภูมิใจในตัวตนและความรู้สึกสืบเนื่องก่อให้เกิดความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ประเทศไทยได้มีการกำหนดหมวดหมู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ออกเป็น 7 สาขา ซึ่งได้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นประจำทุกปี หมวดหมู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ทั้ง 7 สาขาและตัวอย่างรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว มีดังนี้ 1. สาขาศิลปะการแสดง 2. งานช่างฝีมือดั้งเดิม 3. วรรณกรรมพื้นบ้าน 4. กีฬาภูมิปัญญาไทย 5. แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรมและงานเทศกาล 6. ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล 7. ภาษา หากมองในมิติคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นรากเหง้าและสิ่งสะท้อนตัวตนของผู้คนแต่ละชาตพันธุ์ เป็นบ่อเกิดความความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน รวมทั้งการอธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันซึ่งเป็นพัฒนาการที่ยาวนานของสังคมมนุษย์ และหากจะมองในมิติเชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่สามารถนำมาต่อยอดให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ ดังนั้นคงจะสรุปได้ว่า มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม คือ ทรัพย์สมบัติจากบรรพชน ที่รอการนำกลับมาใช้ ซึ่งยิ่งนานวันยิ่งมีคุณค่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และยิ่งใช้ยิ่งเกิดประโยชน์ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความเหมาะสมกับบริบทของสังคมใหม่และการนำมาใช้อย่างยั่งยืน ขอขอบคุณข้อมูลจาก |